Kimetsu no Yaiba: ย่านเริงรมย์ ตอนที่ 11 ทันจิโร่และพวกเราจะกลับมาพบกันใหม่

มาถึงตอนสุดท้ายของบทย่านเริงรมย์แล้ว คิดไปคิดมาก็ใจหายว่า เป็นค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ตื่นเต้นมากๆ ที่ได้เฝ้าคอยดูอนิเมะสองเรื่องที่กระแสแรงสุดๆ ในระดับที่เป็นปรากฏการณ์เลย ไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกรึเปล่า
  และในตอนสุดท้ายก็นับว่าเป็นตอนที่ครบรสชาติจริงๆ ทั้งสุขทั้งเศร้า แล้วก็งานภาพสวยๆเช่นเคย ซึ่งผมก็ได้รวบรวมมาบางส่วนเก็บไว้เป็นแกลอรี่

"ยังไงก็เป็นคนสำคัญ"
  แม้จะไม่ได้มีบทในการต่อสู้เท่ากับคนอื่นๆ แต่เนสึโกะก็ยังมีบทบาทสำคัญอยู่ดี เรียกว่าเป็น เดอะแบก ของทีมเลยฮ่าๆ โดยวิชาเลือดอสูรของเนสึโกะสามารถลบล้างพิษของกิวทาโร่ได้ ทำให้สามารถช่วยชีวิตคนอื่นๆได้ทันท่วงที และนอกจากนี้สีชมพูอมแดงของวิชาเลือดอสูรก็ยังสวยสดเอามากๆ 

"ต้าวตัวน้อย"
  เหมือนจะรู้ว่าทุกคนชอบเนสึโกะเวอร์ชั่นตัวน้อยๆ นี้ซะเหลือเกิน ตอนนี้ก็เลยมีเนสึโกะตัวน้อยๆ ออกมาวิ่งป้วนเปี้ยนทั้งตอนเลย นอกจากช่วยสลายพิษให้พวกทันจิโร่แล้ว ยังต้องแบกพี่ชายไปไหนมาไหนอีก สมฉายา เดอะแบก จริงๆ ฮ่าๆๆ โดยเฉพาะตอนช่วยอุซุยนี่น่าจะเป็นตอนที่ฮาที่สุดเลยก็ว่าได้ (ก็น้องเล่นฌาปนกิจ ต่อหน้าเลยนิหน่า)

"สุมะขายขำ"
  อันดับหนึ่งของคนที่เรียกเสียงฮาได้ตลอด ก็คือเธอคนนี้ สุมะ ภรรยาของอุซุย ด้วยความโวยวายจนอุซุยเกือบไม่ได้สั่งเสียนี่สิ (ตอนนี้ขำจริงๆ อารมณ์หนังจีนกำลังภายใน ตัวละครกำลังจะสั่งเสียแต่ก็ดันมีคนพูดแทรกจนไม่ได้พูดอะไร) ขนาดอุซุยเองยังทำใจลำบากเลย "นี่ชั้นต้องมาตายทั้งๆที่ยังไม่ได้พูดอะไรหรอนี่" 

"กิวทาโร่"
  หลังจากผ่านพ้นช่วงเฮฮาไปแล้ว ก็เป็นช่วงย้อนอดีตของสองพี่น้องอสูร ที่ต้องบอกว่า น่ารันทดหดหู่ เหลือเกิน ด้วยความที่เกิดมาอย่างอดสู ในสลัมของย่านเริงรมย์ และด้วยใบหน้าที่อัปลักษณ์ ไม่มีทั้งเพื่อนและครอบครัว ทำให้กิวทาโร่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดตั้งแต่ยังเด็ก แล้วยิ่งเกิดมาในย่านเริงรมย์ที่ความสวยงามถูกมองว่าเลอค่า กิวทาโร่ก็ยิ่งถูกด้อยค่าลงไปอีกเป็นเท่าตัว คำพูดที่ผมฟังแล้วก็จุกอกมาก คือตอนที่เขาบอกว่า "มันช่างราวกับคำด่าทอสาปแช่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนั้น ถูกคิดขึ้นมาเพื่อใช้กับข้าคนเดียว" เป็นประโยคที่สะท้อนความเจ็บปวดของกิวทาโร่อย่างแสนสาหัส จนกระทั่งเขาและอุเมะน้องสาว ได้กลายมาเป็นอสูรจากการช่วยเหลือของ "โดมะ" อสูรข้างขึ้นลำดับที่สอง 

