ม็อบรถบรรทุก-แท็กซี่ จี้ 'สุพัฒนพงษ์' ลาออก ขีดเส้น 7 วันรัฐแก้น้ำมันแพง
https://ch3plus.com/news/category/278222
ม็อบรถบรรทุก ยังปักหลักชุมนุมหน้ากระทรวงพลังงาน ย้ำให้เวลารัฐบาล 7 วัน แก้ไขปัญหาน้ำมันแพง และรัฐมนตรีพลังงานต้องลาออก ไม่เช่นนั้นจะยกระดับการเคลื่อนไหว
โดยนาย
อภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การชุมนุมเมื่อวานนี้ (8 ก.พ. 65) ก็เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลดูแลราคาน้ำมันดีเซล โดยขอให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ลิตรละ 25 บาท ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล และนำไบโอดีเซลออกจากระบบ พร้อมเรียกร้องให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่สามารถบริหารงานดูแลราคาน้ำมันได้
และพร้อมยกระดับการเคลื่อนไหว หากรัฐบาลยังนิ่งเฉยต่อข้อเรียกร้อง โดยยื่นคำขาดให้รัฐบาลตอบรับ หรือ ออกมาตรการมาแก้ไขปัญหาภายใน 7 วัน โดยเริ่มจากการปรับขึ้นค่าขนส่ง 15-20% มีผลตั้งแต่วานนี้ (8 ก.พ.) ส่วนจะปักหลักค้างคืนหรือไม่ รอประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ในช่วงค่ำ
ส่วนการที่ประกาศว่า วานนี้เป็นไฟนอลซีซั่นในการประท้วงนั้น จะยังคงประท้วงต่อไป เพราะคนขับรถ ที่นำรถเครนมาจอดนั้น ได้ถูกตำรวจไปคุกคามถึงบ้าน
ขณะเดียวกัน ทางกลุ่มรถแท็กซี่ นำโดยนายวิฑูรย์ แนวพานิช นายกสมาคมการค้าเครือข่ายแท็กซี่ไทย ได้นำรถแท็กซี่มาเรียกร้อง และยื่นหนังสือต่อกระทรวงพลังงาน ขอให้พิจารณาปรับลดราคาก๊าซธรรมชาติ หรือ NGV ที่ขณะนี้อยู่ที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคา LPG สำหรับภาคขนส่ง ที่อยู่ที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้ลดราคา NGV ลงมาเหลือไม่เกินกิโลฯ ละ 10 บาทและLPG ไม่เกินกิโลฯ ละ 9 บาท โดยยืนยันสิ่งที่มาร้อง เพราะเวลานี้ลำบากมาก แท็กซี่ที่มีอยู่ 85,000 คัน เหลือวิ่งไม่ถึง 50,000 คัน มีรายได้เฉลี่ยแค่วันละ 800 บาท เจอค่าก๊าซฯ ก็ 500 บาทต่อวันแล้ว เหลือรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพท่ามกลางสินค้าต่างๆ ก็แพงขึ้น
ขณะที่นาย
สมบูรณ์ หน่อแก้ว รองปลัดกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นตัวแทนรับหนังสือจากกลุ่มรถบรรทุก ระบุว่า เข้าใจความเดือดร้อนทุกฝ่าย เเต่ขณะนี้ประเทศไทยเจอหลายสถานการณ์เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน จึงทำให้การแก้ไขเป็นไปด้วยความยากลำบาก
ในส่วนของราคาน้ำมันได้ตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร มีการปรับลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล ล่าสุดเหลือ บี5 สูตรเดียว ดังนั้นขอให้ประชาชนเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งกระทรวงพลังงาน ยืนยันจะดำเนินมาตรการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง และจะยังคงเตรียมหามาตรการอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับผลกระทบให้น้อยที่สุด
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ เตือนผู้ใช้รถ เลี่ยงเส้นทางม็อบรถบรรทุก คาดช่วงเย็นการจราจรวิกฤตหนักแน่
ผู้บริหารโรงงานชื่อดังเครียดพิษเศรษฐกิจยิงขมับตัวเองดับปริศนา
https://siamrath.co.th/n/320970
เมื่อเวลา 21.30 น.วันที่ 8 มกราคม 2565 พ.ต.อ.
