ของผมนี่ทำงานก็คือทำเต็มที่ หมดเวลางานคือพักงานไว้แค่นั้น ลืมเรื่องงานไปให้หมด แล้วทำอะไรให้ตัวเองครับ
ผมทำแบบนี้มาตลอดทั้งแต่ทำงาน ไม่วาจะทำที่ไหน ผ่านมาแล้วกี่บริษัท กี่องค์กร
ผมคิดว่าการจัดการระเบียบของเวลาและพยายามเคลียร์งานให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด
คือการรักษาผลประโยชน์เวลาชีวิตให้ตัวเอง ให้มีเวลาไปทำอย่างอื่นได้
แต่ถ้างานที่ทำอยู่ ไม่ว่ายังไง มันยังไม่เสร็จ ผมจะชอบโน๊ตไว้ว่าทำถึงแค่ไหน ข้อผิดพลาดคืออะไร ต้องทำยังไงต่องานถึงจะสมบูรณ์ตามแผน
ผมจะบันทึกไว้ และออกจากโหมดการทำงานทันที ผมจะไม่ชอบเก็บเรื่องงานมาใส่หัว เมื่อตัวผมไม่ได้อยู่หน้าคอมแล้ว
แน่นอนว่า การที่เราทำงาน ไม่ว่าจะทำที่ไหน มันมีปัญหาให้เราต้องเจอ คอยแก้ ทั้งนั้น
เมื่อปัญหามาแล้ว เราจะรับมือกับปัญหาที่เจอนั้นยังไง
บางคนอาจจะเลือกที่จะปฎิเสธ ไม่ทำ จบด้วยดีคือหัวหน้าเข้าใจและยอม ถ้าเราเองทำงานหน้าที่หลักได้ดีอยู่แล้ว
บางคนอาจจะเลือกที่จะลองทำดู ลองก่อน ได้หรือไม่ได้ ค่อยว่ากันอีกที ลองดูก่อน เผื่อเป็นข้อต่อรอง ในการขอขึ้นเงินเดือน
บางคนอาจจะเลือกหนีปัญหา เพราะคิดว่า ขืนรับไว้ ในอนาคตจะเจอหนักมากขึ้น และมากขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกินรับไหว
ทำให้เสียสุขภาพจิต เครียด แค่งานหลักก็เครียด กดดันมากพอแล้ว ยังมีงานนอกเหนือหน้าที่เพิ่มเข้ามา
และเงินเดือนก็ไม่เพิ่มแต่อย่างใด หลายคนเลยเลือก ที่จะเปลี่ยนงาน
การเปลี่ยนงาน ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี อย่าไปมองว่าเขาไม่อดทน
เพียงแต่ เขาอาจจะอยากหาสังคมการทำงาน ที่ลดแรงกดดันจากการทำงาน ให้น้อยลงก็ได้
ใครๆก็อยากมีเพื่อนร่วมงานดี เจ้านายเข้าใจและให้โอกาส เมื่อเพื่อนร่วมงานดี เจ้านายเข้าใจ รับฟัง
และช่วยหาทางออกให้เรา และค่าตอบแทนสมเหตุ มี 3 ข้อนี้ในองค์กรไหน คุณคือผู้โชคดี
ตลอดชีวิตการทำงานของคุณที่นั่น จะกลายเป็นความสุขในทุกๆวัน ทันที
อารมณ์แบบอยากตื่นไปทำงานทุกวัน แม้วันหยุดก็ไม่อยากหยุด กันเลยทีเดียว
(อันนี้หยอก เอาเวลาไหนซักผ้าล่ะ)
การทำงาน การเปลี่ยนที่ทำงานบ่อย ไม่ใช่เพราะเราอาจไม่ทนงาน ไม่สู้งาน
แต่ให้คิดว่า ต้องมีที่ไหนสักที่ ที่มันเหมาะกับเรา เงินเดือนที่เราพอใจ
เหมาะกับบุคลิกภาพ และ ความสามารถของเรา ตรงไทป์ความคิดของเรา
ใครๆก็โหยหา องค์กรที่มีสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น
บางคนอาจจะคิดว่า ที่นี่ก็ดีแล้ว ซึ่งคนนั้นอาจจะชอบแบบนี้ก็ได้
แต่บางคนอาจจะคิดคนละแบบ อาจจะไม่ชอบ เพราะไม่ตรงกับไทป์ของเรา
เพราะเราทุกคน รวมถึงผม ทำงานเพื่อมีรายได้เลี้ยงตัวเองและคนในครอบครัว
อะไรที่เกินจะทนไหว ก็ลองคิดทบทวนดู ว่ามันคุ้มค่ามั้ย กับการที่จะทำงานต่อไป คุ้มไหมกับความเสี่ยงที่เจอ
มีผลกระทบต่อจิตใจ ต่อความรู้สึก และสุขภาพจิตมากแค่ไหน
ความอดทนของคน ไม่เคยเท่ากัน ฉะนั้นใครทนได้มากกว่าใคร ไม่ควรเปรียบเทียบ เพราะไม่มีคำตอบ คนที่รู้คำตอบคือตัวของคุณเอง
