ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องกล่าวคำอำลากับเพื่อนสมาชิกทุกท่าน ที่จริงหากใครได้อ่านกระทู้ก่อนหน้านี้ผมก็ได้พูดเป็นนัยๆ ไว้แล้ว เพียงแต่อาจจะไม่ได้พูดตรงๆ รวมถึงถ้าใครที่ติดตามการแสดงความเห็นของผมมาโดยตลอด อาจจะพอจำได้ว่าผมเคยบอกไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็นานพอสมควร น่าจะประมาณ 1 ปีเห็นจะได้
เหตุผลที่ผมต้องรอมาถึงวันนี้ เพราะผมตั้งใจว่าจะขอตั้ง 2 กระทู้สุดท้ายก่อน แต่ก็ไม่สามารถเริ่มต้นได้สักที เพิ่งจะได้ตั้งกระทู้แรกไปเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งก็คือกระทู้ที่พูดถึงเรื่องการเจริญสติ (เจริญสติ VS ฝึกสติ) กับอีกกระทู้หนึ่งซึ่งผมจะขอนำมาพูดถึงรวมไว้ในกระทู้นี้เลย ข้อดีคือผมไม่ต้องเกริ่นนำอะไรแบบทุกกระทู้ที่ผมตั้ง และอาจจะเขียนแบบสั้นๆ แค่ให้ได้ประเด็นได้ใจความก็พอ และถือว่าเป็นการทิ้งท้ายร่ำลาด้วยเรื่องที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุด
และเป็นความโชคดีที่ในระหว่างนั้น ผมก็ได้มีโอกาสตั้งกระทู้ที่ผมคิดว่าสำคัญไม่แพ้กัน และเป็นกระทู้ที่ผมยินดีที่สุด นั่นคือ กระทู้ที่พูดถึงคำว่าพระสงฆ์กับพระภิกษุ แม้ว่าหลังจากนี้ผมไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป พวกเรายังจะเรียกพระภิกษุเป็นพระสงฆ์กันอยู่หรือไม่ แต่ผมก็ถือว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว และก็หวังว่าจะมีใครที่มาช่วยกันสานต่อสิ่งนี้
การที่ผมต้องมาตั้งกระทู้บอกลาเพื่อนสมาชิกแบบนี้ ไม่ใช่เพราะผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่สำคัญ หรือยิ่งใหญ่มาจากไหน หรืออยากให้คนมาอาลัยอาวรณ์ ที่จริงผมก็แค่หายหน้าไปเฉยๆ ก็ได้ แต่ผมมีเหตุผลที่อยากจะตั้งกระทู้บอกลา ส่วนเหตุผลคืออะไรนั้น ผมจะพูดถึงในช่วงท้าย
เนื่องจากหลังจากนี้ผมคงไม่ได้เข้ามาอีก รวมถึงผมจะขออนุญาตไม่ตอบความเห็นอะไร ดังนั้น ทุกท่านไม่จำเป็นต้องรีบอ่านทั้งหมด เพราะผมเชื่อว่ากระทู้นี้น่าจะเป็นกระทู้ที่ยาวที่สุดในชีวิต หวังว่าระบบจำกัดจำนวนตัวอักษรการโพสต์ของพันทิปจะเพียงพอกับสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้
ก่อนที่จะเข้าเรื่องสำคัญ ก็จะขอพูดถึงเรื่องที่ผมบอกว่าอยากจะขอตั้งเป็นกระทู้สุดท้ายก่อน เรื่องที่ว่านั้นก็คือ หลักสูตรการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นหรือชั้นแรกสุด ซึ่งผมไม่รู้ว่าเริ่มสอนกันเมื่อไหร่ ชั้นประถมหรือมัธยม รวมถึงผู้ศึกษาธรรมะขั้นเริ่มต้น เริ่มจากไม่รู้อะไรเลย สิ่งที่ควรศึกษาหรือทำความเข้าใจเป็นอย่างแรกสุด ก่อนที่จะไปศึกษาเรื่องอื่นๆ สิ่งนั้นก็คือ "คำในภาษาบาลี กับคำเดียวกันในภาษาไทย เป็นคนละความหมายกัน"
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา เรื่องง่ายๆ ที่ใครๆ ก็น่าจะรู้ แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และผมเชื่อว่าส่วนใหญ่จะไม่รู้