"อสูรข้างขึ้นลำดับที่สองโดมะ"
  อสูรที่ปรากฏตัวในวันที่สองพี่น้องไม่มีทางเลือกใดๆ และชักนำให้กลายเป็นอสูร แน่นอนว่าเรื่องราวของเขายังเป็นความลับอยู่ (สำหรับคนไม่อ่านมังงะ)

"อุเมะ"
  น้องสาวของกิวทาโร่ เป็นเด็กสาวที่มีรูปร่างหน้าตางดงาม ที่ใครเห็นก็ต้องหลงใหล และเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ของเขาด้วย

"ทางเลือก"
  สิ่งที่เห็นในดาบพิฆาตอสูรในซีซั่นนี้อยู่บ่อยๆ คือ การใช้สัญลักษณ์แทนความหมายของเรื่อง ภาพนี้ก็เหมือนกัน เป็นภาพที่ปรากฏออกมาก่อนที่กิวทาโร่จะคิดว่า ถ้าเกิดมีทางที่ดีกว่าให้กับน้องสาวของเขา เขาก็ยินดีจะเลือกเส้นทางนั้น โดยในภาพก็สื่อความหมายตรงตัว แสงสว่างหมายถึงความดีงาม ความมืดก็คือความชั่วร้าย

"ชีวิตที่ควรจะได้รับ"
  สิ่งที่ติดค้างในใจของกิวทาโร่อย่างเดียวก็คือเรื่องของอุเมะ น้องสาวของเขา ที่ถ้าเกิดในครอบครัวปกติก็คงมีชีวิตที่มีความสุขไปแล้ว ถ้าอยู่ในร้านที่ดีก็จะได้เป็นโออิรันที่เลื่องชื่อ หรือถ้าเกิดมาในครอบครัวที่รำรวย มั่งคั่ง ก็คงเป็นคุณหนูที่เพียบพร้อมทุกอย่าง

"ผ้าขาว"
  อุเมะที่ถูกสั่งสอนมาตามแบบฉบับของกิวทาโร่ "จงช่วงชิงมาก่อนที่จะถูกชิง" ทำให้อุเมะตัดสินใจทำร้ายซามูไรคนนั้นไป ซึ่งถ้าเกิดอุเมะยอมคนสักหน่อย เธอก็อาจจะมีเส้นทางชีวิตที่ดีไปแล้ว ปิ่นปักผมอันนั้นก็คงไม่ใช่สิ่งที่ถูกใช้ทำร้ายคน แต่มันจะถูกปักไว้บนหัวของอุเมะ และทำให้เธอมีความสุขไปแล้ว
  ภาพตอนเล่าเรื่องของอุเมะนั้นสวยงามราวกับความฝัน ทั้งสว่างไสว แล้วก็มีความสุข แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นเพียงความฝัน แต่ผมชอบที่กิวทาโร่รู้สึถึงความผิดพลาดของตัวเอง แล้วก็ปรารถนาอยู่ตลอดให้น้องสาวของเขาพบแต่ความสุข

"ถ้าเราสองคนอยู่ด้วยกัน ยังไงก็ไร้เทียมทาน"
  เป็นภาพที่ผมชอบมากๆ แม้หิมะจะตกจนหนาวเหน็บ แต่ก็รู้สึกอบอุ่นอย่างน่าอัศจรรย์ ที่จริงภาพตอนแรกจะมืดกว่านี้แล้วตรงกลางภาพจะค่อยๆ สว่างขึ้นเหมือนในภาพนี้ เหมือนกับต้องการจะสื่อว่า แม้โลกจะโหดร้ายขนาดไหน แต่เมื่อเราสองคนอยู่ด้วยกันก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น

