สวัสดีค่ะ เรามีเพื่อนอยู่คนนึงแต่ก่อนเราสนิทกันมากๆ เราขอย้อนไปเล่าการเริ่มต้นสำหรับการเป็นเพื่อนของเราก่อนนะคะ
เราใช้นามสมมติเรียกเค้าว่าเอนะคะ
เรากับเอเรียนเรียนรร.เดียวกันตั้งแต่ประถมแต่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน เริ่มมาคุยกันจริงจังก็ตอนที่เรียนพิเศษ ใช่ค่ะเราเรียนพิเศษที่เดียวกัน
เราทั้งคู่ชอบถ่ายรูปเหมือนกันเลย ตอนนั้นเราได้มือถือใหม่ซึ่งเป็นรุ่นไอโฟนที่เด็กอย่างพวกเราอยากได้มากๆ เรากับเอก็พากันไปถ่ายรูปแล้วก็ถ่ายติ้กตอก
ตอนนั้นเป็นช่วงที่ติ้กตอกบูมเลยแหละค่ะ หลังจากนั้นไม่นานเอก็ได้มือถือไอโฟนมาใหม่ซึ่งเป็นรุ่นที่ใหม่กว่าหนูหลายเท่าเป็นมือถือเครื่องแรกของเอ
เป็นหนูที่ทักชวนเค้าไปถ่ายรูป และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราทั้งคู่ยิ่งกระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้น
เราขึ้นม.ต้นก็เรียนรร.เดียวกันแต่ก็ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันเช่นเคย เราทั้งคู่เลือกที่จะอยู่หอค่ะซึ่งก็ไม่ได้อยู่หอเดียวกันตอนนั้นเป็นช่วงที่โควิดเริ่มระบาดแรกๆเลย จึงมีการแยกกลุ่มA B ทำให้เราเจอกันยากขึ้นมากกว่าเดิม ผ่านไปไม่นานเอก็บอกเราว่าเค้าออกจากหอแล้วเ ค้าอยู่ไม่ได้ ไม่มีเพื่อน เลยเลือกที่จะไปกลับแทน เค้าอยู่ไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นเราเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจเพราะว่าหอที่อยู่ค่อนข้างเป็นระบบปิดอากาศไม่ค่อยถ่ายเทเท่าไหร่ อยู่ๆเราก็รู้สึกแน่นหน้าอกหายใจติดขัดและหลังจากนั้นก็เป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ เราเลยปรึกษากับพ่อแม่ ตอนแรกแม่บอกว่าให้อยู่ครบเทอม1ก่อนจะได้ไม่เสียดายเงินที่จ่ายไป แต่พอเห็นอาการที่ไม่ดีมากขึ้นเลยให้ออกทันที และทำให้เราสองคนได้มาเจอและสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม เราไปกลับพร้อมกันกับเอและก็มีเพื่อนๆของเอด้วย ส่วนใหญ่แล้วเพื่อนในห้องของเราจะอยู่หอและมีบางส่วนที่ไปกลับเพราะบ้านอยู่ใกล้ ตอนนั้นเรารู้สึกเอนจอยมากๆ เราไปเรียนด้วยกันเดินด้วยกันหลังเลิกเรียนเอกับเพื่อนของเค้าก็จะมารอเราที่หน้าห้องแล้วก็กลับพร้อมกัน
วันหยุดเรากับเอก็ชอบชวนกันไปคาเฟ่แล้วก็ถ่ายรูป เราจะเป็นคนที่ไปรับเออยู่ตลอด ตอนนั้นมันดีมากๆ มีครั้งนึงที่เราไปรับเอช้า เพราะรถมอไซพ่อใช้และตอนนั้นพ่อก็ติดธุระกลับมาช้า พอเราไปถึงบ้านเอ เอก็พูดมาว่า บ้านมีมอไซคันเดียวเองหรอแล้วก็หัวเราะ เราไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นเราถึงไม่สวนเค้ากลับเพราะที่ผ่านมาเวลามีคนพูดทำร้ายเรา โดยที่เรารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรเราก็จะสวนขึ้นทันที ที่บ้านเรามีมอไซคันเดียวที่เราขับเป็นที่เหลือจะมีเกียร์แล้วก็จะมีรถใหญ่ของพ่อ เอาจริงมันเจ็บนะที่เพื่อนพูดแบบนี้ใส่แต่เราไม่ได้สวนกลับไป