ยกตัวอย่าง ขันธ์ 5 ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ทั้ง 5 คำนี้มีการนำมาใช้ในภาษาไทยทั้งหมด แต่ความหมายเป็นคนละอย่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่เกี่ยวข้องกันเลย แม้แต่คำง่ายๆ คือ รูป ก็ไม่ใช่รูปในภาษาไทยที่เราใช้กัน คำว่าวิญญาณก็ไม่ใช่วิญญาณในภาษาไทย
จริงอยู่ การที่มีรากฐานเดิมมาจากภาษาบาลี หรือที่เรียกว่ายืมภาษาบาลีมาใช้ ย่อมต้องมีความหมายบางส่วนที่อาจจะคล้ายๆ กันบ้าง ไม่ถึงกับเป็นคนละเรื่องไปเลยก็เป็นไปได้ ยกตัวอย่างคำว่า เวทนา ถ้าเราถามเด็กว่านึกถึงอะไร ทุกคนจะตอบเหมือนกันว่านึกถึงความทุกข์ ความน่าสงสาร ความทรมาน ความเจ็บปวด ฯลฯ
ถ้าบอกว่า ความสุข เช่น การไปเที่ยวสวนสนุก การได้กินอาหารอร่อย กินขนม กินไอติม นั่นก็เรียกว่า เวทนา เช่นกัน เด็กๆ จะไม่เชื่อเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม คำบางคำในภาษาไทย อาจจะมีความหมายตรงกับภาษาบาลีเลยก็มี แต่เราต้องบอกให้รู้ว่าตั้งแต่แรกว่า ถ้าคำใดที่มีความหมายไม่เหมือนกัน ต้องอย่าเอามาปนกันเลย เรียกว่าให้ลืมความหมายของภาษาไทยทิ้งไปเลย
หลายคนอาจจะบอกว่า เรื่องพวกนี้ คนที่ศึกษาธรรมะไม่น่าจะมีใครที่ไม่รู้ แต่ผมมีตัวอย่าง เช่นคำว่า สังขาร อาจารย์ธีรยุทธ เวชเจริญยิ่ง ถามคนที่มาฟังการบรรยาย ซึ่งมาปฏิบัติธรรมด้วยการนั่งสมาธิ ถามว่าสังขารคืออะไร? มีคนตอบว่า สังขารคือร่างกาย
นี่ขนาดเป็นคนที่มาปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ แสดงว่าต้องพอรู้เรื่องธรรมะมาบ้างแล้ว ยังไม่รู้ว่าสังขารคืออะไร เข้าใจว่าสังขารคือร่างกายที่ใช้กันในภาษาไทย
อีกตัวอย่างเกิดขึ้นกับผมเอง หมายถึงกับสมาชิกในพันทิปห้องศาสนาแห่งนี้ที่ได้สนทนากับผม ซึ่งสมาชิกท่านดังกล่าวอยู่ในที่แห่งนี้มานาน ทุกคนรู้จักดี ผมเองก็เห็นมานาน น่าจะเข้ามาที่นี่ก่อนผมเกิน 10 ปี ตอบคำถามคนอื่นก็มากมาย แต่กลับมีความเชื่อว่าคำในภาษาไทยกับภาษาบาลีที่มีความหมายต่างกัน สามารถเอามาใช้แทนกันได้
จำได้ว่าตอนนั้นคุยกันเรื่องคำว่า สัญญา ซึ่งในภาษาไทยหมายถึงข้อตกลง การทำความตกลงกัน สมาชิกท่านนั้นก็อธิบายอะไรผมจำไม่ได้เพื่อจะให้คำว่าสัญญา (ในขันธ์ 5) เป็นเรื่องข้อตกลงด้วย เป็นต้น
เอาเป็นว่า เพื่อให้รวบรัด ผมก็ขอพูดถึงเรื่องนี้สั้นๆ เพียงเท่านี้ หวังว่าจะมีคนที่เข้าใจและนำไปต่อยอดได้ ซึ่งอะไรจะเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของอนาคต ผมได้ทำหน้าที่ของผมแล้ว
ต่อไปก็มาถึงเรื่องสำคัญ นั่นคือเรื่องที่ผมมาร่ำลาเพื่อนสมาชิกทุกท่าน
ก่อนอื่น บุคคลหนึ่งที่ผมจะขอเอ่ยถึง และถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยทำให้การตัดสินใจของผมง่ายขึ้น และหากไม่มีบุคคลผู้นี้ ผมไม่รู้ว่าจะมีวันนี้เมื่อไหร่ บุคคลผู้นั้นก็คือ คุณสมาชิกหมายเลข 6700447 (ต่อไปผมจะขอเรียกว่า คุณ 0447)
ผมมี 2 เหตุผลที่จำเป็นต้องพูดถึงคุณ 0447 เหตุผลแรก เป็นการให้คำแนะนำ คำตักเตือน เพราะสิ่งที่คุณ 0447 ทำนั้นไม่ถูกต้อง ไม่ควรทำสิ่งนี้กับคนอื่น และคนอื่นก็ไม่ควรทำตาม กับอีกเหตุผลก็คือ เป็นการขอบคุณ เพราะสิ่งที่คุณ 0447 ถึงจะไม่ถูกต้อง แต่มีคุณประโยชน์กับผม
