เอกัวเขียนถึงความสำเร็จของเธอในการขับสารปรอทให้กับลูกชาย
เพื่อเป็นกำลังใจให้กับพ่อแม่ที่กำลังไม่แน่ใจ กลัว หรือสับสน
เกี่ยวกับการขับสารปรอทตามระยะครึ่งชีวิต เพื่อให้ลองดูและกล้าที่จะทำมัน
ซึ่งเธอยืนยันแน่นอนว่ามันไม่มีอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้นเลย
ลูกชายอายุ 4 ขวบของเธอมีลักษณะอาการที่ประหลากเหมือนเป็นออทิสติก
ซึ่งโดยปกติแล้วถ้าหากออทิสติกเป็นน้อย ๆ พ่อแม่ก็จะดูไม่ออกเลย
จนกว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่คุ้นเคยกับเด็กออทิสติกเข้ามาทัก
แต่เธอสังเกตเห็นเลยว่าลูกของคนมีพฤติกรรมที่ผิดปกติไปหลังจากที่ลูกชายฉีดวัคซีนตอนอายุ 18 เดือน
เพราะลูกของเธอเปลี่ยนแปลงไปทันทีหลังจากที่เป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใสพูดเก่ง
กลับกลายมาเป็นเด็กที่เงียบและกลัวจะทำอะไรทุกอย่าง พ่อแม่จึงต้องหาทางแก้ไข
ตอนที่ลูกชายเริ่มเข้าเตรียมอนุบาลในเดือนกันยายนปี 2016
ซึ่งตอนที่เธอไปส่งที่โรงเรียนลูกชายเริ่มอาละวาดอย่างรุนแรง ตัวสั่น เหงื่อแตก และกรีดร้องสุดเสียง
ครูหลายคนพยายามดึงลูกไปจากเธอ เอกัวจำได้ว่าตอนกลับมาบ้าน
เธอนึกกับตัวเองว่านั่นไม่ใช่พฤติกรรมที่ปกติแน่นอน
ในวันนั้นเธอขับไปรับลูกชายเร็วขึ้น เพื่อที่จะแอบดูเขาเล่นตอนพัก
เมื่อเธอเห็นลูกชายน้ำตาของเธอหลั่งไหลออกมาเมื่อพบว่าลูกถูกโดดเดี่ยวจากเพื่อน ๆ
ในตอนนั้นเธอรู้ทันทีเลยว่ามีบางอย่างผิดปกติกับตัวเขา ในวันนั้นเธอรีบกลับมาศึกษาค้นคว้าที่บ้านทันที
ข้อมูลทั้งหมดบ่งชี้ว่าลูกชายเป็นออทิสติกและเป็น SPD ซึ่งเป็นภาวะที่มีปัญหาด้านอารมณ์และพฤติกรรม
อาการผิดปกติทางพฤติกรรมเช่น เงอะงะซุ่มซ่าม ชอบล้มและชนกับสิ่งของหรือผู้คน
กลัวที่จะถือหรือมองของเล่น กลัวที่จะลองสิ่งใหม่ ไม่อย่างเล่นกับคน
พูดช้ามากจนเกือบไม่พูด กลัวการกดชักโครก กลัวเสียง เลือกกินเฉพาะของบางอย่างมาก
ไม่มีความสนใจ เลียนเสียผู้อื่นมาก ไม่ชอบเปลี่ยนกิจกรรม ชอบทำซ้ำไปเรื่อย ๆ ไม่สามารถจำชื่อคน
ไม่มีอารมณ์ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรหัวเราะ ยิ้ม ร้องไห้ ร้อง กรีดร้องเวลาต้องการบางอย่าง
ไม่ระวังอันตราย ตาเขเล็กน้อย กลัวสระน้ำหรือน้ำมาก
หลังจากนั้นเอกัวพาลูกชายไปรับการบำบัดฝึกพูดและเข้าสังคมไปเข้าสังคมกับเขาและอื่น ๆ
ตอนนั้นเธอเริ่มศึกษาค้นคว้าลึกขึ้น และพบกลุ่มที่ขับสารพิษ หลังจากอ่านหนังสือจนเข้าใจข้อมูลทั้งหมด
เธอเริ่มต้นใช้อาหารเสริมพื้นฐานกับ ALA เมื่อเธอทำไปแล้ว 24 รอบ
ลูกของเธอเหมือนกลับมาเป็นคนใหม่ตอนอายุ 4 ขวบ เขาได้เข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาลอีกครั้ง
ตอนนี้เขารักโรงเรียนและแม้กระทั่งขึ้นรถโรงเรียนเอง เขาร้องไห้ตอนวันหยุดเพราะไม่ได้ไปโรงเรียน
ปัญหาพฤติกรรมทุกอย่างที่เคยมีหายไป เขากลายเป็นคนพูดเก่ง ชอบโต้ตอบ
