🛑 อาชญากรรมทางเพศที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
🛑 เรียงคิว 30 คน ฆาตกรสารภาพเผยนาทีฆ่าโหด "จับสาวให้ม้าเหล็กขยี้"
🛑 อาชญากรรมสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ.2520
คดีคืนบาปที่พรหมพิราม
อาชญากรรมทางเพศที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
พาดหัวข่าวหน้า1นสพ.ไทยรัฐ .29ส.ค.2520
เรียงคิว 30 คน ฆาตกรสารภาพเผยนาทีฆ่าโหด "จับสาวให้ม้าเหล็กขยี้"
เผยสาวหัวขาดคดีข่มขืนโหด ผัวยืนยัน30คนเถื่อนโทรมเมียตาย
รองนายกระบุข่มขืนสาวให้รถไฟทับโหดร้ายทารุณ"ไม่พ้นม.21แน่"
สั่งย้ายที่คุมขัง 8 มนุษย์บ้ากามพบแผนแหกโรงพักหนีคดีข่มขืนโหด ..
อาชญากรรมสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ.2520…
คดีนี้เกิดขึ้นในอำเภอพรหมพิราม จว.พิษณุโลก เมื่อ 40 กว่าปีก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายได้
แม้ขณะนั้นการตรวจพิสูจน์ ทางนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่มี และการตรวจในเรื่องอื่น ๆ ก็ยังไม่ก้าวหน้าเหมือนในปัจจุบัน
แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็อาศัยพยานแวดล้อม รวมทั้งการสืบสวน การเค้นขยายผล จนผู้ต้องหารับสารภาพ
และทราบตัวผู้ร่วมกระทำผิดอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็เป็นคนในพื้นที่นั่นเอง และเชื่อว่าปัจจุบันบางคนก็ยังคงมีชีวิตอยู่
บางคนอาจจะเคยได้ดูหนัง “คืนบาปพรหมพิราม” แล้ว แต่เชื่อว่า แทบไม่มีใคร เคยอ่านข่าวของจริง
หรือ คนที่เคยอ่านอาจจะลืมเลือนไปแล้ว ซึ่งนับเป็นอีกข่าวที่สร้างความสะเทือนใจให้แก่ผู้ที่ได้อ่านและรับรู้
วันนี้จะขอย้อนรอยคดีคาวที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง...
จุดเริ่มต้นคดีสุดอื้อฉาว ตราบาปที่ทุกคนอยากลืม แต่กลับไม่เคยลืม
ย้อนกลับไปในวันที่ 18 สิงหาคม 2520 นางสำเนียง ชาวบางกระทุ่มอายุราว 20 ปี ผิวดำแดง สูง 155 ซม.
หน้ากลม ผมสั้น ได้อยู่กินกับสามีและมีลูกด้วยกันหนึ่งคน ทว่าความรักที่สดใสนั้นกลับถูกกีดกันด้วยแม่ผัวไม่ชอบเธอ
เพราะเธอมาจากครอบครัวที่ยากจนกว่าและเกรงว่าเธอจะมาเกาะลูกชายกิน แม่ผัวรับไม่ได้กับจุดกำเนิดของเธอ
จึงฝังใจเกลียดชังเสมอมา
จนกระทั่งที่แม่ผัววางแผนแยกทั้งคู่ออกจากกันโดยจึงไล่ให้ลูกชายไปทํางานที่จังหวัดอุตรดิตถ์
เพื่อหวังแยกทั้งคู่ออกจากกันและหวังให้เธอถอดใจและหนีออกไปเอง แม่ผัวพยายามผลักไสไล่ส่งเธอตลอดเวลา
แต่ด้วยความรักต่อสามีและลูกเธอจึงอดทนรอ จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของเธอติดต่อและส่งที่อยู่ที่ จ อุตรดิตถ์ มาให้
เธอจึงตัดสินใจที่จะไปตามหาสามีที่อุตรดิตถ์ แม่ผัวจึงออกอุบาย แสร้งทําเป็นหวังดีแต่ประสงค์ร้าย
ฝากเธอไปกับคนขับรถบรรทุก แล้วบอกคนขับที่เคยแอบชอบเธออยู่ว่า แกจะเอามันไปทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้นะ
