'บิ๊กตู่' ยกคณะบินไปซาอุฯ ฟื้นความสัมพันธ์แล้ว ให้รอฟังทุกเรื่องต้องดีขึ้น
ก็ต้องดีกว่า 32 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับเกียรติในการที่ได้รับเชิญไปหารือ ฟื้นความสัมพันธ์เก่าๆ ก็ต้องดีขึ้น
เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 25มกราคม ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง (บน.6) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ อาทิ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางด้วยเที่ยวบินพิเศษเพื่อเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการในวันที่ 25-26 มกราคม โดยการเยือนซาอุดิอาระเบียครั้งนี้เป็นการเยือนอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นไปตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดเข้าเฝ้าและพบปะหารือกับเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย เพื่อส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน โดยมีรายงานว่าทั้งสองประเทศจะฟื้นฟูและยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทั้งในด้านการต่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจ และแรงงาน
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางโดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การเดินทางเยือนครั้งนี้จะมีโอกาสดีในการฟื้นความสัมพันธ์อันดีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องดีกว่า 32 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับเกียรติในการที่ได้รับเชิญไปหารือ ฟื้นความสัมพันธ์เก่าๆ ก็ต้องดีขึ้น
เมื่อถามว่า จะมีโอกาสที่แรงงานไทยจะได้กลับไปทำงานที่ซาอุฯ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ทุกเรื่อง จะได้มีการพูดคุยหารือ ซึ่งต้องเริ่มต้นกันก่อนและต้องมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อศึกษาหารือร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องของคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี และเรื่องวิธีการต่างๆที่ต้องพูดคุยกันต่อไป ขณะเดียวกันไปเข้าเฝ้าฯ ในฐานะรัฐบาลตามที่ข่าวออกไปแล้ว จึงขอให้รอฟังรายละเอียดหลังกลับมา
ทั้งนี้นายกฯ ยังกล่าวฝากทิ้งท้ายด้วยว่า “ทำให้บ้านเมืองสงบสุขนะ”
ด้านนายสุชาติ กล่าวก่อนเดินทางว่า ในการเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีและคณะ ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี ส่วนตัวรู้สึกตื่นเต้น เพราะยังไม่เคยไป ซึ่งซาอุฯถือว่ามีบุญคุณกับครอบครัวของตนเอง เนื่องจากพ่อของตนเองเคยทำงานที่ซาอุฯ เมื่อปี 2528 ขณะนั้นตนเองอายุ 11 ปี เพราะในอดีตแรงงานไทยได้เดินทางไปทำงาน 2-3 แสนคน จนทำให้เกิดการแต่งเพลงถึงคนที่ไปทำงานที่นั้น ส่วนรายละเอียดนั้นรอนายกรัฐมนตรีชี้แจง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางกลับถึงไทยในวันที่ 26 มกราคม เวลาประมาณ 08.45 น. โดยทันทีที่เดินทางถึง พล.อ.ประยุทธ์ และคณะ จะปฏิบัติมาตรการควบคุมโรค ทั้งการตรวจเชื้อโควิดแบบ RT- PCR สังเกตอาการ รักษาระยะห่าง และจะทำการตรวจ RT-PCR อีกครั้ง ในวันที่ 30 มกราคม เมื่อครบ 5 วันหลังเดินทางกลับ
https://www.thaipost.net/hi-light/71906/
ฟื้นสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ ในรอบ 32 ปี ผลงานชิ้นเยี่ยมรัฐบาลลุงตู่
วันที่ 25 ม.ค. 2565 นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีกำหนดเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ 25 - 26 มกราคม 2565 ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นการเยือนระดับผู้นำรัฐบาลครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี เพื่อส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน
1.นี่คือผลงานชิ้นเยี่ยม เพราะหากความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ ฟื้นคืนมา ย่อมหมายถึงความร่วมมือการค้า การลงทุน การนำเข้า-ส่งออก การไปทำงาน การท่องเที่ยว ฯลฯ อันหมายถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาลที่จะตามมา หลังหดหายไปเกือบหมด (ที่เห็นนักท่องเที่ยวชาวซาอุฯ มาเที่ยวไทยนั่นเป็นส่วนน้อย ถ้าเปิดความสัมพันธ์กลับมาได้ เชื่อว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจจะมากกว่านี้หลายเท่า)
ซาอุดีอาระเบีย เป็นประเทศชั้นนำที่มีอิทธิพลเหนือประเทศมุสลิมอีกกว่า 50 ประเทศ เป็นประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก มีกองทุนการลงทุนขนาดมหึมาที่สุด เป็นตลาดแรงงานสำคัญ และเป็นประเทศที่ตั้งของเมืองนครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์ สถานที่ที่ชาวมุสลิมทั่วโลก หวังที่จะได้ไปประกอบพิธีฮัจญ์อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต รวมถึงมุสลิมในประเทศไทยด้วย
2.เพื่อให้เห็นภาพที่มาของการฟื้นสัมพันธ์ในครั้งนี้ชัดเจนขึ้น ดร.ศราวุฒิอารีย์ แห่งสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ ได้เขียนบทความ เรื่อง “ไทย-ซาอุดีอาระเบีย: จากสัมพันธ์แตกร้าวสู่ก้าวย่างแห่ง “มิตรภาพใหม่”
กล่าวโดยสรุปความ บางประเด็น ดังนี้
- รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ณ ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 11-13 มกราคม 2020 ว่า ตนเองได้เดินทางเยือนประเทศบาห์เรน ซาอุดีอาระเบีย และโอมาน พร้อมทั้งกล่าวว่า การเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียนั้น เป็นการเดินทางเยือนตามคำเชิญของฝ่ายซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีการนัดหมายกันไว้ล่วงหน้า และยังถือเป็นการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียครั้งแรกของรัฐมนตรีต่างประเทศไทยในรอบ 30 ปี
ระหว่างการเยือน ได้มีการหารือกับเจ้าชายฟัยศ็อล บิน ฟัรฮาน อัลสะอูด รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย กับนายอาดิล บิน อะหมัด อัล-นูบีร รัฐมนตรีแห่งรัฐด้านกิจการต่างประเทศและอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยประเด็นหลักที่ได้มีการพูดคุยกัน คือ การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ
รัฐมนตรีดอน ปรมัตถ์วินัย ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “การเยือนครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากซาอุดีอาระเบียเป็นอย่างดี และถือเป็นพัฒนาการในทางบวกที่จะเป็นประโยชน์สำหรับทั้งสองประเทศต่อไป”
......
- ทำไมควรเร่งฟื้นคืนสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย
วิสัยทัศน์ 2030 ของซาอุดีอาระเบีย ตามที่มกุฎราชกุมาร มุฮัมมัด บิน ซัลมานทรงให้สัมภาษณ์ไว้แก่สำนักข่าวอัล-อาราบียะฮ์เมื่อปลายเดือนเมษายน 2017 ใจความหลักๆ ว่า วิสัยทัศน์นี้เป็นการวางแผนอนาคต 15 ปีของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เป้าหมายสำคัญคือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยไม่พึ่งพาน้ำมันให้ได้ภายในปี 2020 จัดตั้งกองทุนมั่งคั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แปรรูปบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ARAMCO โดยเอาหุ้นน้อยกว่าร้อยละ 5 ออกมาขาย พัฒนาอุตสาหกรรมผลิตอาวุธด้วยตนเอง เพิ่มสัดส่วนแรงงานหญิง ลดอัตราการว่างงาน และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่สำคัญอื่นๆ ของประเทศนอกจากน้ำมัน เช่น