ไม่ได้ความถึงการชุมนุมใด ฝ่ายใด หรือแม้กระทั่งประเทศใดเป็นการเฉพาะเจาะจงนะครับผม
เท่าที่ดูข่าว แทบทุกครั้งที่มีการชุมนุม มักจะมีการปะทะกันตามมา และหลังจากนั้นก็จะมีผู้บาดเจ็บ กระทั่งร้ายแรงที่สุดคือมีผู้เสียชีวิต
พูดตามตรงว่าทุกวันนี้ผมไม่ชอบเห็นความรุนแรงเลย เห็นแล้วรู้สึกกลัวยังไงไม่รู้
ผมมีความรู้สึกว่า ความรุนแรงไม่ใช่ทางออกที่ดีเลย ไม่ว่าจะกับเรื่องไหนๆ
สมัยวัยรุ่นผมก็เคยเกี่ยวข้องกับความรุนแรงอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นต้นเหตุ ก่อเหตุ หรือกระทั่งอยู่ในเหตุการณ์ ก็ผ่านมาแล้วทั้งหมด พอคิดย้อนกลับไปในหลายๆ เรื่อง มีความรู้สึกว่า ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมจะไม่ทำแบบนั้นแน่นอน
เล่าให้ฟังสักเหตุการณ์ละกัน
สมัยวัยรุ่นผมเป็นหนึ่งในสายแว๊นนะครับผม ถ้าพูดภาษาชาวบ้านคือ เป็นเด็กวัยรุ่นที่บ้ามอเตอร์ไซค์นั่นละ ที่บ้านซื้อให้คันหนึ่ง ก็ล้างก็เช็ดก็ขัดถูอยู่นั่นละ อารมณ์แบบแมลงวันตอมรถยังโมโหอะไรแบบนั้น
ด้วยความที่เรารักมอเตอร์ไซค์เรามาก ก็แต่งนั่นแต่งนี่ไปเรื่อยนะครับผม ทำสี เปลี่ยนล้อ กลึงดุม อะไรที่คิดว่าทำให้รถเราสวยทำให้รถเราเด่น ก็ทำมันหมดละครับ
พอตัวรถสวยแล้ว ก็มาที่ความแรง แค่สวยอย่างเดียวมันไม่พอครับผม ตอนแรกว่าจะผ่าเครื่องยัดลูกโต แต่คิดไปคิดมากลัวรถจะโทรม เลยตัดสินใจทำแค่ท่อ แล้วปรับจูนระบบจ่ายน้ำมันนิดหน่อยพอ
แต่ทั้งหลายทั้งมวลมันมีค่าใช้จ่าย เก็บตังค์ละครับผม เก็บได้เยอะอยู่ตอนนั้น สั่งซื้อท่อตีจากกรุงเทพเลยครับผม ภาษาพวกผมเขาเรียกท่อสูตร ถ้าเอามาเปลี่ยนกับท่อเดิมๆ แล้วเสียงมันจะเพราะ และความเร็วมันจะดีขึ้น จากเดิมๆ วิ่ง 110 ก็อาจสามารถวิ่งได้ 130 140 อะไรแบบนั้น
วันนั้นได้ท่อมาครับผม ชวนเพื่อนมาดูและช่วยกันติดตั้ง ก็ธรรมดาละครับ ถ้าเด็กผู้ชายมารวมตัวกัน ก็ต้องมีดื่มน้ำแอ๊ปเปิลกันเป็นเรื่องปกติ...น้ำแอ๊ปเปิลตราช้างนะครับผม ดื่มไปดื่มมาเครื่องดื่มหมดครับ ผมเลยอาสาออกไปซื้อในฐานะเจ้าบ้าน และอยากลองท่อใหม่ด้วย ก็แว๊นไปครับ เลียคลัช เบิลท่อ เผายาง เอาหมดละครับ เพราะเริ่มได้ที่ละ
เรื่องมันเกิดหลังจากซื้อเครื่องดื่มเสร็จครับผม หลังจากเอาเครื่องดื่มใส่เป้แล้วสตาร์ทรถออกมาจากร้าน ด้วยความมึนเมา คึกคะนอง เห่อท่อ อะไรต่างๆ นานา ผมแว๊นปาดหน้าชาวบ้านซ้ายทีขวาที มาตั้งแต่ซอยร้านค้าจนเข้าถนนหลักเลยครับผม