แล้วแกจะปลํ้ามันก็ได้นะคิดซะว่าเป็นค่ารถ อย่าให้มันกลับมาเลยได้ยิ่งดี
วันที่ 26 ก.ค.20 คนขับรถบรรทุกเป็นคนแรกที่ข่มขืนเธอแล้วมันเอาเธอไปทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟ พิษณุโลก
โดยเธอไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว เธอเลยขึ้นรถไฟ ขบวนรถเร็วที่ 37 เชียงใหม่-กรุงเทพฯ ในเวลา 5 ทุ่ม
เมื่อถึงอำเภอพรหมพิราม เธอก็ถูกการ์ดรถไล่ลงเนื่องจากไม่มีตั๋ว แถมท่าทางคงกระเซอะกระเซิงด้วย
“พี่อย่าไล่หนูลงเลย ขอร้องเถอะ” หญิงสาวยกมือไหว้ พลางกับร้องขอ ใบหน้ามีน้ำตานอง
แต่สิ่งที่ได้รับคือ เธอถูกปฏิเสธ และถูกไล่ลงจากรถไฟ โดยมิได้ดูว่ามันจะอันตรายถึงแก่ชีวิตของเธอหรือไม่
ขณะที่เธอนั่งร้องไห้เพราะหิวและไม่รู้จะไปไหน ตาแหยม ชายวัยกลางคนที่เคยต้องโทษคดียาเสพติด
และเป็นคนชาวบ้านไม่ค่อยคบหาสมาคมด้วย ได้เข้าไปชักชวนเธอให้ไปค้างที่บ้านที่ท้ายหมู่บ้านก่อน
เธอไม่มีทางเลือกเพราะตอนนั้นฟ้าเริ่มมืดแล้ว และเธอก็ไม่รู้จักใครที่นี้อีกด้วย
เมื่อมาถึงบ้าน ตาแหยมได้ทิ้งให้เธอนอนเฝ้าบ้านอยู่คนเดียวแล้วขอตัวไปทําธุระที่หมู่บ้านอื่น
ต่อมาเวลาประมาณตี 1 ได้กลุ่มวัยรุ่นลูกชายของผู้ใหญ่บ้านมาสูบกัญชาที่บ้านของตาแหยม
ต่อมาเมื่อพวกมันเมาได้ที่ จึงได้เข้าไปข่มขืนเธอเป็นกลุ่มแรก
โดยนายสุเทพเริ่มต้นก่อน จากนั้นก็ชักชวนเพื่อนๆ มาร่วมวงด้วย
หลังจากนั้นข่าวลือเรื่อง ไก่หลง ก็แพร่สะพัดออกไปออกไป และบังเอิญวันนั้นมีงานเลี้ยงของผู้มีอิทธิพลของอำเภอด้วย
ทำให้พวกหมาป่าที่หื่นกระหายในกาม มุ่งหน้ามาบ้านตาแหยม เปิดปาร์ตี้ร่วมกันลงแขกนางสำเนียง
เวลายิ่งดึกเท่าไหร่ คนก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น คนที่เสร็จไปแล้วรอบหนึ่งก็วิ่งไปตามพรรคพวกที่ยังเมาอยู่ในงานเลี้ยงให้มาร่วมข่มขืนต่อ
พวกมันรุมข่มขืนเธอบนแคร่ ลากเธอไปบนเนินดิน หรือแม้กระทั้งบนหนองนํ้า หญิงสาวผู้น่าสงสารทำได้แค่หนีหัวซุกหัวซุน
แต่ก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้ เพราะไม่ว่าเธอจะหนีไปทางไหนก็เจอแต่บรรดาชายชั่ว
ที่เป็นเหมือนมนุษย์หมาป่าที่หื่นกระหายจ้องจะย่ำยีเธอ
ว่ากันว่าที่มานั้นมีทั้งตั้งใจข่มขืน ขณะที่บางคนก็ไม่ตั้งใจ เพียงแต่เสียงเชียร์มันมี ก็เลยต้องข่มขืนด้วย
เพราะอายกลัวเพื่อนจะล้อว่าไม่กล้า กว่าจะเสร็จทั้ง 30 คนก็กินเวลา 2 ชั่วโมงเศษ
เธอพยายามกระยิ้มกระสนไปที่สถานีรถไฟ เพื่อจะได้ไปให้ทันรถไฟเที่ยวขี้นแต่เธอไปไม่ถึง นางสำเนียงขาดใจตายซะก่อน
และแม้ว่าในเวลานี้ นางสำเนียงจะตายกลายศพไปแล้ว แต่ก็มีเจ้าพ่อคนหนึ่งแห่งพรหมพิรามกับพวกอีก 5-6 คน