ไม่กลัวของเล่นหรือการลองสิ่งใหม่อีกต่อไป เขาสามารถอ่านและเขียนได้อย่างคล่องแคล่ว
เต็มไปด้วยความรัก ชอบช่วยเหลือ และคอยปกป้องพี่น้องของเขา
สิ่งที่ยังต้องแก้ไขอยู่คือเรื่องพัฒนาการด้านการแสดงออก
เช่น การรู้จังหวะที่ต้องสื่อสารด้วยคำพูดหรือท่าทางตอนไหน
ซึ่งเธอเชื่อว่าเขาจะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน เธอขอบคุณพระเจ้าจริง ๆ
ที่ทำให้เธอได้รู้จักกับการขับสารปรอทนี้ และหวังว่าเรื่องราวของเธอจะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้พ่อแม่คนอื่น ๆ
ได้เห็นว่ายังมีแสงอยู่ที่ปลายทางอุโมงค์ไม่ว่าลูกจะเป็นมากขนาดไหนก็ตาม
มาถึงเคสที่ 4 แล้วครับ คุณแม่คนนี้ชื่อ Ekua A. เธอเริ่มสงสัยว่าลูกเริ่มแสดงอาการผิดปกติหลังจากได้รับวัคซีน
ซึ่งเธอไม่เคยรู้มาก่อนว่า วัคซีนจะเป็นอันตรายต่อเด็กได้ด้วย เธอเสียใจอย่างมากที่ลูกคนเดิมของเธอนั้นได้หายไป
และอาจไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกเพราะเขาเป็นออทิสติก
หลังจากได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อหาสาเหตุของโรค เธอพบว่าปรอทในวัคซีนน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญ
เธอได้อ่านหนังสือที่ช่วยให้เธอรู้ว่าการขับสารปรอทอย่างปลอดภัยนั้นต้องทำอย่างไร
เมื่อศึกษาถึงเหตุผลและข้อมูลต่าง ๆ โดยละเอียด เธอจึงรีบขับสารปรอทให้ลูกโดยใช้หลักครึ่งชีวิตของยา
จนลูกสามารถกลับมามีพัฒนาการเหมือนเด็กทั่วไปได้อีกครั้ง
สิ่งที่ต้องเน้นก็คือ บนเส้นทางของการรักษาแบบนี้ พ่อแม่จะต้องเป็นผู้ที่สนใจอ่านด้วยตัวเอง
และไม่ได้มีคนอื่นเข้ามาช่วย หรือมีหมอมารักษาให้
แน่นอนว่ามันก็มีคนที่เคยอ่านแล้วหรือคนที่เขียนหนังสือเองสามารถอธิบายตรงส่วนที่สงสัยให้ได้
แต่ยังไงก็ตามตัวคุณพ่อคุณแม่จะต้องเป็นตัวหลัก ที่รู้ข้อมูลจากการอ่านสิ่งมากมายที่อยู่ในหนังสือนั้น
เพราะข้อมูลค่อนข้างละเอียดมาก แต่พ่อแม่หลายคนที่ไม่เคยมีความรู้พื้นฐานทางการแพทย์มาก่อน
ก็สามารถอ่านจบได้ และรักษาลูกได้สำเร็จในที่สุด
ยังไม่เคยมีใครที่ฟีดแบ็คกลับมาว่าอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง หรือ ข้อมูลในหนังสือไม่โอเค
แต่ที่จำเป็นต้องอ่านเพราะรายละเอียดมันเยอะจริง ๆ
หลายคนจึงอาจจะกลัว แต่อย่างที่คุณ Ekua บอก เธออยากจะให้พ่อแม่ทุกคนที่ลังเล
มาลองดูก่อน มาลองดูให้เห็นข้อมูล และลองช่วยขับสารปรอทให้ลูก
เพื่อช่วยให้ลูกได้กลับออกมาเจอกับพ่อแม่อีกครั้ง
เด็กออทิสติกนั้นเหมือนถูกจองจำไว้ในร่างกายของตัวเอง
หรือ เหมือนเขาหลบเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวของเขา
มีแต่พ่อแม่เท่านั้นที่ช่วยเขาได้
ซึ่งเราจะเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้นเมื่อได้ฟังเรื่องราวของเคสต่าง ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ
ไปดูกันว่าเขาหายจาก [โรคออทิสติก] ได้ยังไง ? ครอบครัวที่ 4
เพื่อเป็นกำลังใจให้กับพ่อแม่ที่กำลังไม่แน่ใจ กลัว หรือสับสน
เกี่ยวกับการขับสารปรอทตามระยะครึ่งชีวิต เพื่อให้ลองดูและกล้าที่จะทำมัน
ซึ่งเธอยืนยันแน่นอนว่ามันไม่มีอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้นเลย
ลูกชายอายุ 4 ขวบของเธอมีลักษณะอาการที่ประหลากเหมือนเป็นออทิสติก
ซึ่งโดยปกติแล้วถ้าหากออทิสติกเป็นน้อย ๆ พ่อแม่ก็จะดูไม่ออกเลย
จนกว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่คุ้นเคยกับเด็กออทิสติกเข้ามาทัก
แต่เธอสังเกตเห็นเลยว่าลูกของคนมีพฤติกรรมที่ผิดปกติไปหลังจากที่ลูกชายฉีดวัคซีนตอนอายุ 18 เดือน
เพราะลูกของเธอเปลี่ยนแปลงไปทันทีหลังจากที่เป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใสพูดเก่ง
กลับกลายมาเป็นเด็กที่เงียบและกลัวจะทำอะไรทุกอย่าง พ่อแม่จึงต้องหาทางแก้ไข
ตอนที่ลูกชายเริ่มเข้าเตรียมอนุบาลในเดือนกันยายนปี 2016
ซึ่งตอนที่เธอไปส่งที่โรงเรียนลูกชายเริ่มอาละวาดอย่างรุนแรง ตัวสั่น เหงื่อแตก และกรีดร้องสุดเสียง
ครูหลายคนพยายามดึงลูกไปจากเธอ เอกัวจำได้ว่าตอนกลับมาบ้าน
เธอนึกกับตัวเองว่านั่นไม่ใช่พฤติกรรมที่ปกติแน่นอน
ในวันนั้นเธอขับไปรับลูกชายเร็วขึ้น เพื่อที่จะแอบดูเขาเล่นตอนพัก
เมื่อเธอเห็นลูกชายน้ำตาของเธอหลั่งไหลออกมาเมื่อพบว่าลูกถูกโดดเดี่ยวจากเพื่อน ๆ
ในตอนนั้นเธอรู้ทันทีเลยว่ามีบางอย่างผิดปกติกับตัวเขา ในวันนั้นเธอรีบกลับมาศึกษาค้นคว้าที่บ้านทันที
ข้อมูลทั้งหมดบ่งชี้ว่าลูกชายเป็นออทิสติกและเป็น SPD ซึ่งเป็นภาวะที่มีปัญหาด้านอารมณ์และพฤติกรรม
อาการผิดปกติทางพฤติกรรมเช่น เงอะงะซุ่มซ่าม ชอบล้มและชนกับสิ่งของหรือผู้คน
กลัวที่จะถือหรือมองของเล่น กลัวที่จะลองสิ่งใหม่ ไม่อย่างเล่นกับคน
พูดช้ามากจนเกือบไม่พูด กลัวการกดชักโครก กลัวเสียง เลือกกินเฉพาะของบางอย่างมาก
ไม่มีความสนใจ เลียนเสียผู้อื่นมาก ไม่ชอบเปลี่ยนกิจกรรม ชอบทำซ้ำไปเรื่อย ๆ ไม่สามารถจำชื่อคน
ไม่มีอารมณ์ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรหัวเราะ ยิ้ม ร้องไห้ ร้อง กรีดร้องเวลาต้องการบางอย่าง
ไม่ระวังอันตราย ตาเขเล็กน้อย กลัวสระน้ำหรือน้ำมาก
หลังจากนั้นเอกัวพาลูกชายไปรับการบำบัดฝึกพูดและเข้าสังคมไปเข้าสังคมกับเขาและอื่น ๆ
ตอนนั้นเธอเริ่มศึกษาค้นคว้าลึกขึ้น และพบกลุ่มที่ขับสารพิษ หลังจากอ่านหนังสือจนเข้าใจข้อมูลทั้งหมด
เธอเริ่มต้นใช้อาหารเสริมพื้นฐานกับ ALA เมื่อเธอทำไปแล้ว 24 รอบ
ลูกของเธอเหมือนกลับมาเป็นคนใหม่ตอนอายุ 4 ขวบ เขาได้เข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาลอีกครั้ง
ตอนนี้เขารักโรงเรียนและแม้กระทั่งขึ้นรถโรงเรียนเอง เขาร้องไห้ตอนวันหยุดเพราะไม่ได้ไปโรงเรียน
ปัญหาพฤติกรรมทุกอย่างที่เคยมีหายไป เขากลายเป็นคนพูดเก่ง ชอบโต้ตอบ
