ผมไม่รู้ว่าจะเดินชีวิตไปทางไหนแล้วครับ ตอนนี้อยากจบชีวิตตนเองมากกว่า

บอกตรงๆ ว่าผมไม่รู้ว่าจะเขียนกระทู้นี้อย่างไรดี ปกติผมเองไม่ค่อยเป็นคนมาตั้งกระทู้แบบนี้ให้ใครอ่านสักเท่าไร จริงๆแล้วในพันทิป ผมแทบไม่เคยตั้งกระทู้หรือตอบกระทู้ใครเลย เอาเป็นว่า ผมขอเล่าเรื่องของผมให้เพื่อนๆฟังก่อนแล้วกันนะครับ

ผมเองทำธุรกิจครับ แต่เดิมผมเองเรียนจบวิศวะ แต่ก็เรียนไม่ค่อยเก่ง อาศัยว่าส่งตัวเองเรียน ใช้ความพยายามเอา ในที่สุดก็เรียนจบ 8 ปี แต่อย่างน้อยผมเองก็จบ ใจจริงไม่ได้อยากที่จะเรียนสาขานี้เลยครับ แต่ผมเองจบ ปวช.ช่างก่อสร้างมา ทางเลือกในชีวิตเองก็มีไม่มากเลยเลือกที่จะเรียนต่อวิศวกะเอาดีกว่า ใจจริงผมอยากเป็นนักดนตรีครับ อยากเรียนดนตรี

ในระหว่างเรียน ผมเองช่วงที่อยู่ปี 1 จะเข้า ปี 2 เริ่มรู้สึกแล้วว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ใช้ ผมคิดว่าตัวผมเองไม่ชอบการรับน้องที่ไร้สาระ พยายามที่จะทำอะไรที่คิดว่าเราควรจะทำจริงๆ ประกอบกับที่บ้านผมเองไม่ได้มีเงินเยอะอะไร เลยคิดว่าอยากจะหางานทำระหว่างที่เรียนไปด้วย เพื่อส่งตัวเองเรียน และซื้อของใช้จำเป็น ช่วงที่เรียนนั้นผมเรียนไม่เก่งเลยครับ ตอน ปวช. ผมเรียนเก่งนะครับ แต่พอเข้ามหาลัย อะไรก็แย่ไปหมด ยิ่งตอนช่วงรับน้องปีหนึ่ง เพื่อนๆที่เคยเข้ารับน้องแบบมหาวิทยาลัยที่เด็กช่างเรียนกันเยอะๆจะเข้าใจดีครับ มันไม่ไดรับน้องแบบน่ารักเหมือนมหาลัยทั่วไปนนักเท่าไร แต่ขอบอกก่อนว่า มหาลัยที่ผมเรียนไม่ได้มีเรื่องของความรุณแรงทางกายนะครับ จะเป็นเรื่องทางใจมากกว่า ขนาดที่เรียนก็ยุ่งอยู่แล้ว ต้องปรับตัวกับมหาลัยก็แล้ว ยังต้องมาเจอรับน้องทุกตอนเย็น ของทุกวัน ไม่เว้นวันหยุด พอนั้งเรียนก็มีรุ่นพี่เดินเข้ามาว่า "น้องครับ ตอนเย็นเจอกันที่สาขานะครับ" ทุกครั้งที่ได้ยินคำๆนี้ มันแทบอยากลาออกให้จบๆ ไปให้พ้นๆจากเรื่องแบบนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเราต้องเรียนให้จบ ทำงาน หาเงิน เลี้ยงดูพ่อ แม่ ให้ได้ คิดอยู่แต่แบบนี้ เพราะผมมีทางเลือกไม่มาก ทำอะไรได้ไม่มากเหมือนคนอืนเขา จะให้ซิวออกมาก็ไม่ได้ เพราะแค่นี้ที่บ้านก็ลำบากแล้ว ผมเลยจำเป็นต้องเรียนต่อ อดทน ในปีหนึ่ง ผลการเรียนของผมแย่มากๆ ได้เกรดเกือบไม่ถึง 1 เพราะไม่มีสมาธิเรียนจริงๆ วุ่นไปหมดทุกอย่าง ความคิดกระเจิง ทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจเลย ผมเลยเริ่มคิดจริงจังว่า อยากทำอะไรที่ใช่ และเป็นตัวของตัวเองสักที ไม่อยากมาเจอแล้วสังคมแบบนี้ รุ่นพี่แบบนี้ การกระทำแย่ๆแบบนี้ ไร้สาระมากๆ ผมเลยคิดว่าอยากหาเงินเรียนเอง ตอนนั้นเลยตัดสินใจว่า ผมจะดอปเรียนหลายวิชา ลงเทอมหนึ่งสัก 3 - 4 วิชา แล้วค่อยๆเรียนไปเรื่อย ตั้งใจไปที่ละนิด 8 ปี ก็เอา อย่างน้อยเราก็หาเงินใช้เอง ผมเลยตัดสินใจเดี๋ยวนั้นว่า พอกันที ไม่เอาแล้วเรื่องระบบไร้สาระแบบนี้ พอแล้ว เอาเวลาไปหาเงินดีกว่า ผมเลยออกจากระบบรุ่น และเริ่มหาตัวเองอย่างจริงจังว่าตัวผมเองต้องการทำอะไร