มาร่วมข่มขืนเธอโดยที่ไม่รู้ตัวว่า ตอนนี้พวกมันกำลังข่มขืนศพ จนกระทั่งลองจับหัวใจของสาวเคราะห์ร้ายถึงรู้ว่าหยุดเต้นไปแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนั้น กลุ่มผู้กระทำผิดจึงตัดสินใจอำพรางคดีโดยลากศพของนางสำเนียงไปให้รถไฟทับ
ต่อมาในเช้าวันที่ 27 กรกฎาคม 2520 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุสยองขวัญ ผู้หญิงถูกรถไฟทับขาดหลายท่อน
ใน อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ในตอนแรกข่าวนี้ก็เป็นแค่ข่าวเล็ก ๆ ต่อท้ายของข่าวหน้าสุดท้าย ตำรวจก็แทงเรื่องเป็นอุบัติเหตุ
แล้วก็ปิดแฟ้มไป เพราะเรื่องอุบัติเหตุบนรางรถไฟนั้นเป็นเรื่องปรกติในช่วงเวลานั้น
แต่ต่อมามีการขุดคุ้ยจากนักข่าวท้องถิ่น โดยเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนในท้องถิ่น
ทำไมอยู่ดี ๆ มาถูกรถทับตายที่นี่ได้ ถามคนแถวนั้นก็ไม่มีใครรู้จัก ทำไมอยู่ ๆ หญิงสาวนิรนามคนนี้ถึงได้มาที่อำเภอนี้
แสดงว่าเธอต้องถูกฆ่าตายมาจากที่อื่นแล้วนำศพมาอำพรางคดีที่นี่ หรืออาจจะตกรถไฟแล้วถูกรถทับตาย
ซึ่งสมัยนั้นเกิดบ่อยเพราะพวกชอบปีนหลังคารถไฟนั่งฟรี แต่ในความจริงแล้วน่าจะเรียกว่าถูกรถไฟทับมากกว่า
เพราะ สภาพศพของนางสำเนียงดูน่าสงสัย และดูจงใจให้เหมือนว่าเป็นอุบัติเหตุมากเกินไป
นักข่าวได้ตรวจเช็คที่การรถไฟ ก็พบกับคำตอบที่น่าแปลกใจว่า ไม่มีเกิดอุบัติเหตุคนตกรถไฟบริเวณนั้น
แล้วเมื่อข่าวนี้ถูกนำมาขยายต่อในหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ทำให้ทางตำรวจรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาใหม่
ก็ได้มีการรวมตำรวจใหญ่ของจังหวัดมา ประกอบไปด้วย ผู้กำกับการจังหวัดพิษณุโลก,
เจ้าหน้าที่ตำรวจยศสูงอีก 2 นาย และ พนักงานสอบสวนสภ.อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก
ทั้งหมดลงมือสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตนเอง และมีหลักฐานชิ้นหนึ่งที่ทำให้ตำรวจไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ
นั่นคือ เหล่าทรชนที่หื่นกระหาย ได้ทำพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อสะกดวิญญาณของศพนางสำเนียง
และในตอนแรกของการสืบคดี ชาวบ้านและกลุ่มคนร้ายไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งหมู่บ้านช่วยกันปิดบัง พยายามเบี่ยงเบนคดี
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงใช้เวลาในการสืบคดีไม่นานนัก จากคดีที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมืด 8 ด้านในที่สุดความจริงที่ไม่น่าหดหู่นี้
จึงได้ปรากฏออกมา เพราะความจริงมีเพียง 1 เดียวเท่านั้น !! เจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถไขคดี
และจับกุม ผู้ต้องหาถึง 30 คนหรือมากกว่านั้น เรียกได้ว่าแทบจะหมดหมู่บ้านเลยก็ว่าได้
ญาติของผู้ต้องหาแห่กันมาโรงพักมากกว่างานวัดประจําปีเสียอีก และที่น่าอนาถใจก็คือ