"คำตอบของน้องสาว"
  ต้องบอกว่าอดีตของกิวทาโร่ถูกเล่าอย่างมีชั้นเชิง เริ่มจากการเล่าฝั่งของกิวทาโร่ ทั้งชีวิตที่ขมขื่น แล้วก็สิ่งที่ปรารถนา แต่ยังไม่มีความคิดเห็นจากฝั่งของอุเมะเลย ซึ่งนี่คือคำตอบของเธอ แม้จะต้องตกนรก แม้จะต้องทุกข์ทรมาน แต่อุเมะก็เลือกจะอยู่กับพี่ชายของเธอเสมอ ตามคำสัญญาที่ทั้งคู่ให้กันไว้ (ในภาพบน) 
  อีกสิ่งที่ภาพนี้สื่อได้ดีมาก (นอกจากเรื่องแสง) คือ ตัวของกิวทาโร่ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของอสูร ต่างจากอุเมะที่ยังมีสภาพเป็นมนุษย์ นั่นบ่งบอกถึงการที่กิวทาโร่ยอมรับบาปทั้งหมดไว้กับตัวเอง ทั้งเรื่องการสั่งสอนน้อง ทั้งเรื่องการเป็นอสูร เพื่อขอไปในทางแห่งความมืดเพียงลำพัง 

"ชดใช้กรรม"
  แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองคนก็ทำเรื่องเลวร้ายเอาไว้มากมายเกินกว่าจะให้อภัยได้ จึงต้องชดใช้สิ่งที่ทำลงไปทั้งหมด โดยผมชอบความเห็นหนึ่งในเฟซบุ๊คที่บอกว่า คู่ของทันจิโร่กับกิวทาโร่นั้นประสบชะตาที่น่าเศร้าเหมือนๆกัน แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือ เวลาที่เราตกที่นั่งลำบาก คนที่อยู่ตรงหน้าเรานั่นแหละจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเรา อย่างของทันจิโร่ได้ กิยู ที่เป็นคนชักนำไปในทางที่ถูกต้อง เขาจึงกลายเป็นนักล่าอสูรอย่างที่เห็นกัน แต่กรณีของกิวทาโร่ เขาถูกโดมะชักชวนไปในทางที่ชั่วร้าย เขาก็เลยกลายมาเป็นอสูรที่เคียดแค้นคนอื่นอยู่ร่ำไป แต่ผมมองว่านั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้องเพราะตอนที่แล้วทันจิโร่เองก็ถูกกิวทาโร่ชักชวนให้เป็นอสูรเช่นกัน แต่แม้จะสิ้นหวังเพียงใด ทันจิโร่ก็ไม่เคยจะหันหน้าหนีชะตากรรมที่เขาต้องเผชิญ เขาไม่เคยยอมที่จะทำสิ่งชั่วร้ายเพียงเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นต่อความยากลำบาก

"จะคืนดีกันได้มั้ยนะ"
  เป็นภาพที่อบอุ่นมาก ที่ได้เห็นทันจิโร่กับเนสึโกะร่วมกันส่งวิญญาณของคู่พี่น้องอสูรเป็นครั้งสุดท้าย แน่นอนว่าทั้งคู่ยังคงต้องสู้กันต่อไป 

"มาตอนจบ"
  นี่มันพล็อตหนังฮอลิวูดชัดๆ ตำรวจมักจะมาตอนจบเสมอ ฮ่าๆๆ ขนาดสุมะยัง ถามเลยว่า "มาช้าขนาดนี้ คิดจะมาจริงๆรึเปล่า" แล้วมาช้าไม่พอยังมาบุลลี่อีกว่า "แค่อสูรข้างขึ้นที่หกเองนะเนี่ย" (จ้าพ่อคนเก่ง)  แล้วก็จุดที่ผมชอบอีกอย่างในตอนนี้คือ แม้ว่าโอบะไนจะบอกให้กลับไปสู้ต่อ สู้จนตัวตาย แต่ตัวอุซุยเองก็บอกว่าจะวางมือแล้ว เพราะสภาพแบบนี้จะไปทำอะไรไหว จุดนี้แสดงให้เห็นว่าอุซุยเป็นคนที่รู้ตัวเองดี เมื่อไม่ไหวก็ไม่ฝืน และไม่เอาชีวิตตัวเองไปทิ้ง โดยไม่ใช่อ้างว่าต้องทำเพื่อส่วนรวมแล้วต้องถึงกับเอาชีวิตเข้าแลก (ที่จริงอาจจะอยากอยู่กับเมียก็ได้ ฮ่าๆๆ)