หลายคนอาจจะสงสัยว่า เป็นไปได้อย่างไรที่มี 2 เหตุผลแบบนี้ในเวลาเดียวกัน ผมอาจจะเทียบไม่ได้แม้แต่เศษฝุ่นปลายเล็บเท้าของพระพุทธเจ้า แต่ผมจะขอ(บังอาจ)ยกกรณีพระองค์ท่านมาเปรียบเทียบ นั่นคือ กรณีนายจุนทะ ที่ถวายอาหารมื้อสุดท้ายให้กับพระพุทธเจ้า ซึ่งอาหารนั้นเป็นพิษจนพระองค์ท่านต้องปรินิพพาน
พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับสาวกว่า คนที่มีคุณประโยชน์กับท่านมากที่สุด ได้อานิสงส์มาก มี 2 คน คนแรกคือนางสุชาดาที่ถวายอาหารมื้อแรก และคนที่ 2 คือนายจุนทะที่ถวายอาหารมื้อสุดท้ายนี้ แม้ว่าอาหารจะเป็นพิษก็ตาม
ที่จริง กรณีนายจุนทะทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้มีเจตนา ตั้งใจเลือกอาหารที่ดีที่สุดให้กับพระพุทธเจ้า แต่อาหารนั้นกลับเป็นพิษ ซึ่งหลังจากนี้อาหารนั้นก็ไม่ถูกนำมาบริโภคอีกต่อไป
แต่สำหรับกรณีคุณ 0447 อาจจะไม่เหมือนกัน เพราะเป็นความตั้งใจ ความจงใจ และเกิดจากเจตนาที่ไม่ค่อยดี แต่ถึงจะเป็นความจงใจก็ตาม สิ่งนั้นเกิดประโยชน์กับตัวผม
ปกติผมเป็นคนไม่พูดโกหก ผมขอยืนยันว่าผมพูดจากใจจริง ไม่ได้ประชดหรือเสียดสีใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าไม่มีคุณ 0447 ก็คงไม่มีวันนี้
ถามว่าคุณ 0447 ได้ทำอะไรกับผม?
คุณ 0447 ใช้คำพูดที่ก้าวร้าว หยาบคาย เช่น ไอ้โง่ ไอ้เด็กอนุบาล ใช้คำพูดไล่ผมแบบไม่สนใจว่ากำลังพูดกับใคร เช่น "เด็กอนุบาลเอ้ย! ไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วกินนมนอนไป"
บอกตามตรงว่าตอนแรกที่ผมอ่าน ผมไม่มีความรู้สึกโกรธเคืองอะไรเลย ไม่ถือสาอะไร รู้สึกเมตตาด้วยซ้ำ รู้ว่าคุณ 0447 คงไม่พอใจถึงแสดงความเห็นออกมาแบบนี้
แต่ภายหลังผมมาคิดอีกทีว่า ต่อไปถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาอีก แล้วผมก็เฉยๆ แบบนี้อีก เท่ากับเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้คุณ 0447 ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ และถ้ามากเข้าๆ เกิดย่ามใจขึ้นมา นึกว่าจะพูดอะไรกับใครก็ได้ ไม่มีใครกล้าทำอะไร ก็จะเป็นผลเสีย
ถ้าจะให้ผมมาตอบโต้อะไรผมก็คงทำไม่ได้ หรือตักเตือนไปก็คงไม่ฟัง
และผมก็ลองมาคิดเล่นๆ ว่า ถ้าคุณ 0447 พูดกับผมแบบนี้ต่อหน้า หมายถึงพูดกับผมตัวเป็นๆ หรือพูดทางเฟซบุ้คที่มีคนรู้จักผม มีความเป็นตัวตนเกิดขึ้นกับผม จะเกิดอะไรขึ้นกับคุณ 0447 และผมจะยังรู้สึกเฉยแบบนี้หรือไม่ น่าคิดเหมือนกัน
เอาเป็นว่าสิ่งที่ผมอยากจะเตือนคุณ 0447 นั่นก็คือ ต่อไปอย่าทำแบบนี้กับใคร หากทุกวันนี้ทำอยู่เป็นปกติกับคนอื่นๆ ขอให้เลิกพฤติกรรมนี้ ยกเว้นว่าจะยอมเปิดเผยตัวตน พร้อมที่จะรับผิดชอบการคำพูดนั้น
ผมขอพูดถึงคุณ 0447 เพียงเท่านี้ ถามว่า แล้วหลังจากนี้ผมจะทำอะไรต่อไป โดยเฉพาะกับพระพุทธศาสนา?
เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมเคยตอบคำถามเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่งที่ถามว่า เป้าหมายหรือสิ่งที่ผมอยากให้เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาคืออะไร?