ถาวร นาใจเย็น ผกก.สภ.พนัสนิคมพร้อมด้วยพ.ต.ท.
นันทพล นาในบุญ สารวัตร (สอบสวน) สภ.พนัสนิคมได้รับแจ้งมีผู้ถูกอาวุธปืนยิงเสียชีวิต ภายในบริษัทแห่งหนึ่ง ในตำบลวัดโบสถ์ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี หลังรับแจ้งจึงได้รีบรุดเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัย สว่างเหตุบ้านทุ่งเหียง พนัสนิคม และแพทย์เวรโรงพยาบาลพนัสนิคม
ที่เกิดเหตุมีพนักงานที่กำลังทำงาน จับกลุ่มมุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในห้องเลขที่ 7 เป็นห้องรับรองของผู้บริหาร จากการตรวจสอบพบผู้เสียชีวิตอยู่ภายในห้องสภาพศพสวมเสื้อคอปกสีเทา กางเกงยีนส์ขายาวรองเท้าผ้าใบสีดำ นอนจมกองเลือดที่แห้งแล้วนองเต็มพื้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้กันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปภายในห้องโดยเด็ดขาด เพื่อรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบผู้เสียชีวิตเป็นชาย อายุ 54 ปี ตำแหน่งเป็นผู้บริหารภายในบริษัท นอนเสียชีวิตจมกองเลือดอยู่ที่พื้นตรวจสอบ พบถูกกระสุนปืนยิงเข้าที่ขมับด้านซ้ายกระสุนทะลุขมับขวาและบริเวณช่วงขา พบอาวุธปืนลูกโม่ขนาด .38 ตกอยู่ ตรวจสอบพบภายในโม่มีลูกกระสุนปืนจำนวน 5 นัด และได้ใช้ไปแล้ว 1 นัด จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน จากการตรวจสอบไม่พบร่องรอยของการต่อสู้หรือถูกทำร้ายแต่อย่างใด
สอบถามพนักงาน เล่าว่า ผู้ตายเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัท โดยปกติผู้ตายเป็นคนดีมีน้ำใจกับพนักงานทุกคน ผู้ตายไม่เคยพูดปัญหาเรื่องส่วนตัวให้ฟัง จึงไม่รู้ว่าเขามีปัญหาเรื่องอะไร คงต้องรอสอบถามทางครอบครัว ถึงสาเหตุของการตัดสินใจจบชีวิตในครั้งนี้
ทางด้านตำรวจ ได้สอบถามผู้ที่เข้าไปพบผู้เสียชีวิตชื่อ นายเอก เปิดเผยว่า วันนี้ไม่เห็นผู้เสียชีวิตออกจากห้อง จึงได้มาดูพอเดินเข้าไปในห้องพบผู้เสียชีวิตนอนอยู่ในลักษณะคว่ำหน้า ทีแรกตนนึกว่า ล้มหมดสติ จึงจะพยายามช่วยแต่พอมองเห็นเลือดที่ไหลนองเต็มพื้นและเห็นอาวุธปืนตกอยู่ข้างผู้เสียชีวิต ตนจึงได้รีบออกมาตั้งหลักแล้วรีบโทรแจ้งตำรวจทันที
เบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิฐานคาดว่า อาจเป็นความเครียดส่วนตัวหรือเป็นเพราะพิษเศรษฐกิจในตอนนี้ อย่างไรก็ตามทางตำรวจจะได้ส่งศพไปชันสูตรเพิ่มเติมและจะได้มีการเชิญทางผู้เกี่ยวข้องรวมถึงญาติของผู้เสียชีวิตมาสอบสวนเพิ่มเติมอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุของการเสียชีวิตในครั้งนี้ เพื่อจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
WHO เผยยอดดับโควิดเพิ่มครึ่งล้าน หลังโอมิครอนระบาด
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3174696
องค์การอนามัยโลกระบุว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 นับจนถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้นถึง 500,000 ราย นับตั้งแต่พบการแพร่ระบาดของไวรัสกลายพันธุ์โอมิครอน พร้อมระบุว่าจำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าวเป็นเรื่องที่มากกว่าโศกนาฏกรรม
นาย