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเพือนใหม่ที่จะไปเรียนด้วยกันกับพวกเรา นี่คือจุดเปลี่ยนระว่างเรากับเอ เพื่อนคนนี้ค่อนข้างที่จะปฏิเสธคนยาก เวลาที่มีคนสั่งอะไรเค้าก็จะทำ ทำให้เอกับเค้าเริ่มตัวติดกันขึ้น เพราะเหมือนที่ผ่านมาเราและเพื่อนๆจะไม่ค่อยตามใจเอเท่าไหร่ ถ้ามันเป็นเรื่องที่เกินไปจริงๆ จากที่ไปกันเป็นกลุ่มเค้าก็จะเริ่มแยกกันเรื่อยๆจนกลายเป็นว่าเรากับเออยู่คนละกลุ่ม มีวันนึงที่เอไม่มาเรียนแล้วเพื่อนคนที่มาใหม่เค้ามาคุยกับเราบอกเราว่า เค้าอึดอัดที่เอชอบทำตามใจตัวเอง แต่เค้าก็ไม่อยากปฏิเสธเอ เราเองก็บอกไปว่าบางที่หัดทำตามใจตัวเองบ้างก็ดีนะ ส่วนมันเองก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วอะไรที่บอกได้ก็บอกไป หลังจากนั้นเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
จากที่ผ่านมาหลังเลิกเรียนเอจะเดินไปพร้อมกันกับเรา แต่หลังจากนั้นเอก็เดินกับเพื่อนใหม่แล้วก็ไม่ได้รอเราให้เราเดินกับเพื่อนที่เหลือ
พอนานเข้าเราทั้งคู่เริ่มไม่คุยกันจนตอนนี้เกือบปีแล้ว ตอนนี้เราทั้งคู่จะเข้า ม.3กันแล้ว เพื่อนของเอคนนึงได้ทักมา ซึ่ง
เพื่อนคนนี้เอเคยบอกกับเราตั้งแต่แรกเลยว่าให้ห่างเอาไว้ เพื่อนคนนี้ทักมาบอกว่า เอเปลี่ยนไปเยอะมาก เค้าได้มีโอกาสคุยกับเอ ทำให้เค้ารู้สึกได้ทันทีเลยว่าเอเปลี่ยนไปมากขึ้นจริงๆ เอโทษตัวเองทุกอย่างกับเรื่องที่ผ่านมา ตั้งใจเรียนมากขึ้น
ซึ่งตอนนั้นเป็นจุดเปลี่ยนระหว่างเอกับเพื่อนคนนั้น พวกเค้าได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง ที่ผ่านมาเวลาเราได้คุยกับเพื่อนเอคนนี้ เราก็มักจะถามถึงเอตลอด
จากที่เราไม่สบายใจอยู่แล้วมันทำให้เราเครียดกว่าเดิม เรายอมรับว่าเราเองก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้ เราอยากคุยกับเอมากเราอยากปรับความเข้าใจ แต่พอเราได้มาเห็นแชทที่เพื่อนเอถามเอเกี่ยวกับเรา
เอกลับเมินไม่สนใจเรา ทั้งๆที่ผ่านมาเราถามสารทุกข์สุขดิบมาตลอด เหมือนเค้าจะเฉยๆกับเรามาก
แล้วเราก็ได้ข่าวจากเพื่อนของเอคนนี้เหมือนเดิม เพื่อนของเอบอกมาว่าม.3นี้ เอจะย้ายรร.แล้ว เราต้องรู้สึกยังไงที่ได้ข่าวมาจากคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวของเอเอง
ตอนนั้นเราทั้งนอยด์ ทั้งสับสน แล้วจิตตก เราไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อดี เพราะเอก็เหมือนไม่อยากคุยกับเรา ตั้งแต่ที่เรากับเอห่างกัน ไม่มีวันไหนเลยที่เราไม่นึกถึงเค้า โซเชียลของเอก็ไม่ได้อัปเอต ส่วนสตอรี่เราไม่กล้าเข้าไปดู แต่ก็มีเพื่อนของเอคนนี้นี่แหละที่คอยส่งข่าวมาตลอด
เรื่องนี้ทำให้เราตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาไงต่อดีมันมืดไปหมด เราอยากได้คำแนะนำของคนที่ผ่านมาเห็นกระทู้นี้ ว่าหลังจากนี้เราควรทำยังไงดี เราตัดสินใจเองไม่ได้จริงๆค่ะ
แล้วเราขอบคุณล่วงหน้านะคะสำหรับคนที่มาอ่านแล้วก็ให้คำแนะนำกับเรา