แม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐคือผู้ใหญ่บ้านแทนที่จะช่วยเหลือเธอ เขากลับทําทารุณกลับเธอซะอีก
ตามคําให้การ บอกว่า ขณะที่พวกมันกระทํากับเธอ ๆ ไม่มีแรงแม้แต่แรงที่จะต่อสู้ ร่างของเธอสั่นเทาไปด้วยความเจ็บปวด
จะมีก็ มีแต่เสียง แผ่วเบา พูดซํ้าไปซํ้ามาว่า “ อย่าทําชั้นเลย ชั้นกลัวแล้ว ปล่อย ชั้นไปเถอะ ”
และที่น่าสมเพชไปมากไปกว่านั้น พวกมันข่มขืนเธอจนสลบ พวกมันคิดว่าเธอตายแล้ว
มันจะเอาเธอไปเผาทําลายหลักฐาน โดยว่าจ้างสัปเหร่อให้เผาภายในคืนนั้นในขณะที่สัปเหร่อกําลังทําความสะอาดร่างของเธอ
เธอกลับฟื้นขึ้นมา พวกมันจึงได้พากันข่มขืนเธอต่อบนที่เผาศพ
ต่อมาในส่วนของผู้ต้องหานั้นที่สั่งฟ้องได้จริง ๆ เข้าใจว่าจะมีอยู่แค่ 8-9 คน แต่ละคนติดคุกกันไม่ถึง 10 ปี
ก็ถูกปล่อยตัวออกมาเป็นอิสระ และหลายคนที่ร่วมก่อเหตุนั้น ในปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่
ในช่วงเดือนสิงหาคมจนถึงกันยายนในปีพ.ศ.2520 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้นำเสนอข่าวการสอบสวนผู้ต้องหา
มาลงรายละเอียดในหน้า 1 ของทุกวัน ผู้ต้องหารายสุดท้าย สารภาพว่า ข่มขืนผู้หญิงนี้ไปรอบหนึ่งแล้ว
และผู้หญิงเดินไปล้างเลือดที่ข้างบ่อน้ำ จำเลยได้ตามไปจะข่มขืนซ้ำอีก แต่ผู้หญิงบอกว่า ไม่พออีกหรือ
และพยายามขัดขืน จึงจับผู้หญิงมานั่งพิงแบบกึ่งนั่งกึ่งนอนที่โคนต้นไม้และลงมือข่มขืน พร้อมกับบีบคอไปด้วย จนเสียชีวิตในที่สุด
ต่อมาก็มีการสืบหาจบพบ การ์ดของรถไฟคนที่ไล่นางสำเนียง หญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้น่าสงสารคนนี้ลงจากรถไฟ
โดยการ์ดนั้นสารภาพว่า นางสำเนียงไม่ซื้อตั๋วรถ เธออ้างว่าไม่มีเงิน เพราะกำลังจะไปตามสามี ขอนั่งไปลงพิจิตร
แต่การ์ดไม่อนุญาต เพราะว่าผิดระเบียบ จึงไล่ให้ลงที่สถานีพรหมพิราม ซึ่งเป็นสถานีเล็กๆ
ประเด็นนี้มีการพูดถึงอย่างกว้างขวางมากว่าทำไมรถไฟต้องโหดร้ายขนาดนั้น อย่างน้อยก็น่าจะรอให้ถึงสถานีระดับจังหวัด
ที่มีคนหรือเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ก่อนแล้วให้ลงก็ได้ มีพวกองค์กรสตรีกับนักการเมืองออกมาพูดกันหลายคน แล้วสุดท้ายเรื่องก็เงียบไป
เรื่องจริงของคดีนี้ สันติ เศวตวิมล ใช้นามปากกา “นที สีทันดร” เอามาเขียนและเรียบเรียงเป็นนวนิยายในเรื่อง “พรหมพิลาป”
พิมพ์ออกมาขายเมื่อปี 2540 และมานพ อุดมเดช เอามาทำเป็นหนัง ถูกสร้างเป็นหนัง ชื่อเรื่อง “คนบาปพรหมพิราม”
แต่ถูกชาวบ้าน อ.พรมพิราม รวมตัวกันคัดค้าน จึงเปลี่ยนเป็นเรื่อง “คืนบาป พรมพิราม”
สรุปคดีนี้ เป็นคดีโทรมหญิงที่มีผู้ต้องหามากที่สุดในประวัติอาชาญากรรมของไทย เพราะผู้ต้องหามีทุกเพศทุกวัย
ตั้งแต่เด็กอายุ 9 ขวบ ชายหนุ่มวัยกลางคน วัยชราและบางคนเป็นพ่อลูกกัน
อาชญากรรมสะเทือนขวัญที่ไม่เพียงสร้างความอัปยศให้กับพี่น้องชาวพรหมพิราม จ.พิษณุโลก