ส่งเสริมอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่ประเทศนี้ยังมีศักยภาพอยู่มาก นอกจากนั้น ยังจะเพิ่มความสามารถของราชอาณาจักรในการรองรับมุสลิมจากทั่วโลกที่จะเข้ามาแสวงบุญในพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ จากปีละประมาณ 8 ล้านคน ในปัจจุบัน เป็น 15 ล้านคน ในปี 2020 และเพิ่มเป็น 30 ล้านคน ในปี 2030 อีกทั้งเจ้าชายซัลมานทรงกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ซาอุดีอาระเบียจะเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่จะมาเยือน แต่เป็นการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวที่อยู่ภายใต้กรอบค่านิยมและความเชื่อความศรัทธาของราชอาณาจักร
คาดกันว่า การจะบรรลุความสำเร็จตามที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบียได้วางไว้ในวิสัยทัศน์ 2030 ต้องอาศัยการลงทุนขนาดใหญ่ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานอันจะอำนวยความสะดวกต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งประวัติศาสตร์นี้ สิ่งที่ตามมาคือความต้องการแรงงานต่างชาติ โดยเฉพาะแรงงานฝีมือ และโอกาสทางธุรกิจที่จะเปิดให้สำหรับนักลงทุนทั่วโลก ที่จะหลั่งไหลเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการผลักดันให้วิสัยทัศน์ 2030 กลายเป็นจริงขึ้นมา
สำหรับประเทศไทย เราเคยส่งแรงงานเข้าไปทำงานในซาอุดีอาระเบียมากที่สุดเมื่อกว่า 20 ปีก่อน จำนวนประมาณกว่า 2 แสนคน สร้างรายได้ให้ประเทศมหาศาล ก่อนที่แรงงานของเราจะลดจำนวนลงเหลือแค่หลักพันจากความสัมพันธ์ร้าวฉาน
จากวิสัยทัศน์ 2030 ของซาอุดีอาระเบีย ถือเป็นโอกาสที่กระทรวงแรงงานต้องหาลู่ทางขยายตลาดแรงงานไทย เพราะซาอุดีอาระเบียกำลังมีโครงการต่างๆ เกิดขึ้นใหม่ อีกทั้งบริษัทลงทุนใหญ่ๆ ในซาอุดีอาระเบีย ไม่ว่าจะเป็นของสหรัฐ ยุโรป จีน หรือญี่ปุ่น ต่างก็เคยชื่นชอบแรงงานไทยมาก่อน
- เราต้องสร้างความสมดุลในความสัมพันธ์ หากดูสมการของความสัมพันธ์ในตะวันออกกลางขณะนี้ จะเห็นว่าประเทศ ซาอุดีอาระเบีย อิหร่านและตุรกีเป็นตัวเล่นหลักในสมการนี้ แต่ประเทศไทยยังมีความสัมพันธ์ที่ดีไม่ครบกับทุกประเทศ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียยังไม่ปรากฏเต็มรูปแบบ
ด้วยเหตุนี้ นโยบายหลักที่ประเทศไทยต้องสร้างขึ้นในตะวันออกกลาง คือ สานสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศ โดยต้องเป็นนโยบายที่การสานความสัมพันธ์กับประเทศหนึ่งแล้วไม่ให้เกิดผลกระทบกับความสัมพันธ์กับอีกประเทศหนึ่ง และวิธีที่ดีที่สุดคือฟื้นคืนสัมพันธ์ขั้นปกติกับซาอุดีอาระเบีย (เหมือนที่เรามีกับอิหร่านและตุรกี) อันจะทำให้ไทยสามารถสร้างความสมดุลของสมการที่เป็นดุลอำนาจในภูมิภาคตะวันออกกลางขณะนี้ได้
ข้อเขียนข้างต้น ถือเป็นอีกหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจ
และไม่ว่าจะอย่างไร ความสัมพันธ์อันดีกับซาอุฯ ที่ฟื้นคืนมา คือ โอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน และนับเป็นผลงานยอดเยี่ยมของรัฐบาลลุงตู่
"สารส้ม"
https://www.naewna.com/politic/columnist/50385
7 ปีที่ผ่านมา ผลงานรัฐบาลลุงตู่ไม่ทำให้ประชาชนผิดหวังยกเว้นฝ่ายต่อต้านลุง
ท่านมีวิสัยทัศน์ก้าวหน้า มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับต่างประเทศ ท่านพูดโน้มน้าวให้เข้าใจบริบทประเทศไทย อ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อสมานไมตรีเอาชนะใจทุกประเทศ
ทุกเรื่องที่ท่านทำอย่างจริงใจก็เพื่อประชาชนและประเทศชาติ
ท่านใจสู้ค่ะ....💓💓
มอบเพลงนี้เพื่อลุงตู่ค่ะ.....🤟🤟
ไม่มี ก็คงต้องมีสักวัน
ความฝันเป็นจริงต้องทนสู้ไป
ไม่นาน เราคงจะได้สมใจ
มุ่งมั่น ทุ่มเทเพียงใดกว่าจะได้มา… ✌✌