สุดท้ายนี้ การเปลี่ยนงาน คือการเปิดโอกาสให้เราไปเจอในที่ที่ อาจจะดีกว่าที่เดิมก็ได้
อย่าท้อที่จะเปลี่ยนงาน อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนสังคม เปลี่ยนเพื่อนร่วมงาน เปลี่ยนหัวหน้างานและเปลี่ยนองค์กร
ไม่ว่าจะยังไง จากข้อความทั้งหมดที่ผมเขียนไป
ผมอยากแนะนำว่า การเปลี่ยนงาน ควรมีงานใหม่รองรับก่อน เซ็นต์สัญญาการจ้างงานเป็นลักษณ์อักษร นัดแนะเริ่มงานกันให้พร้อม ชัวร์ที่สุด
พยายามทำให้ตัวเองไม่ตกงาน การมีรายได้ต่อเนื่อง นับว่าคุณคือคนเก่ง ในระบบเศรษฐกิจตอนนี้ครับ
ความสุขของคุณ คุณต้องเลือกเอง แต่ความสุขนั้นต้องมีเงิน ทุกอย่างต้องใช้เงิน
การมีเงินทำให้ชีวิตเราสบาย เราสบาย ครอบครัวคนที่บ้านก็สบาย
ฉะนั้นไม่ว่ายังไง ก็ควรมีงานทำไว้ก่อน
การกลับมาอยู่บ้าน ใกล้พ่อแม่ แต่ถ้าเงินเดือนไม่พอใช้ อดมื้อกินมื้อ
ทำให้พ่อแม่เครียด ทำให้เขามาเครียดกับอนาคตของเรา มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดี นั่นไม่ได้เรียกว่าความสุขครับ
กลับกัน ถีบตัวเองให้รอดจากสถานะติดลบ หมดกำลังใจให้ได้และหาทางไปต่อให้ได้
แบบนี้คุ้มกว่า นอกจากจิตใจจะแกร่งขึ้นแล้ว เรายังมีรายได้ต่อไป เลี้ยงดูครอบครัวได้
อยู่ไกล แต่โทรหากันทุกวัน คอลวิดีโอตอนเลิกงาน ทานข้าวคนเดียวก็คอลหาพ่อแม่ทางบ้าน ทำให้มื้อนั้นการทานข้าวอร่อยขึ้นมาทันที
ยังไงเป็นกำลังให้นะครับ
จากมนุษย์เงินเดือนคนนึง
เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้มนุษย์เงินเดือนต้องทำงานหนักขึ้น ขอเล่าในมุมอีกด้านที่พอจะเตือนสติเพื่อนๆหลายคนได้บ้าง
ผมทำแบบนี้มาตลอดทั้งแต่ทำงาน ไม่วาจะทำที่ไหน ผ่านมาแล้วกี่บริษัท กี่องค์กร
ผมคิดว่าการจัดการระเบียบของเวลาและพยายามเคลียร์งานให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด
คือการรักษาผลประโยชน์เวลาชีวิตให้ตัวเอง ให้มีเวลาไปทำอย่างอื่นได้
แต่ถ้างานที่ทำอยู่ ไม่ว่ายังไง มันยังไม่เสร็จ ผมจะชอบโน๊ตไว้ว่าทำถึงแค่ไหน ข้อผิดพลาดคืออะไร ต้องทำยังไงต่องานถึงจะสมบูรณ์ตามแผน
ผมจะบันทึกไว้ และออกจากโหมดการทำงานทันที ผมจะไม่ชอบเก็บเรื่องงานมาใส่หัว เมื่อตัวผมไม่ได้อยู่หน้าคอมแล้ว
แน่นอนว่า การที่เราทำงาน ไม่ว่าจะทำที่ไหน มันมีปัญหาให้เราต้องเจอ คอยแก้ ทั้งนั้น
เมื่อปัญหามาแล้ว เราจะรับมือกับปัญหาที่เจอนั้นยังไง
บางคนอาจจะเลือกที่จะปฎิเสธ ไม่ทำ จบด้วยดีคือหัวหน้าเข้าใจและยอม ถ้าเราเองทำงานหน้าที่หลักได้ดีอยู่แล้ว
บางคนอาจจะเลือกที่จะลองทำดู ลองก่อน ได้หรือไม่ได้ ค่อยว่ากันอีกที ลองดูก่อน เผื่อเป็นข้อต่อรอง ในการขอขึ้นเงินเดือน
บางคนอาจจะเลือกหนีปัญหา เพราะคิดว่า ขืนรับไว้ ในอนาคตจะเจอหนักมากขึ้น และมากขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกินรับไหว
ทำให้เสียสุขภาพจิต เครียด แค่งานหลักก็เครียด กดดันมากพอแล้ว ยังมีงานนอกเหนือหน้าที่เพิ่มเข้ามา
และเงินเดือนก็ไม่เพิ่มแต่อย่างใด หลายคนเลยเลือก ที่จะเปลี่ยนงาน