แล้วผมไปติดไฟแดงตรงสี่แยก ตอนนั้นคิดในใจ ใครๆ ก็ต้องคิดว่ารถผมเจ๋งแน่ๆ นอกเหนือจากนั้นคนขับนี่เท่ห์สุดๆ ไปเลย ผมคิดว่าทั้งถนนมีแต่คนสนใจผมอยู่คนเดียว หรืออย่างน้อยก็สนใจผมมากที่สุดแล้วละ และความจริงมันก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละครับ เพราะมีรถเก๋งคันหนึ่งขับมาจอดตีคู่กับผม แล้วอยู่ๆ คนนั่งข้างคนขับเป็นผู้ชายอายุน่าจะราวๆ 30 เลื่อนกระจกลง แล้วเอ่ยคำทักทายมาถึงผม
"ขับรถแบบนี้ ม. ไม่เคยตายเหรอวะ" ผมได้ยินทีแรกก็สะดุ้งนิดหนึ่ง แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ
"เห้ย...ขับรถแบบนี้ ม. ไม่เคยตายเหรอวะ" คิดในใจว่าเอาแล้วไง มันต้องเป็นหนึ่งในคนที่โดนผมปาดหน้ามาแน่เลย แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจอีก กะว่าไฟเขียวก็ขับหนีแล้วละ
"ไอ้ลูก... ม. ขับรถแบบนี้ไม่เคยตายเหรอวะ" อ้าว...ด่าแม่ ก. ซะแล้ว ผมหยั่งขาตั้ง แล้วลงจากรถเดินเข้าใส่เลยครับผม ผมซัดฝ่ามือเข้าบ้องหูมันสุดแรงจนหน้ามันกระแทกกับคอนโซลหน้ารถเลยครับ จากนั้นผมเอื้อมไปล้วงขวดเครื่องดื่มในเป้ที่สะพาย กำคอขวดชักออกมาถือไว้ในมือขวดหนึ่ง อารมณ์เหมือนถือเป็นกระบองน่ะ ผมชี้หน้ามัน แล้วบอกมันว่า "ม. อยากเอาคืนไหม ลงมา"
พอมันเงยหน้าขึ้นมา เชื่อไหมครับ หน้ามันแดงเป็นจ้ำๆ ขึ้นเป็นรูปฝ่ามือผมเลย สีหน้ามันดูตื่นตกใจมาก คงไม่คิดว่าจะโดนเด็กตบบ้องหูกลางสี่แยก ผมง้างขวดรอเลยครับ กะว่าถ้ามันลงมาจะตีให้อยู่
แต่พอดีไฟเขียว มันรีบปิดกระจกขับหนีผมอย่างไว เชื่อไหมทั้งถนนไม่มีใครกล้าบีบแตรใส่ผมสักคน ผมก็เก็บขวดเครื่องดื่ม แล้วขับรถไปต่อ
ที่เล่าให้ฟังไม่ใช่ว่าภูมิใจหรืออะไรนะครับ ผมอยากจะบอกว่า การกระทำของผม มันเป็นการกระทำที่โง่และขาดสติ ถ้าคู่กรณีผมมีปืน ผมก็คงตายคาที่อยู่ตรงนั้น
ก็อยากเตือนนะครับ ว่าการเมืองในปัจจุบันถ้ามีความรุนแรงเข้ามาเกี่ยวข้อง มันอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับใครก็ได้ บางทีก็ต้องใช้สติ ตรึกตรองดูดีๆ ก่อนจะร่วมกิจกรรมทางการเมืองที่อาจปะทะกันได้ตลอดเวลา
การเมืองไม่สำคัญเท่าชีวิตเราหรอกครับ เชื่อผมเถอะ
ฟังเพลงดีกว่า
