เรื่อง สงครามแป้งและน้ำตาล
ในจักรวาลแห่งหนึ่งมี ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางเพื่อให้พลังงานความร้อนและมีดาวเคราะห์ที่มีหินและแร่ธาตุ แสงแดด บางดวงดาวก็มีลม บางดวงก็ไม่มีลม เป็นจำนวนมากแต่มีดาวเคราะห์หนึ่งที่มีครบคือ มีแสงแดด ดิน น้ำ ลม หรือธาตุ 4 เรียกว่าโลก จึงเป็นที่มาของสงครามแป้งและน้ำตาล
ในเมื่อโลกนี้มีครบพร้อมทั้งหมดคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่ในธาตุ 4 ยังมีธาตุ 4 อยู่ ธาตุไฟก็ยังมีธาตุ 4 อยู่แต่มีธาตุไฟมากกว่าจึงชื่อว่าธาตุไฟ ธาตุลมก็ยังมีธาตุ 4 อยู่แต่มีธาตุลมมากกว่าจึงชื่อว่าธาตุลม ธาตุน้ำก็ยังมีธาตุ 4 อยู่แต่มีธาตุน้ำมากกว่าจึงชื่อว่าธาตุน้ำ ธาตุดินก็ยังมีธาตุ 4 อยู่ แต่มีธาตุดินมากกว่า จึงชื่อว่าธาตุดิน จึงเป็นที่มาของ อุตุนิยาม และในจุด ๆ หนึ่งของธาตุดิน มีความสมดุลธรรมชาติเกิดขึ้นมี น้ำ 25% อากาศ 25% จึงมีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เรียกว่าจุลินทรีย์กำเนิดขึ้น โดยอาหารของมันคือ น้ำตาล แล้วขับถ่ายออกมาเป็นฮิวมัส ส่วนที่อยู่ของมันคือแป้งหรือเชื้อรา จุลินทรีย์เป็นสัตว์สังคมชอบรวมกลุ่มกันอยู่เมื่อมาอยู่รวมกันมากขึ้น จุลินทรีย์ บางตัวก็กินกันบ้าง บางตัวก็กินแต่น้ำตาล ตัวที่กินกันเองชุมชน ที่อยู่ของมันจะเป็นสีดำ ส่วนที่กินแต่น้ำตาลชุมชนมันก็จะเป็นสีขาว ส่วนที่กินกันบ้าง กินน้ำตาลบ้างชุมชนนั้นก็เป็นสีหลากสีตามจำนวนของแป้ง ต่อมาเมื่อชุมชนเริ่มขยายตัวฮิวมัสเริ่มเยอะ เชื้อราหรือแป้งเมื่อเจอความชื้นและแสงแดดพอเหมาะก็ถือกำเนิดเป็นเห็ด เห็ดโต และก็ตาย เป็นวงจร กลายเป็นแป้งและน้ำตาล วนเวียนอยู่แบบนี้จนเกิดการขยายตัวอย่างมากมาย จนเกิดพัฒนาเป็นพืชหรือต้นไม้หลากหลายสายพันธ์อยู่ในโลกนี้ โดยต้นไม้อยู่กับที่เคลื่อนไหวไม่ได้ และวงจรของพื้ช ใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในการดำรงค์ชีวิตใช้แสงแดดในการปรุงอาหาร ก็คือ แป้งและน้ำตาลให้เป็นที่อยู่และอาหารของ จุลินทรีย์ และคายของเสียเป็น ก๊าซออกซิเจน วนเวียนอยู่ พืชโต และ สืบพันธุ์ เพื่อรักษาเผ่าพันธ์ย่อตัวเองลงเมล็ด แล้วก็ตาย เมล็ดเจอความชื้นพอเหมาะก็เริ่มเติบโตเป็นวงจร เป็นที่มาของ พีชนิยาม เมื่อมีก๊าซออกซิเจนจำนวนมากขึ้น เริ่มมีการพัฒนา สิ่งมีชีวิตขึ้นมา สิ่งมีชีวิตนี้จะมีจิตครอง สามาถเดินได้ มีความนึกคิด แต่สิ่งมีชีวิตนี้ไม่สามารถสังเคราะห์แสงจากดวงอาทิตย์ได้เหมือนพืช แต่ก็ต้องการอาหารคือ แป้งและน้ำตาล