สิ่งหนึ่งที่ผมตอบไปคือ ผมอยากให้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นเอกภาพ
คำว่าเอกภาพ หมายถึงเป็นหนึ่งเดียว ทุกคนมีความเข้าใจธรรมะที่ตรงกัน ไม่ใช่แยกฝักแยกฝ่าย สานโน้นสายนี้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง เหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะปฏิบัติในแนวทางใด (หมายถึงปฏิบัติอย่างถูกต้อง) ซึ่งการที่ผมจะทำสิ่งนั้นโดยใช้เว็บแห่งนี้ แม้จะไม่ถึงกับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แต่ก็ประมาณตำน้ำพริกละลายกาละมังใบใหญ่ มันค่อนข้างจะเจือจาง และจะมีคนที่เห็นขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา
เว็บแห่งนี้ หมายถึงห้องศาสนาพุทธ ประกอบด้วยคนหลากหลาย ทั้งลูกศิษย์ธรรมกาย คึกฤทธิ์ สันติอโศก ป้าสุจินต์ คนที่ต่อต้านท่านพุทธทาส ต่อต้านหลวงพ่อปราโมทย์ มารวมกัน หากผมจะทำให้ศาสนาพุทธเป็นเอกภาพได้จริง ต้องอาศัยพื้นที่ของผมเอง บ้านของผมเอง ไม่ใช่ไปอาศัยบ้านผู้อื่นแบบนี้
ผมไม่ได้บอกว่าผมจะไปทำเว็บเอง ผมไม่คิดว่าผมจะทำได้อีกแล้ว ตอนนี้อายุก็มากแล้วด้วย ไฟในการทำงานก็กำลังหมด งานที่ทำอยู่ก็ค่อนข้างมาก อีกทั้งความเข้าใจธรรมะทำให้ความทะเยอทะยานผมลดน้อยลงจนแทบไม่เหลือเลย แต่ผมก็คงไม่ทิ้งพระพุทธศาสนาไปไหน และจะหาโอกาสหาวิธีทำให้คนเข้าใจศาสนาพุทธเพิ่มมากขึ้น แต่จะด้วยวิธีไหนก็อยู่ที่อนาคต
มาถึงเรื่องสุดท้าย ว่าทำไมผมถึงต้องมากล่าวร่ำลาเพื่อนๆ ทุกท่าน
ผมเข้ามาเว็บพันทิปห้องศาสนา เป็นเวลา 10 ปีเศษๆ น่าจะได้ (หลังน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพ 1-2 ปี) แสดงความเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน โดยทุกความเห็นผมไม่เคยก็อปปี้ของเก่าแล้วเอามาตัดแปะใดๆ ทั้งสิ้น ทุกความเห็นผมเขียนออกมาจากหัวใจ ด้วยความรู้สึกที่ปรารถนาดีจริงๆ และเขียนขึ้นมาใหม่เพื่อบุคคลคนนั้นโดยเฉพาะ (แต่ก็จะนึกถึงคนอื่นที่มีความทุกข์แบบเดียวกันเข้ามาอ่านด้วย) เนื้อหาแต่ละคนจึงอาจจะแตกต่างกันบ้าง เหมือนกันบ้าง คลิปที่แนะนำก็เจาะจงเฉพาะบุคคลนั้นๆ ซึ่งผมจะดูจากประวัติการโพสต์ว่าเข้าใจธรรมะระดับไหน
ดังนั้น ถ้าผมเคยแสดงความเห็นกับใครก็ตามแล้วยังไม่ได้อ่าน หรืออ่านผ่านๆ หลังจากวันนี้ผมอยากให้ลองเข้าไปดูใหม่ ลองกลับไปอ่านใหม่
ซึ่งหากผมจากไปเฉยๆ โดยไม่บอกลา สิ่งที่ผมเคยแสดงความเห็นไว้อาจจะไม่เกิดประโยชน์อะไร
ถ้าจะเปรียบเทียบก็คล้ายๆ ศิลปินที่ชื่อว่า แวนโก๊ะ ที่ตอนมีชีวิตอยู่ผลงานไม่มีคนสนใจ จนกระทั่งเมื่อเขาตายไปแล้วผลงานของเขาก็มีคุณค่าหลังจากนั้น
ช่วงเวลาที่ผมรอให้ถึงวันนี้ มีสมาชิกจำนวนมากที่มีความทุกข์เข้ามาตั้งกระทู้ถามอยู่เรื่อยๆ บางครั้งผมคิดว่าถ้าผมลาจากพันทิปผมสามารถทำใจไม่ตอบคำถามแบบนี้ได้หรือไม่?