การเมืองจำเป็นต้องมีความรุนแรงเป็นส่วนประกอบหรือไม่ : ดาวดำผู้ชายสายสปีด
เท่าที่ดูข่าว แทบทุกครั้งที่มีการชุมนุม มักจะมีการปะทะกันตามมา และหลังจากนั้นก็จะมีผู้บาดเจ็บ กระทั่งร้ายแรงที่สุดคือมีผู้เสียชีวิต
พูดตามตรงว่าทุกวันนี้ผมไม่ชอบเห็นความรุนแรงเลย เห็นแล้วรู้สึกกลัวยังไงไม่รู้
ผมมีความรู้สึกว่า ความรุนแรงไม่ใช่ทางออกที่ดีเลย ไม่ว่าจะกับเรื่องไหนๆ
สมัยวัยรุ่นผมก็เคยเกี่ยวข้องกับความรุนแรงอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นต้นเหตุ ก่อเหตุ หรือกระทั่งอยู่ในเหตุการณ์ ก็ผ่านมาแล้วทั้งหมด พอคิดย้อนกลับไปในหลายๆ เรื่อง มีความรู้สึกว่า ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมจะไม่ทำแบบนั้นแน่นอน
เล่าให้ฟังสักเหตุการณ์ละกัน
สมัยวัยรุ่นผมเป็นหนึ่งในสายแว๊นนะครับผม ถ้าพูดภาษาชาวบ้านคือ เป็นเด็กวัยรุ่นที่บ้ามอเตอร์ไซค์นั่นละ ที่บ้านซื้อให้คันหนึ่ง ก็ล้างก็เช็ดก็ขัดถูอยู่นั่นละ อารมณ์แบบแมลงวันตอมรถยังโมโหอะไรแบบนั้น
ด้วยความที่เรารักมอเตอร์ไซค์เรามาก ก็แต่งนั่นแต่งนี่ไปเรื่อยนะครับผม ทำสี เปลี่ยนล้อ กลึงดุม อะไรที่คิดว่าทำให้รถเราสวยทำให้รถเราเด่น ก็ทำมันหมดละครับ
พอตัวรถสวยแล้ว ก็มาที่ความแรง แค่สวยอย่างเดียวมันไม่พอครับผม ตอนแรกว่าจะผ่าเครื่องยัดลูกโต แต่คิดไปคิดมากลัวรถจะโทรม เลยตัดสินใจทำแค่ท่อ แล้วปรับจูนระบบจ่ายน้ำมันนิดหน่อยพอ
แต่ทั้งหลายทั้งมวลมันมีค่าใช้จ่าย เก็บตังค์ละครับผม เก็บได้เยอะอยู่ตอนนั้น สั่งซื้อท่อตีจากกรุงเทพเลยครับผม ภาษาพวกผมเขาเรียกท่อสูตร ถ้าเอามาเปลี่ยนกับท่อเดิมๆ แล้วเสียงมันจะเพราะ และความเร็วมันจะดีขึ้น จากเดิมๆ วิ่ง 110 ก็อาจสามารถวิ่งได้ 130 140 อะไรแบบนั้น
วันนั้นได้ท่อมาครับผม ชวนเพื่อนมาดูและช่วยกันติดตั้ง ก็ธรรมดาละครับ ถ้าเด็กผู้ชายมารวมตัวกัน ก็ต้องมีดื่มน้ำแอ๊ปเปิลกันเป็นเรื่องปกติ...น้ำแอ๊ปเปิลตราช้างนะครับผม ดื่มไปดื่มมาเครื่องดื่มหมดครับ ผมเลยอาสาออกไปซื้อในฐานะเจ้าบ้าน และอยากลองท่อใหม่ด้วย ก็แว๊นไปครับ เลียคลัช เบิลท่อ เผายาง เอาหมดละครับ เพราะเริ่มได้ที่ละ
เรื่องมันเกิดหลังจากซื้อเครื่องดื่มเสร็จครับผม หลังจากเอาเครื่องดื่มใส่เป้แล้วสตาร์ทรถออกมาจากร้าน ด้วยความมึนเมา คึกคะนอง เห่อท่อ อะไรต่างๆ นานา ผมแว๊นปาดหน้าชาวบ้านซ้ายทีขวาที มาตั้งแต่ซอยร้านค้าจนเข้าถนนหลักเลยครับผม