"สัญญาณ"
  ท่านคางะยะหรือนายท่านที่ทุกคนเรียกกัน เมื่อได้รับข่าวการจัดการอสูรข้างขึ้นได้เป็นครั้งแรกในรอบร้อยปีก็ถึงกับลุกขึ้นมาดีใจจนลืมอาการป่วย แน่นอนว่าเขาคนนี้ต้องมีอดีตที่เกี่ยวข้องกับมุซันแน่ๆ ถึงกับใช้คำว่า เป็นรอยด่างพร้อยของตระกูลเพียงอย่างเดียว แล้วก็เป็นคนที่น่าชื่นชมอีกคนหนึ่ง แม้กายจะสู้ไม่ได้ แต่เขาก็เป็นคนที่อุปถัมภ์เหล่านักล่าอสูรที่คนจนทุกคนให้ความเคารพเป็นอย่างมาก 

"มาไม่ครบองค์ประชุม"
  เป็นฉากที่หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอว่า จะได้เห็นเหล่าอสูรข้างขึ้นมาปรากฏตัวกันทุกคน แต่กลับเป็นอาคาสะ อสูรข้างขึ้นที่สาม ปรากฏตัวเพียงลำพัง ถ้าเป็นภาษาโซเชียลต้องบอกว่า ไม่อ่านกรุ๊ปไลน์ เลยทีเดียว ฮ่าๆ (ดูสิหน้าหงอยเลย)

"สี่คน"
  เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ครอบครัวนี้ไม่มีการสูญเสียเกิดขึ้น จากตอนต้นบทมีการปูมาค่อนข้างหน้าเป็นห่วง แต่ก็จบแฮปปี้เอนดิ้งนะครับ ได้กลับไปใช้ชีวิตกันแล้ว รู้สึกดีใจแทนพวกเขาจริงๆ "ได้รับชัยชนะกลับบ้าน อย่างฉูดฉาดละนะ" อุซุยได้กล่าวไว้

"พวกเรา"
  เป็นภาพที่ผมชอบที่สุด พวกทันจิโร่กอดกันอย่างเหนียวแน่น เรียกว่าศึกครั้งนี้ทุกคนเฉียดตายกันมาทั้งนั้น ถึงแม้จะสะบักสะบอมเหลือเกิน แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ทุกคน อีกทั้งยังลบปมในใจที่ปล่อยให้เรนโงคุต่อสู้เพียงลำพังในภาครถไฟสู่นิรินดร์ ในครั้งนี้พวกเขาเป็นกำลังสำคัญในการจัดการอสูรจนได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด (ตลกตรงที่เซนอิทสึไม่มีภาพตอนกอด มีภาพเห็นแค่ปาก เลยเอาภาพนี้มาใส่แทน ฮ่าๆๆ)

"แล้วพบกันใหม่"
  เพลง Zankyo Sanka เริ่มบรรเลงขึ้นตอนใกล้จบ ช่วงที่พวกทันจิโร่กอดกันลากยาวมาถึงเอ็นเครดิต แล้วมันทำให้ใจหายแปลกๆ ชวนให้คิดถึงว่าซีซั่นนี้มันจบลงแล้วจริงๆ ซึ่งอารมณ์นี้มันก็เกิดขึ้นตอนซีซั่นแรกแล้วก็ตอนภาครถไฟนิรันดร์เหมือนกัน เรียกว่าเป็นการจบบทที่ทั้งดีใจ(ตัวละครอยู่ครบ)แล้วก็ใจหายไปพร้อมๆกัน (ยังดีที่บทช่างตีดาบประกาศมาก่อนหน้าจะฉายตอนนี้ไม่นาน เลยทำใจได้บ้าง)





แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่