ซึ่งผมก็มาคิดว่า วันนี้มีกระทู้แบบนี้เกิดขึ้น อีก 1-2 วันก็มีกระทู้ที่ถามคำถามเดิมนี้เกิดขึ้นมาอีก ดังนั้น เราต้องยอมรับ และที่จริงหากผมเป็นคนทำเว็บเอง ผมสามารถจัดการให้มีบทความที่ไม่ต้องมาโพสต์ซ้ำๆ กันได้ด้วย อันนี้ผมคิดเล่นๆ เองในช่วงที่ผ่านมา
ผมคงไม่มีอะไรจะเขียนเพิ่มเติม ที่จริงผมสามารถเขียนไปเรื่อยๆ ได้ถึงวันพรุ่งนี้ได้เลย แต่คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรอีก ผมตั้งใจว่าจะทำตัวเองให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจก่อน และหลังจากนั้นผมจะนำความรู้มาใช้ประโยชน์แน่นอน ไม่ทิ้งไปไหน
ขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง และขอบคุณพันทิปที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมเข้าใจธรรมะ และผมขออนุญาตไม่ตอบความเห็นใดๆ หลังจากนี้
บุญกุศลใดๆ ก็ตามที่ผมได้ทำไว้ ไม่ว่าชาติใดก็ตาม ขอให้เพื่อนสมาชิกทุกท่านในที่นี้ ได้พบครูบาอาจารย์ที่ดีๆ และได้ไปถึงเป้าหมายกันทุกท่านทุกคน
ขออำลาเพื่อนสมาชิกทุกท่าน ด้วยกระทู้สุดท้ายนี้
เหตุผลที่ผมต้องรอมาถึงวันนี้ เพราะผมตั้งใจว่าจะขอตั้ง 2 กระทู้สุดท้ายก่อน แต่ก็ไม่สามารถเริ่มต้นได้สักที เพิ่งจะได้ตั้งกระทู้แรกไปเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งก็คือกระทู้ที่พูดถึงเรื่องการเจริญสติ (เจริญสติ VS ฝึกสติ) กับอีกกระทู้หนึ่งซึ่งผมจะขอนำมาพูดถึงรวมไว้ในกระทู้นี้เลย ข้อดีคือผมไม่ต้องเกริ่นนำอะไรแบบทุกกระทู้ที่ผมตั้ง และอาจจะเขียนแบบสั้นๆ แค่ให้ได้ประเด็นได้ใจความก็พอ และถือว่าเป็นการทิ้งท้ายร่ำลาด้วยเรื่องที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุด
และเป็นความโชคดีที่ในระหว่างนั้น ผมก็ได้มีโอกาสตั้งกระทู้ที่ผมคิดว่าสำคัญไม่แพ้กัน และเป็นกระทู้ที่ผมยินดีที่สุด นั่นคือ กระทู้ที่พูดถึงคำว่าพระสงฆ์กับพระภิกษุ แม้ว่าหลังจากนี้ผมไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป พวกเรายังจะเรียกพระภิกษุเป็นพระสงฆ์กันอยู่หรือไม่ แต่ผมก็ถือว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว และก็หวังว่าจะมีใครที่มาช่วยกันสานต่อสิ่งนี้
การที่ผมต้องมาตั้งกระทู้บอกลาเพื่อนสมาชิกแบบนี้ ไม่ใช่เพราะผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่สำคัญ หรือยิ่งใหญ่มาจากไหน หรืออยากให้คนมาอาลัยอาวรณ์ ที่จริงผมก็แค่หายหน้าไปเฉยๆ ก็ได้ แต่ผมมีเหตุผลที่อยากจะตั้งกระทู้บอกลา ส่วนเหตุผลคืออะไรนั้น ผมจะพูดถึงในช่วงท้าย
เนื่องจากหลังจากนี้ผมคงไม่ได้เข้ามาอีก รวมถึงผมจะขออนุญาตไม่ตอบความเห็นอะไร ดังนั้น ทุกท่านไม่จำเป็นต้องรีบอ่านทั้งหมด เพราะผมเชื่อว่ากระทู้นี้น่าจะเป็นกระทู้ที่ยาวที่สุดในชีวิต หวังว่าระบบจำกัดจำนวนตัวอักษรการโพสต์ของพันทิปจะเพียงพอกับสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้
ก่อนที่จะเข้าเรื่องสำคัญ ก็จะขอพูดถึงเรื่องที่ผมบอกว่าอยากจะขอตั้งเป็นกระทู้สุดท้ายก่อน เรื่องที่ว่านั้นก็คือ หลักสูตรการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นหรือชั้นแรกสุด ซึ่งผมไม่รู้ว่าเริ่มสอนกันเมื่อไหร่ ชั้นประถมหรือมัธยม รวมถึงผู้ศึกษาธรรมะขั้นเริ่มต้น เริ่มจากไม่รู้อะไรเลย สิ่งที่ควรศึกษาหรือทำความเข้าใจเป็นอย่างแรกสุด ก่อนที่จะไปศึกษาเรื่องอื่นๆ สิ่งนั้นก็คือ "คำในภาษาบาลี กับคำเดียวกันในภาษาไทย เป็นคนละความหมายกัน"
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา เรื่องง่ายๆ ที่ใครๆ ก็น่าจะรู้ แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และผมเชื่อว่าส่วนใหญ่จะไม่รู้
ยกตัวอย่าง ขันธ์ 5 ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ทั้ง 5 คำนี้มีการนำมาใช้ในภาษาไทยทั้งหมด แต่ความหมายเป็นคนละอย่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่เกี่ยวข้องกันเลย แม้แต่คำง่ายๆ คือ รูป ก็ไม่ใช่รูปในภาษาไทยที่เราใช้กัน คำว่าวิญญาณก็ไม่ใช่วิญญาณในภาษาไทย