ปีที่ 2 ของชีวิตมหาวิทยาลัย ตอนนั้นก็อายุประมาณ 20 ปี ตอนนี้วางแผนแล้วว่าจะลงเรียนน้อยๆ และหาเงินเรียนเอง ต้องทำในสิ่งที่ต้นเองรัก และให้มันได้เงินให้ได้ ผมเลยเริ่มที่จะหาสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด จนในที่สุดผมก็อแตกสิ่งที่ผมอยากทำ และทำได้ดีกว่าคนอื่น แยกออกมาเป็นประเด็นได้ตามนี้ครับ
1.ประมาณราคางานก่อสร้าง
2.เล่นดนตรีไทย
3.ประวัติศาสตร์
ผมคิดได้ 3 อย่างนี้ และคิดว่าจะทำอะไรดี และโชคดีของผมก็มาถึง มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่มหาลัย เขารับงานประมาณราคางานก่อสร้าง รุ่นพี่คนนี้เป็นรุ่นพี่หลักสูตรเทียบโอน พี่เขามีงานทำอยู่แล้ว และอยากจะเทียบโอนเลยมาเรียนเพิ่มเติมช่วงวันหยุด พี่เขาได้เสนองานประมาณราคาให้ผม ซึ่งแน่นอนใครจะปฎิเสทได้จริงไหมละครับ ก็นี้คืองานที่ผมชอบเลยนิ ผมเลยทำงานส่งตัวเองเรียนตั้งแต่นั้นเป็นตันมา เพื่ออย่างน้อยก็หารายได้ส่งตัวเองเรียนให้จบ และได้หาเงินด้วย ตอนนั้นผมสนุกมากๆครับ แต่ไม่มีเพื่อนเลย เพราะใครที่ไม่เข้ารับน้อง หรือไม่ไปรับน้อง ก็จะโดนเพื่อนๆปฎิเสทที่จะเป็นเพื่อนด้วย ซึ่งรุ่นพี่เองจะเป็นคนตรวจดูตลอด ว่าใครที่ไปคุยกับคนที่ไม่เข้ารับน้อง ก็จะโดนลงโทษ แต่ผมก็ไม่ได้แคร์อะไร เพราะการทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียนนั้นสำคัญกว่า แต่ละงาน เงินไม่ได้มาก แต่อย่างน้อบยก็เป็นคงวามภาคภูมิใจของผมที่หาเงินส่งตัวเองเรียนได้ โดยที่ไม่ได้พึ่งเงินพ่อแม่ ผมดีใจมากครับ ผมทำงานนี้อยู่ได้ประมาณ ปีกว่า และในที่สุดงานก็หมด เพราะหลังๆจะมีโปรแกรมประมาณราคางานก่อสร้างโดยเฉพาะเลยแทบจะไม่จำเป็นต้องใช้ช่างประมาณราคาแล้วครับ ในตอนนั้นงานผมก็เริ่มไม่มี จนในที่สุดก็ไม่มีใครว่าจ้างแล้ว แต่ผมเป็นคนเก็บเงินเก่ง เลยยังพอที่จะลุยไปต่อได้ครับ