ก็เลยออกแย่งชิงแป้งและน้ำตาลในการปรุงอาหารจะคายของเสียออกมาชื่อว่า คาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับพื้ช เพื่อความสมดุลกับธรรมชาติ เป็นที่มาของ จิตนิยาม สัตว์ที่มีจิตครองนี้ เริ่มสะสมอาหาร ขี้เกียจออกไปหาอาหาร เริ่มสังเกตุเรียนรู้พฤติกรรมของสัตว์อื่น ๆ ว่าชอบอะไร นิสัยเป็นอย่างไร แล้วสร้าง กรรม หรือกิจกรรมเพื่อรวบรวมแป้งและน้ำตาล โดยจะมีกรรมสองแบบคือ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม ดังนี้
1. ผู้สร้าง จะมีจิตใจ ที่มีความเพียร มีความอดทน ไม่ใจร้อน ไม่พูดมาก ไม่ทะเลาะกัน
2. ผู้ให้ ผู้บำเพ็ญเพียร มีจิตใจ เป็นผู้ให้คุณธรรมและความรู้เป็นทาน
3. ผู้บำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือสังคม จะมีจิตใจเสียสละชอบช่วยเหลือผู้อื่น ชั่วไม่ทำ ทำแต่เรื่องดี
4. ผู้ที่ผสมปนเป จะมีจิตใจคือ รู้ดีรู้ชั่วแต่ก็ทำ
5. ผู้ที่เห็นแก่ตัว จะมีจิตใจที่ ชอบแต่ กินขี้ นอน ผสมพันธุ์ เอาเปรียบผู้อื่น
6. ผู้ที่มีแต่ความดุหรือผู้ร้าย จะมีจิตใจที่มี อิจฉาริษยา อาฆาต โมโห
7. ผู้ที่มีแต่ความโลภ จะมีจิตใจที่ไม่รู้จักพอ อยากได้อยู่ตลอดเวลาแม้ว่าตัวเองจะมีมากมาย
8. ผู้ที่มีแต่ความกลัว ไม่กล้าออกไปไหนกลัวทุกอย่างมีความกังวล
ดังนั้นเมื่อสัตว์นั้นเล่นบทบาทไหนมากก็จะมีภูมิจิตที่เป็นสัตว์แบบนั้น ถ้าในชุมชนนั้นมีสัตว์ที่มีภูมิจิตเป็นผู้สร้าง ผู้ให้ ผู้บำเพ็ญประโยชน์มาก ชุมชนนั้นมีจิตใจเป็นสีขาว แต่ถ้า ชุมชนนั้นเป็น ผู้ที่เห็นแก่ตัว มีแต่ความดุร้าย โลภ และ ขี้กลัว ชุมชนนั้นมีจิตใจเป็นสีดำ ส่วนตรงกลางเป็นชุมชนมีจิตใจเป็นสีเทา เป็นที่มาของ ธรรมนิยาม
เมื่อรู้เห็นอยู่เช่นนี้แล้วว่า สัตว์หรือพืชกำเนิดมาจากแป้งและน้ำตาล ตายไปก็กลายเป็นแป้งและน้ำตาล แล้วสิ่งที่สัตว์ต้องการมากที่สุดคืออะไรถ้าไม่ใช่ชีวิตที่สมดุลอยู่อย่างมีความสุขกับสัตว์ที่ตนเองรักโดยการสร้าง กรรมนิยามในครอบครัวให้เยอะ ๆ โดยเลือกเฉพาะกรรม ที่เป็นกุศล ละเว้นกรรมที่เป็นอกุศล จนทำให้ครอบครัวเกิดความสมดุล เป็นที่มาของ ธรรมนิยาม แต่ธรรมนิยามในครอบครัวก็ยังคงเป็น กรรมนิยาม เล็ก ๆ ของ ธรรมนิยามของระบบนิเวศที่ใหญ่ขึ้น โดยอยู่อย่างพอเพียง ถ้ามีผู้รู้ รู้จักคำว่า พอ ก็พอแล้ว ยกตัวอย่าง รู้ว่าตัวเองว่าพอแล้ว ภายในครอบครัว แล้วรวมหลาย ๆ ครอบครัวรวมกันเป็นหมู่บ้านที่พอแล้ว หลาย ๆ หมู่บ้านที่พอแล้วรวมกันเป็นตำบลที่พอแล้ว หลาย ๆ ตำบลที่พอแล้วรวมกันเป็นจังหวัดที่พอแล้ว หลาย ๆ จังหวัดที่พอแล้วรวมกันเป็นภูมิภาคที่พอแล้ว หลาย ๆ ภูมิภาคที่พอแล้ว รวมกันเป็นประเทศที่พอแล้ว หลาย ๆ ประเทศที่พอแล้วรวมกันเป็นทวีปที่พอแล้ว หลาย ๆ ทวีปที่พอแล้ว รวมกันเป็นโลกที่พอแล้ว ความสมดุลของระบบนิเวศโลกใบนี้ก็จะอยู่อย่างสมดุลอยู่อย่างมีความสุข ขอแค่เริ่มที่จุดเล็ก ๆ ก่อนโดยเริ่มจากที่ตัวเองก่อนโดยการ กลับไปทำ บ.