จริงอยู่ การที่มีรากฐานเดิมมาจากภาษาบาลี หรือที่เรียกว่ายืมภาษาบาลีมาใช้ ย่อมต้องมีความหมายบางส่วนที่อาจจะคล้ายๆ กันบ้าง ไม่ถึงกับเป็นคนละเรื่องไปเลยก็เป็นไปได้ ยกตัวอย่างคำว่า เวทนา ถ้าเราถามเด็กว่านึกถึงอะไร ทุกคนจะตอบเหมือนกันว่านึกถึงความทุกข์ ความน่าสงสาร ความทรมาน ความเจ็บปวด ฯลฯ
ถ้าบอกว่า ความสุข เช่น การไปเที่ยวสวนสนุก การได้กินอาหารอร่อย กินขนม กินไอติม นั่นก็เรียกว่า เวทนา เช่นกัน เด็กๆ จะไม่เชื่อเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม คำบางคำในภาษาไทย อาจจะมีความหมายตรงกับภาษาบาลีเลยก็มี แต่เราต้องบอกให้รู้ว่าตั้งแต่แรกว่า ถ้าคำใดที่มีความหมายไม่เหมือนกัน ต้องอย่าเอามาปนกันเลย เรียกว่าให้ลืมความหมายของภาษาไทยทิ้งไปเลย
หลายคนอาจจะบอกว่า เรื่องพวกนี้ คนที่ศึกษาธรรมะไม่น่าจะมีใครที่ไม่รู้ แต่ผมมีตัวอย่าง เช่นคำว่า สังขาร อาจารย์ธีรยุทธ เวชเจริญยิ่ง ถามคนที่มาฟังการบรรยาย ซึ่งมาปฏิบัติธรรมด้วยการนั่งสมาธิ ถามว่าสังขารคืออะไร? มีคนตอบว่า สังขารคือร่างกาย
นี่ขนาดเป็นคนที่มาปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ แสดงว่าต้องพอรู้เรื่องธรรมะมาบ้างแล้ว ยังไม่รู้ว่าสังขารคืออะไร เข้าใจว่าสังขารคือร่างกายที่ใช้กันในภาษาไทย
อีกตัวอย่างเกิดขึ้นกับผมเอง หมายถึงกับสมาชิกในพันทิปห้องศาสนาแห่งนี้ที่ได้สนทนากับผม ซึ่งสมาชิกท่านดังกล่าวอยู่ในที่แห่งนี้มานาน ทุกคนรู้จักดี ผมเองก็เห็นมานาน น่าจะเข้ามาที่นี่ก่อนผมเกิน 10 ปี ตอบคำถามคนอื่นก็มากมาย แต่กลับมีความเชื่อว่าคำในภาษาไทยกับภาษาบาลีที่มีความหมายต่างกัน สามารถเอามาใช้แทนกันได้
จำได้ว่าตอนนั้นคุยกันเรื่องคำว่า สัญญา ซึ่งในภาษาไทยหมายถึงข้อตกลง การทำความตกลงกัน สมาชิกท่านนั้นก็อธิบายอะไรผมจำไม่ได้เพื่อจะให้คำว่าสัญญา (ในขันธ์ 5) เป็นเรื่องข้อตกลงด้วย เป็นต้น
เอาเป็นว่า เพื่อให้รวบรัด ผมก็ขอพูดถึงเรื่องนี้สั้นๆ เพียงเท่านี้ หวังว่าจะมีคนที่เข้าใจและนำไปต่อยอดได้ ซึ่งอะไรจะเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของอนาคต ผมได้ทำหน้าที่ของผมแล้ว
ต่อไปก็มาถึงเรื่องสำคัญ นั่นคือเรื่องที่ผมมาร่ำลาเพื่อนสมาชิกทุกท่าน
ก่อนอื่น บุคคลหนึ่งที่ผมจะขอเอ่ยถึง และถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยทำให้การตัดสินใจของผมง่ายขึ้น และหากไม่มีบุคคลผู้นี้ ผมไม่รู้ว่าจะมีวันนี้เมื่อไหร่ บุคคลผู้นั้นก็คือ คุณสมาชิกหมายเลข 6700447 (ต่อไปผมจะขอเรียกว่า คุณ 0447)
ผมมี 2 เหตุผลที่จำเป็นต้องพูดถึงคุณ 0447 เหตุผลแรก เป็นการให้คำแนะนำ คำตักเตือน เพราะสิ่งที่คุณ 0447 ทำนั้นไม่ถูกต้อง ไม่ควรทำสิ่งนี้กับคนอื่น และคนอื่นก็ไม่ควรทำตาม กับอีกเหตุผลก็คือ เป็นการขอบคุณ เพราะสิ่งที่คุณ 0447 ถึงจะไม่ถูกต้อง แต่มีคุณประโยชน์กับผม
หลายคนอาจจะสงสัยว่า เป็นไปได้อย่างไรที่มี 2 เหตุผลแบบนี้ในเวลาเดียวกัน ผมอาจจะเทียบไม่ได้แม้แต่เศษฝุ่นปลายเล็บเท้าของพระพุทธเจ้า แต่ผมจะขอ(บังอาจ)ยกกรณีพระองค์ท่านมาเปรียบเทียบ นั่นคือ กรณีนายจุนทะ ที่ถวายอาหารมื้อสุดท้ายให้กับพระพุทธเจ้า ซึ่งอาหารนั้นเป็นพิษจนพระองค์ท่านต้องปรินิพพาน
พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับสาวกว่า คนที่มีคุณประโยชน์กับท่านมากที่สุด ได้อานิสงส์มาก มี 2 คน คนแรกคือนางสุชาดาที่ถวายอาหารมื้อแรก และคนที่ 2 คือนายจุนทะที่ถวายอาหารมื้อสุดท้ายนี้ แม้ว่าอาหารจะเป็นพิษก็ตาม
ที่จริง กรณีนายจุนทะทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้มีเจตนา ตั้งใจเลือกอาหารที่ดีที่สุดให้กับพระพุทธเจ้า แต่อาหารนั้นกลับเป็นพิษ ซึ่งหลังจากนี้อาหารนั้นก็ไม่ถูกนำมาบริโภคอีกต่อไป
แต่สำหรับกรณีคุณ 0447 อาจจะไม่เหมือนกัน เพราะเป็นความตั้งใจ ความจงใจ และเกิดจากเจตนาที่ไม่ค่อยดี แต่ถึงจะเป็นความจงใจก็ตาม สิ่งนั้นเกิดประโยชน์กับตัวผม
ปกติผมเป็นคนไม่พูดโกหก ผมขอยืนยันว่าผมพูดจากใจจริง ไม่ได้ประชดหรือเสียดสีใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าไม่มีคุณ 0447 ก็คงไม่มีวันนี้
ถามว่าคุณ 0447 ได้ทำอะไรกับผม?