ไม่กลัวของเล่นหรือการลองสิ่งใหม่อีกต่อไป เขาสามารถอ่านและเขียนได้อย่างคล่องแคล่ว
เต็มไปด้วยความรัก ชอบช่วยเหลือ และคอยปกป้องพี่น้องของเขา
สิ่งที่ยังต้องแก้ไขอยู่คือเรื่องพัฒนาการด้านการแสดงออก
เช่น การรู้จังหวะที่ต้องสื่อสารด้วยคำพูดหรือท่าทางตอนไหน
ซึ่งเธอเชื่อว่าเขาจะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน เธอขอบคุณพระเจ้าจริง ๆ
ที่ทำให้เธอได้รู้จักกับการขับสารปรอทนี้ และหวังว่าเรื่องราวของเธอจะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้พ่อแม่คนอื่น ๆ
ได้เห็นว่ายังมีแสงอยู่ที่ปลายทางอุโมงค์ไม่ว่าลูกจะเป็นมากขนาดไหนก็ตาม
มาถึงเคสที่ 4 แล้วครับ คุณแม่คนนี้ชื่อ Ekua A. เธอเริ่มสงสัยว่าลูกเริ่มแสดงอาการผิดปกติหลังจากได้รับวัคซีน
ซึ่งเธอไม่เคยรู้มาก่อนว่า วัคซีนจะเป็นอันตรายต่อเด็กได้ด้วย เธอเสียใจอย่างมากที่ลูกคนเดิมของเธอนั้นได้หายไป
และอาจไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกเพราะเขาเป็นออทิสติก
หลังจากได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อหาสาเหตุของโรค เธอพบว่าปรอทในวัคซีนน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญ
เธอได้อ่านหนังสือที่ช่วยให้เธอรู้ว่าการขับสารปรอทอย่างปลอดภัยนั้นต้องทำอย่างไร
เมื่อศึกษาถึงเหตุผลและข้อมูลต่าง ๆ โดยละเอียด เธอจึงรีบขับสารปรอทให้ลูกโดยใช้หลักครึ่งชีวิตของยา
จนลูกสามารถกลับมามีพัฒนาการเหมือนเด็กทั่วไปได้อีกครั้ง
สิ่งที่ต้องเน้นก็คือ บนเส้นทางของการรักษาแบบนี้ พ่อแม่จะต้องเป็นผู้ที่สนใจอ่านด้วยตัวเอง
และไม่ได้มีคนอื่นเข้ามาช่วย หรือมีหมอมารักษาให้
แน่นอนว่ามันก็มีคนที่เคยอ่านแล้วหรือคนที่เขียนหนังสือเองสามารถอธิบายตรงส่วนที่สงสัยให้ได้
แต่ยังไงก็ตามตัวคุณพ่อคุณแม่จะต้องเป็นตัวหลัก ที่รู้ข้อมูลจากการอ่านสิ่งมากมายที่อยู่ในหนังสือนั้น
เพราะข้อมูลค่อนข้างละเอียดมาก แต่พ่อแม่หลายคนที่ไม่เคยมีความรู้พื้นฐานทางการแพทย์มาก่อน
ก็สามารถอ่านจบได้ และรักษาลูกได้สำเร็จในที่สุด
ยังไม่เคยมีใครที่ฟีดแบ็คกลับมาว่าอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง หรือ ข้อมูลในหนังสือไม่โอเค
แต่ที่จำเป็นต้องอ่านเพราะรายละเอียดมันเยอะจริง ๆ
หลายคนจึงอาจจะกลัว แต่อย่างที่คุณ Ekua บอก เธออยากจะให้พ่อแม่ทุกคนที่ลังเล
มาลองดูก่อน มาลองดูให้เห็นข้อมูล และลองช่วยขับสารปรอทให้ลูก
เพื่อช่วยให้ลูกได้กลับออกมาเจอกับพ่อแม่อีกครั้ง
เด็กออทิสติกนั้นเหมือนถูกจองจำไว้ในร่างกายของตัวเอง
หรือ เหมือนเขาหลบเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวของเขา
มีแต่พ่อแม่เท่านั้นที่ช่วยเขาได้
ซึ่งเราจะเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้นเมื่อได้ฟังเรื่องราวของเคสต่าง ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