ว.ร (บ=บ้าน โดยการทำครอบครัวของตัวเองให้พออยู่ พอกิน พอใช้ พอร่มเย็น ว=วัด แชร์คุณธรรมแอบแฝงไปกับความรู้ที่เขาต้องการเพื่อเป็นการวัดจิตใจว่าเขาควรเป็นนักแสดงกลุ่มไหน ร=โรงเรียนโดยการเขียนตำราลงดินว่าทำอย่างไรชีวิตถึงมีความสุข)
ขอขอบคุณ ตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ บุคคลในครอบครัว ครูบาอาจารย์ เพื่อนมิตรสหาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ทำให้นิทานเรื่อง สงคราม แป้งและน้ำตาลจบลงได้ แต่ก็ยังคงมีการเปลี่ยนแปลง เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง หนีกฏธรรมชาติไปไม่พ้น เพราะมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่คงที่ ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นจะเป็นทุกข์ สุดท้ายแล้วมีแต่ความว่าง ดั่งคำที่แม่ผมให้มาว่า ข้าวเป็นเจ้า ตกลงท้องเป็นขี้ ตายเป็นหนี้ เพราะขี้เพราะข้าว
ขอความอนุเคราะห์ช่วยติ เพื่อจะได้พัฒนางานเขียนให้ดียิ่งขึ้น เป็นผลงานแรก ครับ
ในจักรวาลแห่งหนึ่งมี ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางเพื่อให้พลังงานความร้อนและมีดาวเคราะห์ที่มีหินและแร่ธาตุ แสงแดด บางดวงดาวก็มีลม บางดวงก็ไม่มีลม เป็นจำนวนมากแต่มีดาวเคราะห์หนึ่งที่มีครบคือ มีแสงแดด ดิน น้ำ ลม หรือธาตุ 4 เรียกว่าโลก จึงเป็นที่มาของสงครามแป้งและน้ำตาล
ในเมื่อโลกนี้มีครบพร้อมทั้งหมดคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่ในธาตุ 4 ยังมีธาตุ 4 อยู่ ธาตุไฟก็ยังมีธาตุ 4 อยู่แต่มีธาตุไฟมากกว่าจึงชื่อว่าธาตุไฟ ธาตุลมก็ยังมีธาตุ 4 อยู่แต่มีธาตุลมมากกว่าจึงชื่อว่าธาตุลม ธาตุน้ำก็ยังมีธาตุ 4 อยู่แต่มีธาตุน้ำมากกว่าจึงชื่อว่าธาตุน้ำ ธาตุดินก็ยังมีธาตุ 4 อยู่ แต่มีธาตุดินมากกว่า จึงชื่อว่าธาตุดิน จึงเป็นที่มาของ อุตุนิยาม และในจุด ๆ หนึ่งของธาตุดิน มีความสมดุลธรรมชาติเกิดขึ้นมี น้ำ 25% อากาศ 25% จึงมีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เรียกว่าจุลินทรีย์กำเนิดขึ้น โดยอาหารของมันคือ น้ำตาล แล้วขับถ่ายออกมาเป็นฮิวมัส ส่วนที่อยู่ของมันคือแป้งหรือเชื้อรา จุลินทรีย์เป็นสัตว์สังคมชอบรวมกลุ่มกันอยู่เมื่อมาอยู่รวมกันมากขึ้น จุลินทรีย์ บางตัวก็กินกันบ้าง บางตัวก็กินแต่น้ำตาล ตัวที่กินกันเองชุมชน ที่อยู่ของมันจะเป็นสีดำ ส่วนที่กินแต่น้ำตาลชุมชนมันก็จะเป็นสีขาว ส่วนที่กินกันบ้าง กินน้ำตาลบ้างชุมชนนั้นก็เป็นสีหลากสีตามจำนวนของแป้ง ต่อมาเมื่อชุมชนเริ่มขยายตัวฮิวมัสเริ่มเยอะ เชื้อราหรือแป้งเมื่อเจอความชื้นและแสงแดดพอเหมาะก็ถือกำเนิดเป็นเห็ด เห็ดโต และก็ตาย เป็นวงจร กลายเป็นแป้งและน้ำตาล วนเวียนอยู่แบบนี้จนเกิดการขยายตัวอย่างมากมาย จนเกิดพัฒนาเป็นพืชหรือต้นไม้หลากหลายสายพันธ์อยู่ในโลกนี้ โดยต้นไม้อยู่กับที่เคลื่อนไหวไม่ได้ และวงจรของพื้ช ใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในการดำรงค์ชีวิตใช้แสงแดดในการปรุงอาหาร ก็คือ แป้งและน้ำตาลให้เป็นที่อยู่และอาหารของ จุลินทรีย์ และคายของเสียเป็น ก๊าซออกซิเจน วนเวียนอยู่ พืชโต และ สืบพันธุ์ เพื่อรักษาเผ่าพันธ์ย่อตัวเองลงเมล็ด แล้วก็ตาย เมล็ดเจอความชื้นพอเหมาะก็เริ่มเติบโตเป็นวงจร เป็นที่มาของ พีชนิยาม เมื่อมีก๊าซออกซิเจนจำนวนมากขึ้น เริ่มมีการพัฒนา สิ่งมีชีวิตขึ้นมา สิ่งมีชีวิตนี้จะมีจิตครอง สามาถเดินได้ มีความนึกคิด แต่สิ่งมีชีวิตนี้ไม่สามารถสังเคราะห์แสงจากดวงอาทิตย์ได้เหมือนพืช แต่ก็ต้องการอาหารคือ แป้งและน้ำตาล ก็เลยออกแย่งชิงแป้งและน้ำตาลในการปรุงอาหารจะคายของเสียออกมาชื่อว่า คาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับพื้ช เพื่อความสมดุลกับธรรมชาติ เป็นที่มาของ จิตนิยาม สัตว์ที่มีจิตครองนี้ เริ่มสะสมอาหาร ขี้เกียจออกไปหาอาหาร เริ่มสังเกตุเรียนรู้พฤติกรรมของสัตว์อื่น ๆ ว่าชอบอะไร นิสัยเป็นอย่างไร แล้วสร้าง กรรม หรือกิจกรรมเพื่อรวบรวมแป้งและน้ำตาล โดยจะมีกรรมสองแบบคือ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม ดังนี้
1. ผู้สร้าง จะมีจิตใจ ที่มีความเพียร มีความอดทน ไม่ใจร้อน ไม่พูดมาก ไม่ทะเลาะกัน
2. ผู้ให้ ผู้บำเพ็ญเพียร มีจิตใจ เป็นผู้ให้คุณธรรมและความรู้เป็นทาน
3. ผู้บำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือสังคม จะมีจิตใจเสียสละชอบช่วยเหลือผู้อื่น ชั่วไม่ทำ ทำแต่เรื่องดี
4. ผู้ที่ผสมปนเป จะมีจิตใจคือ รู้ดีรู้ชั่วแต่ก็ทำ
5. ผู้ที่เห็นแก่ตัว จะมีจิตใจที่ ชอบแต่ กินขี้ นอน ผสมพันธุ์ เอาเปรียบผู้อื่น
6. ผู้ที่มีแต่ความดุหรือผู้ร้าย จะมีจิตใจที่มี อิจฉาริษยา อาฆาต โมโห
7. ผู้ที่มีแต่ความโลภ จะมีจิตใจที่ไม่รู้จักพอ อยากได้อยู่ตลอดเวลาแม้ว่าตัวเองจะมีมากมาย
8. ผู้ที่มีแต่ความกลัว ไม่กล้าออกไปไหนกลัวทุกอย่างมีความกังวล