คุณ 0447 ใช้คำพูดที่ก้าวร้าว หยาบคาย เช่น ไอ้โง่ ไอ้เด็กอนุบาล ใช้คำพูดไล่ผมแบบไม่สนใจว่ากำลังพูดกับใคร เช่น "เด็กอนุบาลเอ้ย! ไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วกินนมนอนไป"
บอกตามตรงว่าตอนแรกที่ผมอ่าน ผมไม่มีความรู้สึกโกรธเคืองอะไรเลย ไม่ถือสาอะไร รู้สึกเมตตาด้วยซ้ำ รู้ว่าคุณ 0447 คงไม่พอใจถึงแสดงความเห็นออกมาแบบนี้
แต่ภายหลังผมมาคิดอีกทีว่า ต่อไปถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาอีก แล้วผมก็เฉยๆ แบบนี้อีก เท่ากับเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้คุณ 0447 ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ และถ้ามากเข้าๆ เกิดย่ามใจขึ้นมา นึกว่าจะพูดอะไรกับใครก็ได้ ไม่มีใครกล้าทำอะไร ก็จะเป็นผลเสีย
ถ้าจะให้ผมมาตอบโต้อะไรผมก็คงทำไม่ได้ หรือตักเตือนไปก็คงไม่ฟัง
และผมก็ลองมาคิดเล่นๆ ว่า ถ้าคุณ 0447 พูดกับผมแบบนี้ต่อหน้า หมายถึงพูดกับผมตัวเป็นๆ หรือพูดทางเฟซบุ้คที่มีคนรู้จักผม มีความเป็นตัวตนเกิดขึ้นกับผม จะเกิดอะไรขึ้นกับคุณ 0447 และผมจะยังรู้สึกเฉยแบบนี้หรือไม่ น่าคิดเหมือนกัน
เอาเป็นว่าสิ่งที่ผมอยากจะเตือนคุณ 0447 นั่นก็คือ ต่อไปอย่าทำแบบนี้กับใคร หากทุกวันนี้ทำอยู่เป็นปกติกับคนอื่นๆ ขอให้เลิกพฤติกรรมนี้ ยกเว้นว่าจะยอมเปิดเผยตัวตน พร้อมที่จะรับผิดชอบการคำพูดนั้น
ผมขอพูดถึงคุณ 0447 เพียงเท่านี้ ถามว่า แล้วหลังจากนี้ผมจะทำอะไรต่อไป โดยเฉพาะกับพระพุทธศาสนา?
เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมเคยตอบคำถามเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่งที่ถามว่า เป้าหมายหรือสิ่งที่ผมอยากให้เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาคืออะไร?