💌มาลาริน/เริ่มต้นปี2565 รัฐบาลลุงตู่ก็ได้โชว์ผลงานชิ้นโบว์แดง..นายกฯ ยกคณะบินไปซาอุฯแล้ว ฟื้นความสัมพันธ์เก่าๆให้ดีขึ้น
ก็ต้องดีกว่า 32 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับเกียรติในการที่ได้รับเชิญไปหารือ ฟื้นความสัมพันธ์เก่าๆ ก็ต้องดีขึ้น
เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 25มกราคม ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง (บน.6) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ อาทิ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางด้วยเที่ยวบินพิเศษเพื่อเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการในวันที่ 25-26 มกราคม โดยการเยือนซาอุดิอาระเบียครั้งนี้เป็นการเยือนอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นไปตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดเข้าเฝ้าและพบปะหารือกับเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย เพื่อส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน โดยมีรายงานว่าทั้งสองประเทศจะฟื้นฟูและยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทั้งในด้านการต่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจ และแรงงาน
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางโดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การเดินทางเยือนครั้งนี้จะมีโอกาสดีในการฟื้นความสัมพันธ์อันดีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องดีกว่า 32 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับเกียรติในการที่ได้รับเชิญไปหารือ ฟื้นความสัมพันธ์เก่าๆ ก็ต้องดีขึ้น
เมื่อถามว่า จะมีโอกาสที่แรงงานไทยจะได้กลับไปทำงานที่ซาอุฯ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ทุกเรื่อง จะได้มีการพูดคุยหารือ ซึ่งต้องเริ่มต้นกันก่อนและต้องมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อศึกษาหารือร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องของคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี และเรื่องวิธีการต่างๆที่ต้องพูดคุยกันต่อไป ขณะเดียวกันไปเข้าเฝ้าฯ ในฐานะรัฐบาลตามที่ข่าวออกไปแล้ว จึงขอให้รอฟังรายละเอียดหลังกลับมา
ทั้งนี้นายกฯ ยังกล่าวฝากทิ้งท้ายด้วยว่า “ทำให้บ้านเมืองสงบสุขนะ”
ด้านนายสุชาติ กล่าวก่อนเดินทางว่า ในการเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีและคณะ ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี ส่วนตัวรู้สึกตื่นเต้น เพราะยังไม่เคยไป ซึ่งซาอุฯถือว่ามีบุญคุณกับครอบครัวของตนเอง เนื่องจากพ่อของตนเองเคยทำงานที่ซาอุฯ เมื่อปี 2528 ขณะนั้นตนเองอายุ 11 ปี เพราะในอดีตแรงงานไทยได้เดินทางไปทำงาน 2-3 แสนคน จนทำให้เกิดการแต่งเพลงถึงคนที่ไปทำงานที่นั้น ส่วนรายละเอียดนั้นรอนายกรัฐมนตรีชี้แจง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางกลับถึงไทยในวันที่ 26 มกราคม เวลาประมาณ 08.45 น. โดยทันทีที่เดินทางถึง พล.อ.ประยุทธ์ และคณะ จะปฏิบัติมาตรการควบคุมโรค ทั้งการตรวจเชื้อโควิดแบบ RT- PCR สังเกตอาการ รักษาระยะห่าง และจะทำการตรวจ RT-PCR อีกครั้ง ในวันที่ 30 มกราคม เมื่อครบ 5 วันหลังเดินทางกลับ
https://www.thaipost.net/hi-light/71906/
ฟื้นสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ ในรอบ 32 ปี ผลงานชิ้นเยี่ยมรัฐบาลลุงตู่
วันที่ 25 ม.ค. 2565 นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีกำหนดเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ 25 - 26 มกราคม 2565 ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นการเยือนระดับผู้นำรัฐบาลครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี เพื่อส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน
1.นี่คือผลงานชิ้นเยี่ยม เพราะหากความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ ฟื้นคืนมา ย่อมหมายถึงความร่วมมือการค้า การลงทุน การนำเข้า-ส่งออก การไปทำงาน การท่องเที่ยว ฯลฯ อันหมายถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาลที่จะตามมา หลังหดหายไปเกือบหมด (ที่เห็นนักท่องเที่ยวชาวซาอุฯ มาเที่ยวไทยนั่นเป็นส่วนน้อย ถ้าเปิดความสัมพันธ์กลับมาได้ เชื่อว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจจะมากกว่านี้หลายเท่า)
ซาอุดีอาระเบีย เป็นประเทศชั้นนำที่มีอิทธิพลเหนือประเทศมุสลิมอีกกว่า 50 ประเทศ เป็นประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก มีกองทุนการลงทุนขนาดมหึมาที่สุด เป็นตลาดแรงงานสำคัญ และเป็นประเทศที่ตั้งของเมืองนครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์ สถานที่ที่ชาวมุสลิมทั่วโลก หวังที่จะได้ไปประกอบพิธีฮัจญ์อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต รวมถึงมุสลิมในประเทศไทยด้วย
2.เพื่อให้เห็นภาพที่มาของการฟื้นสัมพันธ์ในครั้งนี้ชัดเจนขึ้น ดร.ศราวุฒิอารีย์ แห่งสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ ได้เขียนบทความ เรื่อง “ไทย-ซาอุดีอาระเบีย: จากสัมพันธ์แตกร้าวสู่ก้าวย่างแห่ง “มิตรภาพใหม่”
กล่าวโดยสรุปความ บางประเด็น ดังนี้
- รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ณ ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 11-13 มกราคม 2020 ว่า ตนเองได้เดินทางเยือนประเทศบาห์เรน ซาอุดีอาระเบีย และโอมาน พร้อมทั้งกล่าวว่า การเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียนั้น เป็นการเดินทางเยือนตามคำเชิญของฝ่ายซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีการนัดหมายกันไว้ล่วงหน้า และยังถือเป็นการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียครั้งแรกของรัฐมนตรีต่างประเทศไทยในรอบ 30 ปี
ระหว่างการเยือน ได้มีการหารือกับเจ้าชายฟัยศ็อล บิน ฟัรฮาน อัลสะอูด รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย กับนายอาดิล บิน อะหมัด อัล-นูบีร รัฐมนตรีแห่งรัฐด้านกิจการต่างประเทศและอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยประเด็นหลักที่ได้มีการพูดคุยกัน คือ การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ
รัฐมนตรีดอน ปรมัตถ์วินัย ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “การเยือนครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากซาอุดีอาระเบียเป็นอย่างดี และถือเป็นพัฒนาการในทางบวกที่จะเป็นประโยชน์สำหรับทั้งสองประเทศต่อไป”
......
- ทำไมควรเร่งฟื้นคืนสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย
วิสัยทัศน์ 2030 ของซาอุดีอาระเบีย ตามที่มกุฎราชกุมาร มุฮัมมัด บิน ซัลมานทรงให้สัมภาษณ์ไว้แก่สำนักข่าวอัล-อาราบียะฮ์เมื่อปลายเดือนเมษายน 2017 ใจความหลักๆ ว่า วิสัยทัศน์นี้เป็นการวางแผนอนาคต 15 ปีของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เป้าหมายสำคัญคือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยไม่พึ่งพาน้ำมันให้ได้ภายในปี 2020 จัดตั้งกองทุนมั่งคั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แปรรูปบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ARAMCO โดยเอาหุ้นน้อยกว่าร้อยละ 5 ออกมาขาย พัฒนาอุตสาหกรรมผลิตอาวุธด้วยตนเอง เพิ่มสัดส่วนแรงงานหญิง ลดอัตราการว่างงาน และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่สำคัญอื่นๆ ของประเทศนอกจากน้ำมัน เช่น