อับดี โมฮามุด ผู้จัดการฝ่ายบริหารจัดการเหตุการณ์ไม่ปกติขององค์การอนามัยโลกชี้ว่า นับตั้งแต่มีการประกาศพบไวรัสกลายพันธุ์โอมิครอนเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงขณะนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 130 ล้านคน และเสียชีวิตเพิ่มขึ้นครึ่งล้าน ปัจจุบันโอมิครอนแซงหน้าไวรัสกลายพันธุ์เดลต้าอย่างรวดเร็ว เพราะแพร่เชื้อได้ง่ายกว่า แม้ว่าอาการป่วยจะน้อยกว่าก็ตาม
อย่างไรก็ดี
โมฮามุนกล่าวว่า ในยุคที่เรามีวัคซีนมีประสิทธิภาพ การที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตถึงครึ่งล้านราย มันสะท้อนอะไรบางอย่างจริงๆ ขณะที่ทุกคนพูดว่าอาการของโอมิครอนนั้นไม่รุนแรง แต่กลับพลาดข้อเท็จจริงที่ว่า มีผู้เสียชีวิตไปแล้วนับตั้งแต่มันแพร่ระบาดมากขนาดนี้ ซึ่งช่างน่าเศร้าอย่างยิ่ง
ข้อมูลด้านระบาดวิทยาขององค์การอนามัยโลกประจำสัปดาห์ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ชี้ว่า มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเกือบ 68,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเกือบ 7% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ผู้ป่วยรายใหม่ลดลง 17% โดยเพิ่มขึ้น 19.3 ล้านคน
ยุโรปเป็นภูมิภาคที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 58% ของผู้ป่วยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมีสัดส่วนการเสียชีวิตที่ 35% ด้านสหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อรายใหม่คิดเป็น 28% แต่มียอดผู้เสียชีวิตเพิ่ม 44%
JJNY : ขีดเส้น7วัน แก้น้ำมันแพง│ผู้บริหารรง.ดังเครียดศก.ยิงตัวเองดับ│ดับเพิ่มครึ่งล.หลังโอมิครอนระบาด│BA.2 แพร่ไวแซงBA.1
https://ch3plus.com/news/category/278222
ม็อบรถบรรทุก ยังปักหลักชุมนุมหน้ากระทรวงพลังงาน ย้ำให้เวลารัฐบาล 7 วัน แก้ไขปัญหาน้ำมันแพง และรัฐมนตรีพลังงานต้องลาออก ไม่เช่นนั้นจะยกระดับการเคลื่อนไหว
โดยนายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การชุมนุมเมื่อวานนี้ (8 ก.พ. 65) ก็เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลดูแลราคาน้ำมันดีเซล โดยขอให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ลิตรละ 25 บาท ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล และนำไบโอดีเซลออกจากระบบ พร้อมเรียกร้องให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่สามารถบริหารงานดูแลราคาน้ำมันได้
และพร้อมยกระดับการเคลื่อนไหว หากรัฐบาลยังนิ่งเฉยต่อข้อเรียกร้อง โดยยื่นคำขาดให้รัฐบาลตอบรับ หรือ ออกมาตรการมาแก้ไขปัญหาภายใน 7 วัน โดยเริ่มจากการปรับขึ้นค่าขนส่ง 15-20% มีผลตั้งแต่วานนี้ (8 ก.พ.) ส่วนจะปักหลักค้างคืนหรือไม่ รอประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ในช่วงค่ำ
ส่วนการที่ประกาศว่า วานนี้เป็นไฟนอลซีซั่นในการประท้วงนั้น จะยังคงประท้วงต่อไป เพราะคนขับรถ ที่นำรถเครนมาจอดนั้น ได้ถูกตำรวจไปคุกคามถึงบ้าน
