2002 ศพเด็กทารก เสียงโหยหวนที่ไม่มีสิทธิร้องขอชีวิต คดีดัง วัดไผ่เงิน l บันทึกลึกลับ

กระทู้สนทนา
ถ้าวันนั้นในอดีตซากศพเด็กอันเกิดจากการทำแท้งที่ถูกเก็บไว้มานานกว่า 6 ปี 
ไม่ล้นทะลักจนส่งกลิ่นคลุ้ง ข่าวอันน่าโศกสลดในวัดไผ่เงินก็คงยังไม่เป็นที่รับรู้ไปทั่วโลก
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ช่วงบ่ายแก่ๆ ของวันที่ 16 พฤศจิกายน 2553 กลางตลาดนัดวัดไผ่เงินโชตนาราม
พ่อค้าแม่ขายพูดคุยซื้อหาจอแจกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีสุนัขหน้าตามอมแมม เดินตุปัดตุเป๋เข้ามา
พร้อมกับคาบถุงก๊อบแก๊บเดินเข้าไปในใจกลางตลาด สิ่งที่อยู่ในถุงดังกล่าวนั้น 
ส่งกลิ่นเหม็นเน่าชวนคลื่นเหียนไปทั่ว
ชาวบ้านคนหนึ่งอดรนทนไม่ไหว จะเข้าไปไล่สุนัขเจ้าปัญหา แต่เจ้ากรรม 
ตาดันไปชำเลืองเห็นหัวเด็กโผล่ออกมาจากถุงก๊อบแก๊บใบนั้น!
จากปัญหาหมาคาบขยะเน่าเหม็น กลายเป็นหัวเด็กที่ไหน หัวลูกใครที่หมามันคาบมา!? 
ชาวบ้านค่อยๆ เดินตามหมาตัวดังกล่าวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจ้าตูบเดินมาหยุดที่โกดังเก็บศพช่องที่ 17 
ของวัดไผ่เงินโชตนาราม จากนั้น มันก็แทะหัวทารกอย่างอดอยาก!
 
ชาวบ้านเห็นท่าไม่ดี รีบไปแจ้งตำรวจ สน.วัดพระยาไกร ลงพื้นที่ตรวจสอบ 
ค้นไปค้นมาจนทั่ววัด จนไปพบ ซากศพทารกจากการทำแท้ง จำนวน 348 ศพ 
ยัดใส่ถุงหลากหลายสีกว่า 250 ถุง สภาพแยกสิ้นส่วนสมอง กะโหลก แขน และขา 
ซึ่งบางศพอายุประมาณ 7-8 เดือน อยู่ในสภาพสมบูรณ์ กองทับถม 
ถูกทิ้งไว้ในโกดังเก็บศพหมายเลข 17 วัดไผ่เงินโชตนาราม!
ต่อมาตำรวจแสวงหาที่มาของศพทารกนับร้อย จึงสอบสวนบุคคลในพื้นที่เกี่ยวข้อง 
คือ นายสุเทพ ชะบางบอน หัวหน้าสัปเหร่อ และนายสุชาติ ภูมิ ผู้ช่วยสัปเหร่อ
ที่ดูแลโกดังเก็บศพบริเวณดังกล่าว โดยถามถึงที่มาที่ไปของศพทารกเกือบสี่ร้อยชีวิต 
แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้เรื่องราวอันเป็นประโยชน์ใดๆ จากปากสัปเหร่อทั้งสองคน 
ทั้งคู่ให้การปฏิเสธอ้างว่าไม่ทราบที่มาของศพทารก แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ
จึงได้หิ้วตัวมาเค้นสอบที่โรงพัก จนสัปเหร่อทั้งคู่จนมุม
 
นาย​สุ​ชาติ ภู​มี ผู้​ช่วย​สัปเหร่อ ยอดเปิดปากรับสารภาพว่า..
รับซากทารกมาทำลายทิ้งได้​ประมาณ 6 ปี โดยมีอดีตผู้ช่วยพยาบาล โรงพยาบาลชื่อดัง 
เป็นผู้ติดต่อว่าจ้าง ให้ตนนำศพทารกมายัดไว้ที่โกดัง พอรวบรวมได้เยอะ 
ค่อยนำไปเผา พร้อมกับรับค่าจ้างวันละ 200-500 บาท 
 
แต่เนื่องจากเมรุของวัดชำรุดมากว่า 1 เดือน จึงไม่มีที่เผาทำลาย 
ผู้​ช่วย​สัปเหร่อ ต้องเก็บรวบรวมซากศพทารกไว้ในช่องเก็บศพของโกดังจนศพล้นออกมา 
ทำให้เรื่องแดงขึ้นในที่สุด!
 