จากการที่อมนุษย์จำนวน 30 ชีวิตก่อกรรมอันเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์รุมข่มขืนกระทำชำเราหญิงสาวต่างถิ่นด้วยความไร้จิตสำนึก
ปราศจากมนุษยธรรม เป็นการกระทำที่มนุษย์ไม่พึงกระทำต่อกัน สะท้อนถึงศีลธรรมที่ไม่มีอยู่ในใจของคนกลุ่มหนึ่งที่เกิดมาในเมืองไทย
ที่ได้ชื่อว่าเมืองพุทธ นี่คืออุทาหรณ์ครั้งสำคัญที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยไม่ว่าจะเป็นยุคไหนสมัยใด
ถ้าการ์ดรถไฟไม่ไล่หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายลงจากรถไฟเพราะไม่มีเงินจะตีตั๋ว เหตุการณ์เลวร้ายจะไม่เกิดขึ้น
ถ้าความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของคน คดีอัปยศจะไม่เกิดขึ้นถ้ากลุ่มคนทั้ง 30 ชีวิตมีความเป็นคน
คดีนี้เรียกได้ว่าเป็น อาชญากรรมทางเพศที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย…
เมื่อเธอถูกชายทั้งหมู่บ้าน..รุม บาปพรหมพิราม l บันทึกลึกลับ
🛑 เรียงคิว 30 คน ฆาตกรสารภาพเผยนาทีฆ่าโหด "จับสาวให้ม้าเหล็กขยี้"
🛑 อาชญากรรมสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ.2520
คดีคืนบาปที่พรหมพิราม
อาชญากรรมทางเพศที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
พาดหัวข่าวหน้า1นสพ.ไทยรัฐ .29ส.ค.2520
เรียงคิว 30 คน ฆาตกรสารภาพเผยนาทีฆ่าโหด "จับสาวให้ม้าเหล็กขยี้"
เผยสาวหัวขาดคดีข่มขืนโหด ผัวยืนยัน30คนเถื่อนโทรมเมียตาย
รองนายกระบุข่มขืนสาวให้รถไฟทับโหดร้ายทารุณ"ไม่พ้นม.21แน่"
สั่งย้ายที่คุมขัง 8 มนุษย์บ้ากามพบแผนแหกโรงพักหนีคดีข่มขืนโหด ..
อาชญากรรมสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ.2520…
คดีนี้เกิดขึ้นในอำเภอพรหมพิราม จว.พิษณุโลก เมื่อ 40 กว่าปีก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายได้
แม้ขณะนั้นการตรวจพิสูจน์ ทางนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่มี และการตรวจในเรื่องอื่น ๆ ก็ยังไม่ก้าวหน้าเหมือนในปัจจุบัน
แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็อาศัยพยานแวดล้อม รวมทั้งการสืบสวน การเค้นขยายผล จนผู้ต้องหารับสารภาพ
และทราบตัวผู้ร่วมกระทำผิดอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็เป็นคนในพื้นที่นั่นเอง และเชื่อว่าปัจจุบันบางคนก็ยังคงมีชีวิตอยู่
บางคนอาจจะเคยได้ดูหนัง “คืนบาปพรหมพิราม” แล้ว แต่เชื่อว่า แทบไม่มีใคร เคยอ่านข่าวของจริง
หรือ คนที่เคยอ่านอาจจะลืมเลือนไปแล้ว ซึ่งนับเป็นอีกข่าวที่สร้างความสะเทือนใจให้แก่ผู้ที่ได้อ่านและรับรู้
วันนี้จะขอย้อนรอยคดีคาวที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง...
จุดเริ่มต้นคดีสุดอื้อฉาว ตราบาปที่ทุกคนอยากลืม แต่กลับไม่เคยลืม
ย้อนกลับไปในวันที่ 18 สิงหาคม 2520 นางสำเนียง ชาวบางกระทุ่มอายุราว 20 ปี ผิวดำแดง สูง 155 ซม.