ขณะเดียวกัน ทางกลุ่มรถแท็กซี่ นำโดยนายวิฑูรย์ แนวพานิช นายกสมาคมการค้าเครือข่ายแท็กซี่ไทย ได้นำรถแท็กซี่มาเรียกร้อง และยื่นหนังสือต่อกระทรวงพลังงาน ขอให้พิจารณาปรับลดราคาก๊าซธรรมชาติ หรือ NGV ที่ขณะนี้อยู่ที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคา LPG สำหรับภาคขนส่ง ที่อยู่ที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้ลดราคา NGV ลงมาเหลือไม่เกินกิโลฯ ละ 10 บาทและLPG ไม่เกินกิโลฯ ละ 9 บาท โดยยืนยันสิ่งที่มาร้อง เพราะเวลานี้ลำบากมาก แท็กซี่ที่มีอยู่ 85,000 คัน เหลือวิ่งไม่ถึง 50,000 คัน มีรายได้เฉลี่ยแค่วันละ 800 บาท เจอค่าก๊าซฯ ก็ 500 บาทต่อวันแล้ว เหลือรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพท่ามกลางสินค้าต่างๆ ก็แพงขึ้น
ขณะที่นายสมบูรณ์ หน่อแก้ว รองปลัดกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นตัวแทนรับหนังสือจากกลุ่มรถบรรทุก ระบุว่า เข้าใจความเดือดร้อนทุกฝ่าย เเต่ขณะนี้ประเทศไทยเจอหลายสถานการณ์เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน จึงทำให้การแก้ไขเป็นไปด้วยความยากลำบาก
ในส่วนของราคาน้ำมันได้ตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร มีการปรับลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล ล่าสุดเหลือ บี5 สูตรเดียว ดังนั้นขอให้ประชาชนเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งกระทรวงพลังงาน ยืนยันจะดำเนินมาตรการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง และจะยังคงเตรียมหามาตรการอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับผลกระทบให้น้อยที่สุด
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ เตือนผู้ใช้รถ เลี่ยงเส้นทางม็อบรถบรรทุก คาดช่วงเย็นการจราจรวิกฤตหนักแน่
ผู้บริหารโรงงานชื่อดังเครียดพิษเศรษฐกิจยิงขมับตัวเองดับปริศนา
https://siamrath.co.th/n/320970
เมื่อเวลา 21.30 น.วันที่ 8 มกราคม 2565 พ.ต.อ.ถาวร นาใจเย็น ผกก.สภ.พนัสนิคมพร้อมด้วยพ.ต.ท.นันทพล นาในบุญ สารวัตร (สอบสวน) สภ.พนัสนิคมได้รับแจ้งมีผู้ถูกอาวุธปืนยิงเสียชีวิต ภายในบริษัทแห่งหนึ่ง ในตำบลวัดโบสถ์ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี หลังรับแจ้งจึงได้รีบรุดเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัย สว่างเหตุบ้านทุ่งเหียง พนัสนิคม และแพทย์เวรโรงพยาบาลพนัสนิคม
ที่เกิดเหตุมีพนักงานที่กำลังทำงาน จับกลุ่มมุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในห้องเลขที่ 7 เป็นห้องรับรองของผู้บริหาร จากการตรวจสอบพบผู้เสียชีวิตอยู่ภายในห้องสภาพศพสวมเสื้อคอปกสีเทา กางเกงยีนส์ขายาวรองเท้าผ้าใบสีดำ นอนจมกองเลือดที่แห้งแล้วนองเต็มพื้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้กันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปภายในห้องโดยเด็ดขาด เพื่อรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบผู้เสียชีวิตเป็นชาย อายุ 54 ปี ตำแหน่งเป็นผู้บริหารภายในบริษัท นอนเสียชีวิตจมกองเลือดอยู่ที่พื้นตรวจสอบ พบถูกกระสุนปืนยิงเข้าที่ขมับด้านซ้ายกระสุนทะลุขมับขวาและบริเวณช่วงขา พบอาวุธปืนลูกโม่ขนาด .38 ตกอยู่ ตรวจสอบพบภายในโม่มีลูกกระสุนปืนจำนวน 5 นัด และได้ใช้ไปแล้ว 1 นัด จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน จากการตรวจสอบไม่พบร่องรอยของการต่อสู้หรือถูกทำร้ายแต่อย่างใด