ต่อมาสองสัปเหร่อ ให้การสารภาพเพิ่มเติมว่า..
ศพทารกที่เก็บไว้ ไม่ได้มีแค่โกดังช่องหมายเลข 17 เพียงช่องเดียว 
แต่ยังมีช่องหมายเลข "9" และ "10" อีก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าตรวจสอบอีกครั้ง 
แล้วสิ่งที่ไม่คาดถึงก็เกิดขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่ใช้ชะแลงงัดเปิดโกดังทั้งสองเจอศพทารกอีก 1,654 ศพ 
กลิ่นเหม็นคลุ้งอบอวล นำมากองนับรวมกันได้ 2,002 ศพ 
 
จากนั้นสองสัปเหร่อจึงซักทอดไปยัง น.ส.ลัญฉกร จันทมนัส เจ้าของคลินิกเถื่อน 
ฐานเป็นคนรับออเดอร์รีดเด็กมาให้เผาทำลาย ซึ่งเจ้าตัวก็จำนนด้วยหลักฐาน รับสารภาพว่า 
เคยทำงานเป็นผู้ช่วยหมอที่รับทำแท้งเถื่อนมานาน ศึกษาเรียนรู้แบบครูพักลักจำจนมีความช่ำชอง 
ก่อนเอาวิชามาแอบเปิดคลินิกทำแท้ง โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเด็กสาววัยรุ่นใจแตก 
และนักศึกษาสาว และเมื่อตนได้ทำการรีดเด็กออกมาแล้ว 
ก็นำซากศพทารกจากการทำแท้งมาให้ผู้ช่วยสัปเหร่อทำลายหลักฐานจริง! 
โดยแต่ละครั้งอดีตผู้ช่วยพยาบาลจะให้ค่าจ้างผู้ช่วยสัปเหร่อศพละ 200 บาท 
และยอมรับว่าเป็นผู้ลงมือทำแท้งให้หญิงสาววัยรุ่นมานานกว่า 6 ปี โดยคิดค่าบริการ 
ท้อง 2 เดือน ราคา 2,000 บาท ท้อง 3 เดือน ราคา 7,000 บาท ท้อง 4 เดือนราคา 9,000 บาท 
และถ้าเป็นช่วงใกล้คลอด จะคิดราคา 30,000 บาท
 
คดีนี้กลายเป็นคดีร้อนฉ่าในสังคมทันที จนเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งกระจายกำลัง
ตรวจจับคลินิกทำแท้งเถื่อนกว่า 5-6 แห่งในพื้นที่ใกล้เคียงและเขตปริมณฑล 
โดยได้สั่งปิดคลินิกทำแท้งเถื่อนไปหลายที่ พร้อมกับดำเนินคดีกับเจ้าของสถานบริการ
ไปหลายรายอีกเช่นกัน ส่วน 2 สัปเหร่อ ถูกตั้งข้อหาปิดบังซ่อนเร้นและทำลายหลักฐาน 
ส่วนนางสาวลัญฉกร เจ้าหน้าที่ตั้ง 4 ข้อหา 
1. ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับใบอนุญาต 
2. ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต 
3. ทำให้หญิงอื่นแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม และ 
4. ซ่อนเร้นทำลายหลักฐานเพื่อไม่ให้ตนและผู้อื่นได้รับโทษทางอาญา 
มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท
 
จากเหตุการณ์ดังกล่าว สื่อบีบีซีของอังกฤษ ซีเอ็นเอ็นของสหรัฐฯ และ เอเอฟพีของฝรั่งเศส 
กระพือข่าวการพบศพทารก 2,002 ศพ ในวัดไผ่เงินโชตนาราม กลางเมืองกรุงเทพมหานคร 
โดยระบุว่า เป็นคดีประหลาดที่มีการพบศพทารกจำนวนมากพร้อมกันในคราวเดียว
และเป็นครั้งแรกของโลก โดยสร้างความตกตะลึงเป็นอย่างมาก 
ซึ่งศพทารกทั้งหมดถูกบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกที่ถูกนำมาจากสถานรับทำแท้งเถื่อน
 
ปี 2554 ศาลอาญาธนบุรีพิพากษาจำคุก น.ส.ลัญฉกร จันทมนัส เจ้าของคลินิกเถื่อน 10 ปี 
แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา
 