ปี 4 ต่อนี้ผมอายุ 22 ปี แน่นอนครับ ไม่ได้ใกล้คำว่าเรียนจบเลย เพราะว่าผมเองลงเรียนน้อย เพื่อให้ผ่าน 100 % และไม่เบียดเบียนการทำงานของผมด้วย แต่แน่นอน ตอนนี้งานประมาณราคาของผมไม่มีเลย แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าผมอยากทำ คือ ผมอยากเป็นนักดนตรีครับ อยากเล่นดนตรี แต่หมายถึงดนตรีไทยนะครับ ผมชอบเป่าขลุ่ยมาก ตั้งแต่ ป.5 แล้ว และคิดว่าเล่นได้ดีด้วย ตอนที่ผมทำงานประมาณราคาผมซื้อขลุ่ยมาเลาหนึ่ง เป็นขลุ่ยไม้ที่ผมรักที่สุดเลยครับ และผมเริ่มที่จะเล่นดนตรีเปิดหมวกอย่างจริงจัง ผมเล่นตามถนนคนเดิน ตลาดนัด ตลาดโต้รุ่ง หน้าห้าง ถือขลุ่ยเลาเดียว เล่นเปิดหมวก จังหวัดที่ผมอยู่ตอนเรียน จะมีนักท่องเที่ยวมาเลเซียเยอะมากครับ เพราะเป็นจังหวัดใหญ่ มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะ ผมเลยเปิดหมวกได้เงินค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่ก็ใช้กินประจำวัน และจ่ายค่าเรียนครับ มีความสุขมาก ได้ทำในสิ่งที่เรารัก เล่นดนตรีได้ทั้งวันทั้งคืน สนุกมากครับ และมีวันหนึ่ง ตอนนั้น Youtube เริ่มที่จะดังขึ้นมาครับ ผมเลยอยากลองอัดคลิปลง Youtube ขึ้นมาบ้าง แต่ตอนนั้น โทรศัพท์ผมเองก็ไม่ได้ถ่าย VDO ชัดอะไร เลยถ่ายคลิปแรกลงในช่องครับ คลิปนั้นเป็นคลิปสอนการระบายลมขลุ่ย ผมใช้ชื่อช่องว่า นา คนรักขลุ่ย ช่วงแรกๆไม่มีคนดูเลย หลังๆเริ่มมามี เลยทำเพจเองเลยครับ และเริ่มสอนการเป่าขลุ่ย ลงเพลงขลุ่ย จนอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่ผมซื้อขลุ่ยกับท่านโทรเข้ามาหาผม บอกผมว่า "เป่าขลุ่ยไม่ได้เรื่องเลย เป่าแบบนั้นมันผิด อยากเป่าให้ถูกต้องไหม เดี๋ยวสอนให้ฟรี" ผมดีใจมากๆครับ เพราะตั้งแต่เรียนขลุ่ยมา ก็แทบไม่มีใครสอนเลย อาจารย์ที่โรงเรียนสมัยมัธยมก็ไม่ใช่คนขลุ่ยโดยตรง เลยจะหาความรู้เรื่องขลุ่ยโยยตรงได้ยากมากๆครับ อาจารย์ท่านสอนเลยอยากเรียนด้วยเลยครับ ผมเรียนกับอาจารย์มาประมาณ 2 ปี ในช่วงระหว่างที่เรียนผมก็ทำคลิป Review ขลุ่ยของผมเองลงใน Youtube และสิ่งที่ตามาาคือมีคนขอซื้อครับ มีคนมาขอซื้อขลุ่ยผม ผมเลยเริ่มเกิดความคิดว่า ถ้าแบบนั้น ทำไมเราไม่ขายขลุ่ยเองซะเลยละ น่าสนใจจะตาย

ตอนนี้ผมอายุ 24 ปี ครับ พอมีคนเริ่มสนใจขลุ่ย ผมเลยคิดว่า ขายขลุ่ยดีไหม แต่ผมเองไม่เคยทำธุรกิจครับ เลยกลัวที่จะขาดทุน แต่ก็คิดว่าถ้าเรายังอยู่แบบนี้เรื่อยๆก็คงไม่มีอะไรต่อยอดจากสิ่งที่ทำได้แน่ๆ ผมเองเลยยอมเอาเงินเก็บก้อนสุดท้าย ซื้อขลุ่ยมาขาบยครัย โดยเปิดพรีออร์เดอร์หน้าเพจผมเอง สิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นก็เกินขึ้นครับ ขลุ่ยผมสั่งมาขาย 50 เลา ตอนนั้นผมขายเฉพาะขลุ่ยพลาสติด มียอดจองจนหมดใน 2 วัน ผมดีใจมากๆที่ขายของได้ เลยสั่งมาขายเพิ่มอีก และเริ่มศึกษาการขายของอย่างจริงจัง ว่าควรทำอย่างไรให้ถูกกฎหมาย ผมจดทะเบียนการค้า เสียภาษีอย่างถูกต้อง เดินหน้าทำธุรกิจอย่างเต็มตัว มีความสุขกับงานขายของมากๆครับ ผมบอกกับพ่อของผมว่า ก่อนที่ผมจะเรียนจบ ผมจะมีเงินเก็บ 50,000 บาทให้ได้