สิ่งหนึ่งที่ผมตอบไปคือ ผมอยากให้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นเอกภาพ
คำว่าเอกภาพ หมายถึงเป็นหนึ่งเดียว ทุกคนมีความเข้าใจธรรมะที่ตรงกัน ไม่ใช่แยกฝักแยกฝ่าย สานโน้นสายนี้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง เหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะปฏิบัติในแนวทางใด (หมายถึงปฏิบัติอย่างถูกต้อง) ซึ่งการที่ผมจะทำสิ่งนั้นโดยใช้เว็บแห่งนี้ แม้จะไม่ถึงกับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แต่ก็ประมาณตำน้ำพริกละลายกาละมังใบใหญ่ มันค่อนข้างจะเจือจาง และจะมีคนที่เห็นขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา
เว็บแห่งนี้ หมายถึงห้องศาสนาพุทธ ประกอบด้วยคนหลากหลาย ทั้งลูกศิษย์ธรรมกาย คึกฤทธิ์ สันติอโศก ป้าสุจินต์ คนที่ต่อต้านท่านพุทธทาส ต่อต้านหลวงพ่อปราโมทย์ มารวมกัน หากผมจะทำให้ศาสนาพุทธเป็นเอกภาพได้จริง ต้องอาศัยพื้นที่ของผมเอง บ้านของผมเอง ไม่ใช่ไปอาศัยบ้านผู้อื่นแบบนี้
ผมไม่ได้บอกว่าผมจะไปทำเว็บเอง ผมไม่คิดว่าผมจะทำได้อีกแล้ว ตอนนี้อายุก็มากแล้วด้วย ไฟในการทำงานก็กำลังหมด งานที่ทำอยู่ก็ค่อนข้างมาก อีกทั้งความเข้าใจธรรมะทำให้ความทะเยอทะยานผมลดน้อยลงจนแทบไม่เหลือเลย แต่ผมก็คงไม่ทิ้งพระพุทธศาสนาไปไหน และจะหาโอกาสหาวิธีทำให้คนเข้าใจศาสนาพุทธเพิ่มมากขึ้น แต่จะด้วยวิธีไหนก็อยู่ที่อนาคต
มาถึงเรื่องสุดท้าย ว่าทำไมผมถึงต้องมากล่าวร่ำลาเพื่อนๆ ทุกท่าน
ผมเข้ามาเว็บพันทิปห้องศาสนา เป็นเวลา 10 ปีเศษๆ น่าจะได้ (หลังน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพ 1-2 ปี) แสดงความเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน โดยทุกความเห็นผมไม่เคยก็อปปี้ของเก่าแล้วเอามาตัดแปะใดๆ ทั้งสิ้น ทุกความเห็นผมเขียนออกมาจากหัวใจ ด้วยความรู้สึกที่ปรารถนาดีจริงๆ และเขียนขึ้นมาใหม่เพื่อบุคคลคนนั้นโดยเฉพาะ (แต่ก็จะนึกถึงคนอื่นที่มีความทุกข์แบบเดียวกันเข้ามาอ่านด้วย) เนื้อหาแต่ละคนจึงอาจจะแตกต่างกันบ้าง เหมือนกันบ้าง คลิปที่แนะนำก็เจาะจงเฉพาะบุคคลนั้นๆ ซึ่งผมจะดูจากประวัติการโพสต์ว่าเข้าใจธรรมะระดับไหน
ดังนั้น ถ้าผมเคยแสดงความเห็นกับใครก็ตามแล้วยังไม่ได้อ่าน หรืออ่านผ่านๆ หลังจากวันนี้ผมอยากให้ลองเข้าไปดูใหม่ ลองกลับไปอ่านใหม่
ซึ่งหากผมจากไปเฉยๆ โดยไม่บอกลา สิ่งที่ผมเคยแสดงความเห็นไว้อาจจะไม่เกิดประโยชน์อะไร
ถ้าจะเปรียบเทียบก็คล้ายๆ ศิลปินที่ชื่อว่า แวนโก๊ะ ที่ตอนมีชีวิตอยู่ผลงานไม่มีคนสนใจ จนกระทั่งเมื่อเขาตายไปแล้วผลงานของเขาก็มีคุณค่าหลังจากนั้น
ช่วงเวลาที่ผมรอให้ถึงวันนี้ มีสมาชิกจำนวนมากที่มีความทุกข์เข้ามาตั้งกระทู้ถามอยู่เรื่อยๆ บางครั้งผมคิดว่าถ้าผมลาจากพันทิปผมสามารถทำใจไม่ตอบคำถามแบบนี้ได้หรือไม่?
ซึ่งผมก็มาคิดว่า วันนี้มีกระทู้แบบนี้เกิดขึ้น อีก 1-2 วันก็มีกระทู้ที่ถามคำถามเดิมนี้เกิดขึ้นมาอีก ดังนั้น เราต้องยอมรับ และที่จริงหากผมเป็นคนทำเว็บเอง ผมสามารถจัดการให้มีบทความที่ไม่ต้องมาโพสต์ซ้ำๆ กันได้ด้วย อันนี้ผมคิดเล่นๆ เองในช่วงที่ผ่านมา
ผมคงไม่มีอะไรจะเขียนเพิ่มเติม ที่จริงผมสามารถเขียนไปเรื่อยๆ ได้ถึงวันพรุ่งนี้ได้เลย แต่คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรอีก ผมตั้งใจว่าจะทำตัวเองให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจก่อน และหลังจากนั้นผมจะนำความรู้มาใช้ประโยชน์แน่นอน ไม่ทิ้งไปไหน
ขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง และขอบคุณพันทิปที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมเข้าใจธรรมะ และผมขออนุญาตไม่ตอบความเห็นใดๆ หลังจากนี้
บุญกุศลใดๆ ก็ตามที่ผมได้ทำไว้ ไม่ว่าชาติใดก็ตาม ขอให้เพื่อนสมาชิกทุกท่านในที่นี้ ได้พบครูบาอาจารย์ที่ดีๆ และได้ไปถึงเป้าหมายกันทุกท่านทุกคน