ส่งเสริมอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่ประเทศนี้ยังมีศักยภาพอยู่มาก นอกจากนั้น ยังจะเพิ่มความสามารถของราชอาณาจักรในการรองรับมุสลิมจากทั่วโลกที่จะเข้ามาแสวงบุญในพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ จากปีละประมาณ 8 ล้านคน ในปัจจุบัน เป็น 15 ล้านคน ในปี 2020 และเพิ่มเป็น 30 ล้านคน ในปี 2030 อีกทั้งเจ้าชายซัลมานทรงกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ซาอุดีอาระเบียจะเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่จะมาเยือน แต่เป็นการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวที่อยู่ภายใต้กรอบค่านิยมและความเชื่อความศรัทธาของราชอาณาจักร
คาดกันว่า การจะบรรลุความสำเร็จตามที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบียได้วางไว้ในวิสัยทัศน์ 2030 ต้องอาศัยการลงทุนขนาดใหญ่ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานอันจะอำนวยความสะดวกต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งประวัติศาสตร์นี้ สิ่งที่ตามมาคือความต้องการแรงงานต่างชาติ โดยเฉพาะแรงงานฝีมือ และโอกาสทางธุรกิจที่จะเปิดให้สำหรับนักลงทุนทั่วโลก ที่จะหลั่งไหลเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการผลักดันให้วิสัยทัศน์ 2030 กลายเป็นจริงขึ้นมา
สำหรับประเทศไทย เราเคยส่งแรงงานเข้าไปทำงานในซาอุดีอาระเบียมากที่สุดเมื่อกว่า 20 ปีก่อน จำนวนประมาณกว่า 2 แสนคน สร้างรายได้ให้ประเทศมหาศาล ก่อนที่แรงงานของเราจะลดจำนวนลงเหลือแค่หลักพันจากความสัมพันธ์ร้าวฉาน
จากวิสัยทัศน์ 2030 ของซาอุดีอาระเบีย ถือเป็นโอกาสที่กระทรวงแรงงานต้องหาลู่ทางขยายตลาดแรงงานไทย เพราะซาอุดีอาระเบียกำลังมีโครงการต่างๆ เกิดขึ้นใหม่ อีกทั้งบริษัทลงทุนใหญ่ๆ ในซาอุดีอาระเบีย ไม่ว่าจะเป็นของสหรัฐ ยุโรป จีน หรือญี่ปุ่น ต่างก็เคยชื่นชอบแรงงานไทยมาก่อน
- เราต้องสร้างความสมดุลในความสัมพันธ์ หากดูสมการของความสัมพันธ์ในตะวันออกกลางขณะนี้ จะเห็นว่าประเทศ ซาอุดีอาระเบีย อิหร่านและตุรกีเป็นตัวเล่นหลักในสมการนี้ แต่ประเทศไทยยังมีความสัมพันธ์ที่ดีไม่ครบกับทุกประเทศ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียยังไม่ปรากฏเต็มรูปแบบ
ด้วยเหตุนี้ นโยบายหลักที่ประเทศไทยต้องสร้างขึ้นในตะวันออกกลาง คือ สานสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศ โดยต้องเป็นนโยบายที่การสานความสัมพันธ์กับประเทศหนึ่งแล้วไม่ให้เกิดผลกระทบกับความสัมพันธ์กับอีกประเทศหนึ่ง และวิธีที่ดีที่สุดคือฟื้นคืนสัมพันธ์ขั้นปกติกับซาอุดีอาระเบีย (เหมือนที่เรามีกับอิหร่านและตุรกี) อันจะทำให้ไทยสามารถสร้างความสมดุลของสมการที่เป็นดุลอำนาจในภูมิภาคตะวันออกกลางขณะนี้ได้
ข้อเขียนข้างต้น ถือเป็นอีกหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจ
และไม่ว่าจะอย่างไร ความสัมพันธ์อันดีกับซาอุฯ ที่ฟื้นคืนมา คือ โอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน และนับเป็นผลงานยอดเยี่ยมของรัฐบาลลุงตู่
"สารส้ม"
https://www.naewna.com/politic/columnist/50385
7 ปีที่ผ่านมา ผลงานรัฐบาลลุงตู่ไม่ทำให้ประชาชนผิดหวังยกเว้นฝ่ายต่อต้านลุง
ท่านมีวิสัยทัศน์ก้าวหน้า มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับต่างประเทศ ท่านพูดโน้มน้าวให้เข้าใจบริบทประเทศไทย อ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อสมานไมตรีเอาชนะใจทุกประเทศ
ทุกเรื่องที่ท่านทำอย่างจริงใจก็เพื่อประชาชนและประเทศชาติ
ท่านใจสู้ค่ะ....💓💓
มอบเพลงนี้เพื่อลุงตู่ค่ะ.....🤟🤟
ไม่มี ก็คงต้องมีสักวัน
ความฝันเป็นจริงต้องทนสู้ไป
ไม่นาน เราคงจะได้สมใจ
มุ่งมั่น ทุ่มเทเพียงใดกว่าจะได้มา… ✌✌