25 ย่าง 26 ปี ตอนนี้ผมเริ่มที่จะมีเงินเก็บมากขึ้นแล้วครับ ประมาณ 6 หลักต้นๆ แล้วทำไงต่อละ ลงทุนสิครับ ผมลงทุนซื้อสลากออมสิน ฝากประจำ ใช้เงินเก็บให้เกิดประโยชน์ และซื้อรถมอเตอร์ไซส์คันแรกในชีวิตครับ ตอนนี้ชีวิตผมเองมีความสุขมากๆ อยากทำอะไรก็ทำได้ดั่งใจ ไม่ประมาทกับชีวิต เฉพาะค่ากินไม่เกิน 4,000 บาทต่อเดือน ตอนนี้ผมส่งเงินให้พ่อผมได้แล้วครับ พ่อผมไม่ต้องทำงานแล้ว เพราะพ่อผมอายุมากแล้วครับ ตอนนี้ผมขายขลุ่ย และเรียนปี่ใต้เพิ่มเต็มด้วย เพราะอยากเรียนปี่ครับ รับสอนดนตรีไทย เล่นดนตรเปิดหมวก เล่นดนตรีตามงานต่างๆ ผมติดต่อครูดนตรีไทยท่านหนึ่ง และทำงานเป็นศิลปินร่วมกัน ตั้งวงดนตรีเล่นด้วยกัน เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขมากๆครับ และที่สำคัญ ตอนนี้ผมเริ่มที่จะมีชื่อเสียงในจังหวัด มีงานดนตรีเยอะมาก 

แต่ในที่สุด ทุกอย่างที่ผมทำก็เริ่มมีอะไรหลายๆอย่างลดลงไป เริ่มจากยอกขายขลุ่ยของผมลดลงอย่างมาก จาก 6 หลัก ต่อ เดือน กลายเป็น 5 หลักต่อเดือน งานดนตรีลดลง ร้านไม่จ้าง ตลาดไม่อนุญาติให้เล่น ช่วงนี้อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวที่ผมจะเรียนจบครับ ผมเลยตัดสินใจว่า ลองทำงานประจำด้วยเลยดีกว่า พอดีมีอาจารย์ ต้องการช่างควบคุมงานก่อสร้าง ผมเลยลองสมัครดูกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ที่เรียนจบ 8 ปี มาด้วยกัน เป็นเพื่อนสนิทผมเลยครับ ในตอนนี้ผมยังพอมีเงินอยู้ เงินเก็บเยอะ และภูมิใจในตัวเองมาก เลยลองทำงานประจำดู เผื่อว่าอาจจะเป็นแนวที่ชอบ

ผมทำงานประจำ สายวิศกรโยธา เวลาก็มีไม่เยอะ งานดนตรีของผมเลยแทบไม่ได้ทำเลยครับ เพราะทำงาน 7 วัน ลาได้เดือนละ 3 ครั้ง ทำเต็มที่ บางวันก็เลิกค่ำ ขลุ่ยก็ยังขาย แต่ตอนนี้ยอดรายได้ของผมลดลงเป็นอย่างมากครับ และในปีะนี้ผมพบว่าตนเองเป็นโรคซึมเศร้าครับ เพราะตัวผมเองพยายามที่จะฆ่าตัวตายมานานแล้ว ตั้งแต่อายุ 20 ปี ช่วงที่เจอเรื่องรับน้อง และต้องสู้อะไรหลายๆอย่างคนเดียว ผมเริ่มที่จะทำร้ายตัวเองมากขึ้น เลยตัดสินในพยจิตแพทย์อย่างจริงจัง และสรุปว่าผมเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ผมเล่าให้เพื่อนสนิทผมฟัง ไม่มีใครเชื่อเลยแม้แต่คนเดียว เพราะผมเป็นคนหัวเราะง่าย ยิ้มแย้ม ให้กำลังใจคน แต่ดันเป็นซึมเศร้าซะได้ ผมเลยเริ่มรักาาอย่างจริงจัง เข้าพบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อให้ตนเองได้หายจากโรคนี้อย่างจริงจัง เพื่อคนที่ผมรัก และคนที่รักผมด้วย