ดังนั้นเมื่อสัตว์นั้นเล่นบทบาทไหนมากก็จะมีภูมิจิตที่เป็นสัตว์แบบนั้น ถ้าในชุมชนนั้นมีสัตว์ที่มีภูมิจิตเป็นผู้สร้าง ผู้ให้ ผู้บำเพ็ญประโยชน์มาก ชุมชนนั้นมีจิตใจเป็นสีขาว แต่ถ้า ชุมชนนั้นเป็น ผู้ที่เห็นแก่ตัว มีแต่ความดุร้าย โลภ และ ขี้กลัว ชุมชนนั้นมีจิตใจเป็นสีดำ ส่วนตรงกลางเป็นชุมชนมีจิตใจเป็นสีเทา เป็นที่มาของ ธรรมนิยาม
เมื่อรู้เห็นอยู่เช่นนี้แล้วว่า สัตว์หรือพืชกำเนิดมาจากแป้งและน้ำตาล ตายไปก็กลายเป็นแป้งและน้ำตาล แล้วสิ่งที่สัตว์ต้องการมากที่สุดคืออะไรถ้าไม่ใช่ชีวิตที่สมดุลอยู่อย่างมีความสุขกับสัตว์ที่ตนเองรักโดยการสร้าง กรรมนิยามในครอบครัวให้เยอะ ๆ โดยเลือกเฉพาะกรรม ที่เป็นกุศล ละเว้นกรรมที่เป็นอกุศล จนทำให้ครอบครัวเกิดความสมดุล เป็นที่มาของ ธรรมนิยาม แต่ธรรมนิยามในครอบครัวก็ยังคงเป็น กรรมนิยาม เล็ก ๆ ของ ธรรมนิยามของระบบนิเวศที่ใหญ่ขึ้น โดยอยู่อย่างพอเพียง ถ้ามีผู้รู้ รู้จักคำว่า พอ ก็พอแล้ว ยกตัวอย่าง รู้ว่าตัวเองว่าพอแล้ว ภายในครอบครัว แล้วรวมหลาย ๆ ครอบครัวรวมกันเป็นหมู่บ้านที่พอแล้ว หลาย ๆ หมู่บ้านที่พอแล้วรวมกันเป็นตำบลที่พอแล้ว หลาย ๆ ตำบลที่พอแล้วรวมกันเป็นจังหวัดที่พอแล้ว หลาย ๆ จังหวัดที่พอแล้วรวมกันเป็นภูมิภาคที่พอแล้ว หลาย ๆ ภูมิภาคที่พอแล้ว รวมกันเป็นประเทศที่พอแล้ว หลาย ๆ ประเทศที่พอแล้วรวมกันเป็นทวีปที่พอแล้ว หลาย ๆ ทวีปที่พอแล้ว รวมกันเป็นโลกที่พอแล้ว ความสมดุลของระบบนิเวศโลกใบนี้ก็จะอยู่อย่างสมดุลอยู่อย่างมีความสุข ขอแค่เริ่มที่จุดเล็ก ๆ ก่อนโดยเริ่มจากที่ตัวเองก่อนโดยการ กลับไปทำ บ.ว.ร (บ=บ้าน โดยการทำครอบครัวของตัวเองให้พออยู่ พอกิน พอใช้ พอร่มเย็น ว=วัด แชร์คุณธรรมแอบแฝงไปกับความรู้ที่เขาต้องการเพื่อเป็นการวัดจิตใจว่าเขาควรเป็นนักแสดงกลุ่มไหน ร=โรงเรียนโดยการเขียนตำราลงดินว่าทำอย่างไรชีวิตถึงมีความสุข)
ขอขอบคุณ ตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ บุคคลในครอบครัว ครูบาอาจารย์ เพื่อนมิตรสหาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ทำให้นิทานเรื่อง สงคราม แป้งและน้ำตาลจบลงได้ แต่ก็ยังคงมีการเปลี่ยนแปลง เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง หนีกฏธรรมชาติไปไม่พ้น เพราะมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่คงที่ ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นจะเป็นทุกข์ สุดท้ายแล้วมีแต่ความว่าง ดั่งคำที่แม่ผมให้มาว่า ข้าวเป็นเจ้า ตกลงท้องเป็นขี้ ตายเป็นหนี้ เพราะขี้เพราะข้าว