เราอยากรู้ว่าควรทำยังไงดีกับความสัมพันธ์แบบนี้ระหว่างเรากับเพื่อน
เราใช้นามสมมติเรียกเค้าว่าเอนะคะ
เรากับเอเรียนเรียนรร.เดียวกันตั้งแต่ประถมแต่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน เริ่มมาคุยกันจริงจังก็ตอนที่เรียนพิเศษ ใช่ค่ะเราเรียนพิเศษที่เดียวกัน
เราทั้งคู่ชอบถ่ายรูปเหมือนกันเลย ตอนนั้นเราได้มือถือใหม่ซึ่งเป็นรุ่นไอโฟนที่เด็กอย่างพวกเราอยากได้มากๆ เรากับเอก็พากันไปถ่ายรูปแล้วก็ถ่ายติ้กตอก
ตอนนั้นเป็นช่วงที่ติ้กตอกบูมเลยแหละค่ะ หลังจากนั้นไม่นานเอก็ได้มือถือไอโฟนมาใหม่ซึ่งเป็นรุ่นที่ใหม่กว่าหนูหลายเท่าเป็นมือถือเครื่องแรกของเอ
เป็นหนูที่ทักชวนเค้าไปถ่ายรูป และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราทั้งคู่ยิ่งกระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้น
เราขึ้นม.ต้นก็เรียนรร.เดียวกันแต่ก็ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันเช่นเคย เราทั้งคู่เลือกที่จะอยู่หอค่ะซึ่งก็ไม่ได้อยู่หอเดียวกันตอนนั้นเป็นช่วงที่โควิดเริ่มระบาดแรกๆเลย จึงมีการแยกกลุ่มA B ทำให้เราเจอกันยากขึ้นมากกว่าเดิม ผ่านไปไม่นานเอก็บอกเราว่าเค้าออกจากหอแล้วเ ค้าอยู่ไม่ได้ ไม่มีเพื่อน เลยเลือกที่จะไปกลับแทน เค้าอยู่ไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นเราเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจเพราะว่าหอที่อยู่ค่อนข้างเป็นระบบปิดอากาศไม่ค่อยถ่ายเทเท่าไหร่ อยู่ๆเราก็รู้สึกแน่นหน้าอกหายใจติดขัดและหลังจากนั้นก็เป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ เราเลยปรึกษากับพ่อแม่ ตอนแรกแม่บอกว่าให้อยู่ครบเทอม1ก่อนจะได้ไม่เสียดายเงินที่จ่ายไป แต่พอเห็นอาการที่ไม่ดีมากขึ้นเลยให้ออกทันที และทำให้เราสองคนได้มาเจอและสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม เราไปกลับพร้อมกันกับเอและก็มีเพื่อนๆของเอด้วย ส่วนใหญ่แล้วเพื่อนในห้องของเราจะอยู่หอและมีบางส่วนที่ไปกลับเพราะบ้านอยู่ใกล้ ตอนนั้นเรารู้สึกเอนจอยมากๆ เราไปเรียนด้วยกันเดินด้วยกันหลังเลิกเรียนเอกับเพื่อนของเค้าก็จะมารอเราที่หน้าห้องแล้วก็กลับพร้อมกัน
วันหยุดเรากับเอก็ชอบชวนกันไปคาเฟ่แล้วก็ถ่ายรูป เราจะเป็นคนที่ไปรับเออยู่ตลอด ตอนนั้นมันดีมากๆ มีครั้งนึงที่เราไปรับเอช้า เพราะรถมอไซพ่อใช้และตอนนั้นพ่อก็ติดธุระกลับมาช้า พอเราไปถึงบ้านเอ เอก็พูดมาว่า บ้านมีมอไซคันเดียวเองหรอแล้วก็หัวเราะ เราไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นเราถึงไม่สวนเค้ากลับเพราะที่ผ่านมาเวลามีคนพูดทำร้ายเรา โดยที่เรารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรเราก็จะสวนขึ้นทันที ที่บ้านเรามีมอไซคันเดียวที่เราขับเป็นที่เหลือจะมีเกียร์แล้วก็จะมีรถใหญ่ของพ่อ เอาจริงมันเจ็บนะที่เพื่อนพูดแบบนี้ใส่แต่เราไม่ได้สวนกลับไป