27 ปี ผมออกจากงานมาลุยธุรกิจอย่างจริงจัง เพราะคิดว่าเสียเวลากับงานประจำไปเยอะมาก และเงินเดือนไม่ได้เยอะเหมือนตอนทำธุรกิจอย่างจริงวจังด้วย ผมเรียนจบ และตัดสินใจกลับบ้านเกิดผมเอง เพราะคิดว่าอะไรๆน่าจะดีขึ้น เพราะไหนๆตอนนี้งานดนตรีผมก็ไม่มีแล้ว เหลือแต่งานขายเครื่องดนตรีอย่างเดียว มาดูลู่ทางอะไรที่บ้านดีกว่า ต้องบอกไว้ก่อนนะครับว่าบ้านผมเราไม่มีอะไรเลย บ้านก็เช่า เงินเก็บไม่มี ผมคนเดียวในบ้านเลยที่มีเงินเก็บ ผมกลับมาบ้านพร้อมมอเตอร์ไซส์สุดรักที่ยังผ่อนไม่หมดอีก 1 คัน กับเงินเก็บอีก 300k โดยประมาณ 
ในตอนนี้ผมได้ต่อยอดสิ่งที่คุณแม่ผมทำไว้ คุณแม่ผมได้สร้างทำแหน่งให้ผมในธุรกิจขายตรงเจ้าหนึ่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งระดับกลางอยู่แล้ว แต่ผมเองขายตรงไม่เก่ง สิ่งที่ผมเก่งคือขายของออนไลท์ ผมเลยพยายามที่จะดึงงานขายตรงนี้ให้เป็นในรูปแบบออนไลท์ให้ได้ และผมเองก็เจอกับคนๆหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกทีมของผมเอง คนๆนี้ค่อนข้างรู้จักคนเยอะ และทำให้ผมได้รู้จักกับคนๆหนึ่ง ซึ่งจะต่อยอดธุรกิจของผมได้ครัย
อีรกสิ่งหนึงที่ผมเริ่มสนใจหลังจากที่ใช้ชีวิตมาสักพัก คืดเครื่องเงินครับ ผมชอบเครื่องเงินมากๆ เลยอยากจะลองขายเครื่องเงินเอง โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายจากร้านของเพื่อนลูกทีมของผมครับ ซึ่งแน่นอนว่าผมเองตอนนี้รายจ่ายเริ่มมากกว่ารายรับ เพราะว่าผมต้องดูและพ่อ จ่ายหนี้ กยศ. ลุยทุกอย่างด้วยตัวเอง และเครื่องดนตรีเริ่มขายบไม่ดีแล้ว บางเดือนเหลือแค่หลักพันเท่านั้น
ผมเริ่มขายตรงและขายเครื่องเงิน ทำเพจ ขายในร้าน ในเว็ปไซส์ใหญ่ๆ จนเริ่มมีคนสนใจเครื่องเงินของผมมากยิ่งขึ้น มีคนซื้อเริ่มเยอะ ขายเริ่มดี แต่กำไรต่อชิ้นของเครื่องเงินไม่ค่อยมากเหมือนเครื่องดนตรี เลยจำเป็นต้องขายในปริมาณมากเพื่อให้ได้เงินมากพอที่จะดูแลตัวเองและครอบครัวให้ได้ หลังจากที่ขาบยเครื่องเงินได้สาักพัก ผมก็ลงทุนในเครื่องหนังมือสองต่อ จำพวกรองเท้าหนัง เสื้อหนัง แต่รายได้ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร แต่ยังพออยู่ได้ ยังไม่ขัดสนเท่าไรนัก และในช่วงเวลานี้ ผมได้กลับมาติดต่ิกับเพื่อนเก่าผมคนหนึ่ง ซึ่งเคยเล่นพระด้วยกันสมัย ปวช.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่