การเปลี่ยนงาน ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี อย่าไปมองว่าเขาไม่อดทน
เพียงแต่ เขาอาจจะอยากหาสังคมการทำงาน ที่ลดแรงกดดันจากการทำงาน ให้น้อยลงก็ได้
ใครๆก็อยากมีเพื่อนร่วมงานดี เจ้านายเข้าใจและให้โอกาส เมื่อเพื่อนร่วมงานดี เจ้านายเข้าใจ รับฟัง
และช่วยหาทางออกให้เรา และค่าตอบแทนสมเหตุ มี 3 ข้อนี้ในองค์กรไหน คุณคือผู้โชคดี
ตลอดชีวิตการทำงานของคุณที่นั่น จะกลายเป็นความสุขในทุกๆวัน ทันที
อารมณ์แบบอยากตื่นไปทำงานทุกวัน แม้วันหยุดก็ไม่อยากหยุด กันเลยทีเดียว
(อันนี้หยอก เอาเวลาไหนซักผ้าล่ะ)
การทำงาน การเปลี่ยนที่ทำงานบ่อย ไม่ใช่เพราะเราอาจไม่ทนงาน ไม่สู้งาน
แต่ให้คิดว่า ต้องมีที่ไหนสักที่ ที่มันเหมาะกับเรา เงินเดือนที่เราพอใจ
เหมาะกับบุคลิกภาพ และ ความสามารถของเรา ตรงไทป์ความคิดของเรา
ใครๆก็โหยหา องค์กรที่มีสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น
บางคนอาจจะคิดว่า ที่นี่ก็ดีแล้ว ซึ่งคนนั้นอาจจะชอบแบบนี้ก็ได้
แต่บางคนอาจจะคิดคนละแบบ อาจจะไม่ชอบ เพราะไม่ตรงกับไทป์ของเรา
เพราะเราทุกคน รวมถึงผม ทำงานเพื่อมีรายได้เลี้ยงตัวเองและคนในครอบครัว
อะไรที่เกินจะทนไหว ก็ลองคิดทบทวนดู ว่ามันคุ้มค่ามั้ย กับการที่จะทำงานต่อไป คุ้มไหมกับความเสี่ยงที่เจอ
มีผลกระทบต่อจิตใจ ต่อความรู้สึก และสุขภาพจิตมากแค่ไหน
ความอดทนของคน ไม่เคยเท่ากัน ฉะนั้นใครทนได้มากกว่าใคร ไม่ควรเปรียบเทียบ เพราะไม่มีคำตอบ คนที่รู้คำตอบคือตัวของคุณเอง
สุดท้ายนี้ การเปลี่ยนงาน คือการเปิดโอกาสให้เราไปเจอในที่ที่ อาจจะดีกว่าที่เดิมก็ได้
อย่าท้อที่จะเปลี่ยนงาน อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนสังคม เปลี่ยนเพื่อนร่วมงาน เปลี่ยนหัวหน้างานและเปลี่ยนองค์กร
ไม่ว่าจะยังไง จากข้อความทั้งหมดที่ผมเขียนไป
ผมอยากแนะนำว่า การเปลี่ยนงาน ควรมีงานใหม่รองรับก่อน เซ็นต์สัญญาการจ้างงานเป็นลักษณ์อักษร นัดแนะเริ่มงานกันให้พร้อม ชัวร์ที่สุด
พยายามทำให้ตัวเองไม่ตกงาน การมีรายได้ต่อเนื่อง นับว่าคุณคือคนเก่ง ในระบบเศรษฐกิจตอนนี้ครับ
ความสุขของคุณ คุณต้องเลือกเอง แต่ความสุขนั้นต้องมีเงิน ทุกอย่างต้องใช้เงิน
การมีเงินทำให้ชีวิตเราสบาย เราสบาย ครอบครัวคนที่บ้านก็สบาย
ฉะนั้นไม่ว่ายังไง ก็ควรมีงานทำไว้ก่อน
การกลับมาอยู่บ้าน ใกล้พ่อแม่ แต่ถ้าเงินเดือนไม่พอใช้ อดมื้อกินมื้อ
ทำให้พ่อแม่เครียด ทำให้เขามาเครียดกับอนาคตของเรา มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดี นั่นไม่ได้เรียกว่าความสุขครับ
กลับกัน ถีบตัวเองให้รอดจากสถานะติดลบ หมดกำลังใจให้ได้และหาทางไปต่อให้ได้
แบบนี้คุ้มกว่า นอกจากจิตใจจะแกร่งขึ้นแล้ว เรายังมีรายได้ต่อไป เลี้ยงดูครอบครัวได้
อยู่ไกล แต่โทรหากันทุกวัน คอลวิดีโอตอนเลิกงาน ทานข้าวคนเดียวก็คอลหาพ่อแม่ทางบ้าน ทำให้มื้อนั้นการทานข้าวอร่อยขึ้นมาทันที
ยังไงเป็นกำลังให้นะครับ
จากมนุษย์เงินเดือนคนนึง