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเพือนใหม่ที่จะไปเรียนด้วยกันกับพวกเรา นี่คือจุดเปลี่ยนระว่างเรากับเอ เพื่อนคนนี้ค่อนข้างที่จะปฏิเสธคนยาก เวลาที่มีคนสั่งอะไรเค้าก็จะทำ ทำให้เอกับเค้าเริ่มตัวติดกันขึ้น เพราะเหมือนที่ผ่านมาเราและเพื่อนๆจะไม่ค่อยตามใจเอเท่าไหร่ ถ้ามันเป็นเรื่องที่เกินไปจริงๆ จากที่ไปกันเป็นกลุ่มเค้าก็จะเริ่มแยกกันเรื่อยๆจนกลายเป็นว่าเรากับเออยู่คนละกลุ่ม มีวันนึงที่เอไม่มาเรียนแล้วเพื่อนคนที่มาใหม่เค้ามาคุยกับเราบอกเราว่า เค้าอึดอัดที่เอชอบทำตามใจตัวเอง แต่เค้าก็ไม่อยากปฏิเสธเอ เราเองก็บอกไปว่าบางที่หัดทำตามใจตัวเองบ้างก็ดีนะ ส่วนมันเองก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วอะไรที่บอกได้ก็บอกไป หลังจากนั้นเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
จากที่ผ่านมาหลังเลิกเรียนเอจะเดินไปพร้อมกันกับเรา แต่หลังจากนั้นเอก็เดินกับเพื่อนใหม่แล้วก็ไม่ได้รอเราให้เราเดินกับเพื่อนที่เหลือ
พอนานเข้าเราทั้งคู่เริ่มไม่คุยกันจนตอนนี้เกือบปีแล้ว ตอนนี้เราทั้งคู่จะเข้า ม.3กันแล้ว เพื่อนของเอคนนึงได้ทักมา ซึ่ง
เพื่อนคนนี้เอเคยบอกกับเราตั้งแต่แรกเลยว่าให้ห่างเอาไว้ เพื่อนคนนี้ทักมาบอกว่า เอเปลี่ยนไปเยอะมาก เค้าได้มีโอกาสคุยกับเอ ทำให้เค้ารู้สึกได้ทันทีเลยว่าเอเปลี่ยนไปมากขึ้นจริงๆ เอโทษตัวเองทุกอย่างกับเรื่องที่ผ่านมา ตั้งใจเรียนมากขึ้น
ซึ่งตอนนั้นเป็นจุดเปลี่ยนระหว่างเอกับเพื่อนคนนั้น พวกเค้าได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง ที่ผ่านมาเวลาเราได้คุยกับเพื่อนเอคนนี้ เราก็มักจะถามถึงเอตลอด
จากที่เราไม่สบายใจอยู่แล้วมันทำให้เราเครียดกว่าเดิม เรายอมรับว่าเราเองก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้ เราอยากคุยกับเอมากเราอยากปรับความเข้าใจ แต่พอเราได้มาเห็นแชทที่เพื่อนเอถามเอเกี่ยวกับเรา
เอกลับเมินไม่สนใจเรา ทั้งๆที่ผ่านมาเราถามสารทุกข์สุขดิบมาตลอด เหมือนเค้าจะเฉยๆกับเรามาก
แล้วเราก็ได้ข่าวจากเพื่อนของเอคนนี้เหมือนเดิม เพื่อนของเอบอกมาว่าม.3นี้ เอจะย้ายรร.แล้ว เราต้องรู้สึกยังไงที่ได้ข่าวมาจากคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวของเอเอง
ตอนนั้นเราทั้งนอยด์ ทั้งสับสน แล้วจิตตก เราไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อดี เพราะเอก็เหมือนไม่อยากคุยกับเรา ตั้งแต่ที่เรากับเอห่างกัน ไม่มีวันไหนเลยที่เราไม่นึกถึงเค้า โซเชียลของเอก็ไม่ได้อัปเอต ส่วนสตอรี่เราไม่กล้าเข้าไปดู แต่ก็มีเพื่อนของเอคนนี้นี่แหละที่คอยส่งข่าวมาตลอด
เรื่องนี้ทำให้เราตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาไงต่อดีมันมืดไปหมด เราอยากได้คำแนะนำของคนที่ผ่านมาเห็นกระทู้นี้ ว่าหลังจากนี้เราควรทำยังไงดี เราตัดสินใจเองไม่ได้จริงๆค่ะ
แล้วเราขอบคุณล่วงหน้านะคะสำหรับคนที่มาอ่านแล้วก็ให้คำแนะนำกับเรา