สอบถามพนักงาน เล่าว่า ผู้ตายเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัท โดยปกติผู้ตายเป็นคนดีมีน้ำใจกับพนักงานทุกคน ผู้ตายไม่เคยพูดปัญหาเรื่องส่วนตัวให้ฟัง จึงไม่รู้ว่าเขามีปัญหาเรื่องอะไร คงต้องรอสอบถามทางครอบครัว ถึงสาเหตุของการตัดสินใจจบชีวิตในครั้งนี้
ทางด้านตำรวจ ได้สอบถามผู้ที่เข้าไปพบผู้เสียชีวิตชื่อ นายเอก เปิดเผยว่า วันนี้ไม่เห็นผู้เสียชีวิตออกจากห้อง จึงได้มาดูพอเดินเข้าไปในห้องพบผู้เสียชีวิตนอนอยู่ในลักษณะคว่ำหน้า ทีแรกตนนึกว่า ล้มหมดสติ จึงจะพยายามช่วยแต่พอมองเห็นเลือดที่ไหลนองเต็มพื้นและเห็นอาวุธปืนตกอยู่ข้างผู้เสียชีวิต ตนจึงได้รีบออกมาตั้งหลักแล้วรีบโทรแจ้งตำรวจทันที
เบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิฐานคาดว่า อาจเป็นความเครียดส่วนตัวหรือเป็นเพราะพิษเศรษฐกิจในตอนนี้ อย่างไรก็ตามทางตำรวจจะได้ส่งศพไปชันสูตรเพิ่มเติมและจะได้มีการเชิญทางผู้เกี่ยวข้องรวมถึงญาติของผู้เสียชีวิตมาสอบสวนเพิ่มเติมอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุของการเสียชีวิตในครั้งนี้ เพื่อจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
WHO เผยยอดดับโควิดเพิ่มครึ่งล้าน หลังโอมิครอนระบาด
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3174696
องค์การอนามัยโลกระบุว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 นับจนถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้นถึง 500,000 ราย นับตั้งแต่พบการแพร่ระบาดของไวรัสกลายพันธุ์โอมิครอน พร้อมระบุว่าจำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าวเป็นเรื่องที่มากกว่าโศกนาฏกรรม
นายอับดี โมฮามุด ผู้จัดการฝ่ายบริหารจัดการเหตุการณ์ไม่ปกติขององค์การอนามัยโลกชี้ว่า นับตั้งแต่มีการประกาศพบไวรัสกลายพันธุ์โอมิครอนเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงขณะนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 130 ล้านคน และเสียชีวิตเพิ่มขึ้นครึ่งล้าน ปัจจุบันโอมิครอนแซงหน้าไวรัสกลายพันธุ์เดลต้าอย่างรวดเร็ว เพราะแพร่เชื้อได้ง่ายกว่า แม้ว่าอาการป่วยจะน้อยกว่าก็ตาม
อย่างไรก็ดี โมฮามุนกล่าวว่า ในยุคที่เรามีวัคซีนมีประสิทธิภาพ การที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตถึงครึ่งล้านราย มันสะท้อนอะไรบางอย่างจริงๆ ขณะที่ทุกคนพูดว่าอาการของโอมิครอนนั้นไม่รุนแรง แต่กลับพลาดข้อเท็จจริงที่ว่า มีผู้เสียชีวิตไปแล้วนับตั้งแต่มันแพร่ระบาดมากขนาดนี้ ซึ่งช่างน่าเศร้าอย่างยิ่ง
ข้อมูลด้านระบาดวิทยาขององค์การอนามัยโลกประจำสัปดาห์ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ชี้ว่า มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเกือบ 68,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเกือบ 7% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ผู้ป่วยรายใหม่ลดลง 17% โดยเพิ่มขึ้น 19.3 ล้านคน
ยุโรปเป็นภูมิภาคที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 58% ของผู้ป่วยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมีสัดส่วนการเสียชีวิตที่ 35% ด้านสหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อรายใหม่คิดเป็น 28% แต่มียอดผู้เสียชีวิตเพิ่ม 44%