ขณะที่ ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาตัดสิน นายสุชาติ ภูมี ผู้ช่วยสัปเหร่อ 
เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมจำนวน 2,002 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 4 เดือน 
รวม 8,008 เดือน แต่นายสุชาติ ให้การรับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง 
คงจำคุกจำเลยเป็นเวลา 4,004 เดือน ​​เป็น​เวลา 20 ปี 
 
ส่วนนายสุเทพ ชะบางบอน สัปเหร่อวัดไผ่​เงิน​โชตนารามกระทำความผิด 
จำนวน 15 กระทง กระทงละ 4 เดือน แต่คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนมีประโยชน์
ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย 15 กระทง 
กระทงละ 2 เดือน 20 วัน เมื่อรวมโทษแล้วให้ จำคุก 3 ปี 4 เดือน 
โดยล่าสุด สุเทพ ชะบางบอน ออกมาจากคุก และได้รับอิสรภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
 
4 ปีต่อมา ในปี 2558 หลังจากที่ นายสุเทพ ชะบางบอน สัปเหร่อประจำวัดได้พ้นโทษออกมา 
เขาก็ได้ให้สัมภาษณ์ กับสื่อแห่งนึงไว้ว่า..
“ผมไม่อยากกลับไปพูดอะไรต่อมิอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นแล้ว ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น 
ผมไม่ได้ทำ ผมไม่เคยไปวุ่นวายกับพวกเขา ผมไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับเด็กทารกพวกนี้ 
ผมไม่ได้ตังค์จากใคร และผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มีศพเด็กอยู่ในช่องเก็บศพ” 
“และตอนนั้น เมรุของวัดอยู่ในช่วงซ่อมแซม แต่เตาเผาศพไม่ได้ชำรุดเสียหายอะไรด้วย 
ไม่เคยมีการเอาเด็กมาเผาในเมรุด้วยซ้ำ แค่มีคนเอามาเก็บไว้ในโกดังเก็บศพ” 
สุเทพ พูดเอาไว้แต่เพียงเท่านั้น และจบด้วยคำว่า “ผมขอไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก”
 
สุเทพ รำพึงถึงเมื่อครั้งที่ตนเองจำคุกอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ว่า 
“ตอนที่ผมเข้าไปอยู่ในเรือนจำ มันตรงกับปี 2554 ที่น้ำท่วมหนักพอดี 
ในเรือนจำน้ำไม่ได้ท่วม แต่ในใจผม น้ำตามันท่วมอยู่ตลอดเวลา”
“สุเทพคนเก่ามันตายไปแล้ว ผมขอมีชีวิตใหม่ และจะไม่พูดถึงเรื่องที่ผ่านมาอีก 
ทุกวันนี้ผมคิดแค่ว่า ผมจะทำหน้าที่สัปเหร่อให้ดีที่สุด ผมจะยึดอาชีพนี้ต่อไปจนวันสุดท้ายของชีวิต
 และผมคิดแค่ว่า ผมทำไปโดยที่ไม่หวังผลประโยชน์อะไร 
เรามีหน้าที่ส่งใครคนหนึ่งให้เขาไปถึงจุดหมายปลายทางสุดท้ายของชีวิตเขาเท่านั่นแหละครับ”
นายสุเทพ ยังพูดทิ้งท้ายไว้อีกว่า.. 
“สิ่งใดๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำ ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ อย่ามีอะไรมารบกวนครอบครัวของข้าพเจ้า 
รบกวนการงานของข้าพเจ้า จบสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ขออโหสิกรรมให้กันและกันด้วยเถิด ”
 
คดีนี้สร้างความสะเทือนขวัญต่อสังคมเป็นวงกว้าง 
พร้อมคำถามที่ว่าใครเป็นเจ้าของศพทารกนับพัน? ที่ยังไม่ได้รับการยืนยันดีเอ็นเอ 
แม้เหตุการณ์จะเงียบหายไป "แต่เสียงโหยหวนของดวงวิญญาณที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องขอชีวิต 
จะคอยตราตรึงในความรู้สึกของพ่อและแม่ที่ฆ่าได้แม้แต่สายเลือดของตัวเอง"
 
SEX ที่บริสุทธิ์ต้องเกิดจากความรัก แล้ว SEX ที่เกิดจากความรัก 
ต้องรู้จัก"ป้องกัน"เพราะถ้ารู้จัก"ป้องกัน"ปัญหาก็จะไม่บังเกิด...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่