แล้วผมไปติดไฟแดงตรงสี่แยก ตอนนั้นคิดในใจ ใครๆ ก็ต้องคิดว่ารถผมเจ๋งแน่ๆ นอกเหนือจากนั้นคนขับนี่เท่ห์สุดๆ ไปเลย ผมคิดว่าทั้งถนนมีแต่คนสนใจผมอยู่คนเดียว หรืออย่างน้อยก็สนใจผมมากที่สุดแล้วละ และความจริงมันก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละครับ เพราะมีรถเก๋งคันหนึ่งขับมาจอดตีคู่กับผม แล้วอยู่ๆ คนนั่งข้างคนขับเป็นผู้ชายอายุน่าจะราวๆ 30 เลื่อนกระจกลง แล้วเอ่ยคำทักทายมาถึงผม
"ขับรถแบบนี้ ม. ไม่เคยตายเหรอวะ" ผมได้ยินทีแรกก็สะดุ้งนิดหนึ่ง แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ
"เห้ย...ขับรถแบบนี้ ม. ไม่เคยตายเหรอวะ" คิดในใจว่าเอาแล้วไง มันต้องเป็นหนึ่งในคนที่โดนผมปาดหน้ามาแน่เลย แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจอีก กะว่าไฟเขียวก็ขับหนีแล้วละ
"ไอ้ลูก... ม. ขับรถแบบนี้ไม่เคยตายเหรอวะ" อ้าว...ด่าแม่ ก. ซะแล้ว ผมหยั่งขาตั้ง แล้วลงจากรถเดินเข้าใส่เลยครับผม ผมซัดฝ่ามือเข้าบ้องหูมันสุดแรงจนหน้ามันกระแทกกับคอนโซลหน้ารถเลยครับ จากนั้นผมเอื้อมไปล้วงขวดเครื่องดื่มในเป้ที่สะพาย กำคอขวดชักออกมาถือไว้ในมือขวดหนึ่ง อารมณ์เหมือนถือเป็นกระบองน่ะ ผมชี้หน้ามัน แล้วบอกมันว่า "ม. อยากเอาคืนไหม ลงมา"
พอมันเงยหน้าขึ้นมา เชื่อไหมครับ หน้ามันแดงเป็นจ้ำๆ ขึ้นเป็นรูปฝ่ามือผมเลย สีหน้ามันดูตื่นตกใจมาก คงไม่คิดว่าจะโดนเด็กตบบ้องหูกลางสี่แยก ผมง้างขวดรอเลยครับ กะว่าถ้ามันลงมาจะตีให้อยู่
แต่พอดีไฟเขียว มันรีบปิดกระจกขับหนีผมอย่างไว เชื่อไหมทั้งถนนไม่มีใครกล้าบีบแตรใส่ผมสักคน ผมก็เก็บขวดเครื่องดื่ม แล้วขับรถไปต่อ
ที่เล่าให้ฟังไม่ใช่ว่าภูมิใจหรืออะไรนะครับ ผมอยากจะบอกว่า การกระทำของผม มันเป็นการกระทำที่โง่และขาดสติ ถ้าคู่กรณีผมมีปืน ผมก็คงตายคาที่อยู่ตรงนั้น
ก็อยากเตือนนะครับ ว่าการเมืองในปัจจุบันถ้ามีความรุนแรงเข้ามาเกี่ยวข้อง มันอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับใครก็ได้ บางทีก็ต้องใช้สติ ตรึกตรองดูดีๆ ก่อนจะร่วมกิจกรรมทางการเมืองที่อาจปะทะกันได้ตลอดเวลา
การเมืองไม่สำคัญเท่าชีวิตเราหรอกครับ เชื่อผมเถอะ
ฟังเพลงดีกว่า