หน้ากลม ผมสั้น ได้อยู่กินกับสามีและมีลูกด้วยกันหนึ่งคน ทว่าความรักที่สดใสนั้นกลับถูกกีดกันด้วยแม่ผัวไม่ชอบเธอ
เพราะเธอมาจากครอบครัวที่ยากจนกว่าและเกรงว่าเธอจะมาเกาะลูกชายกิน แม่ผัวรับไม่ได้กับจุดกำเนิดของเธอ
จึงฝังใจเกลียดชังเสมอมา
จนกระทั่งที่แม่ผัววางแผนแยกทั้งคู่ออกจากกันโดยจึงไล่ให้ลูกชายไปทํางานที่จังหวัดอุตรดิตถ์
เพื่อหวังแยกทั้งคู่ออกจากกันและหวังให้เธอถอดใจและหนีออกไปเอง แม่ผัวพยายามผลักไสไล่ส่งเธอตลอดเวลา
แต่ด้วยความรักต่อสามีและลูกเธอจึงอดทนรอ จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของเธอติดต่อและส่งที่อยู่ที่ จ อุตรดิตถ์ มาให้
เธอจึงตัดสินใจที่จะไปตามหาสามีที่อุตรดิตถ์ แม่ผัวจึงออกอุบาย แสร้งทําเป็นหวังดีแต่ประสงค์ร้าย
ฝากเธอไปกับคนขับรถบรรทุก แล้วบอกคนขับที่เคยแอบชอบเธออยู่ว่า แกจะเอามันไปทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้นะ
แล้วแกจะปลํ้ามันก็ได้นะคิดซะว่าเป็นค่ารถ อย่าให้มันกลับมาเลยได้ยิ่งดี
วันที่ 26 ก.ค.20 คนขับรถบรรทุกเป็นคนแรกที่ข่มขืนเธอแล้วมันเอาเธอไปทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟ พิษณุโลก
โดยเธอไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว เธอเลยขึ้นรถไฟ ขบวนรถเร็วที่ 37 เชียงใหม่-กรุงเทพฯ ในเวลา 5 ทุ่ม
เมื่อถึงอำเภอพรหมพิราม เธอก็ถูกการ์ดรถไล่ลงเนื่องจากไม่มีตั๋ว แถมท่าทางคงกระเซอะกระเซิงด้วย
“พี่อย่าไล่หนูลงเลย ขอร้องเถอะ” หญิงสาวยกมือไหว้ พลางกับร้องขอ ใบหน้ามีน้ำตานอง
แต่สิ่งที่ได้รับคือ เธอถูกปฏิเสธ และถูกไล่ลงจากรถไฟ โดยมิได้ดูว่ามันจะอันตรายถึงแก่ชีวิตของเธอหรือไม่
ขณะที่เธอนั่งร้องไห้เพราะหิวและไม่รู้จะไปไหน ตาแหยม ชายวัยกลางคนที่เคยต้องโทษคดียาเสพติด
และเป็นคนชาวบ้านไม่ค่อยคบหาสมาคมด้วย ได้เข้าไปชักชวนเธอให้ไปค้างที่บ้านที่ท้ายหมู่บ้านก่อน
เธอไม่มีทางเลือกเพราะตอนนั้นฟ้าเริ่มมืดแล้ว และเธอก็ไม่รู้จักใครที่นี้อีกด้วย
เมื่อมาถึงบ้าน ตาแหยมได้ทิ้งให้เธอนอนเฝ้าบ้านอยู่คนเดียวแล้วขอตัวไปทําธุระที่หมู่บ้านอื่น
ต่อมาเวลาประมาณตี 1 ได้กลุ่มวัยรุ่นลูกชายของผู้ใหญ่บ้านมาสูบกัญชาที่บ้านของตาแหยม
ต่อมาเมื่อพวกมันเมาได้ที่ จึงได้เข้าไปข่มขืนเธอเป็นกลุ่มแรก
โดยนายสุเทพเริ่มต้นก่อน จากนั้นก็ชักชวนเพื่อนๆ มาร่วมวงด้วย
หลังจากนั้นข่าวลือเรื่อง ไก่หลง ก็แพร่สะพัดออกไปออกไป และบังเอิญวันนั้นมีงานเลี้ยงของผู้มีอิทธิพลของอำเภอด้วย
ทำให้พวกหมาป่าที่หื่นกระหายในกาม มุ่งหน้ามาบ้านตาแหยม เปิดปาร์ตี้ร่วมกันลงแขกนางสำเนียง
เวลายิ่งดึกเท่าไหร่ คนก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น คนที่เสร็จไปแล้วรอบหนึ่งก็วิ่งไปตามพรรคพวกที่ยังเมาอยู่ในงานเลี้ยงให้มาร่วมข่มขืนต่อ
พวกมันรุมข่มขืนเธอบนแคร่ ลากเธอไปบนเนินดิน หรือแม้กระทั้งบนหนองนํ้า หญิงสาวผู้น่าสงสารทำได้แค่หนีหัวซุกหัวซุน
แต่ก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้ เพราะไม่ว่าเธอจะหนีไปทางไหนก็เจอแต่บรรดาชายชั่ว
ที่เป็นเหมือนมนุษย์หมาป่าที่หื่นกระหายจ้องจะย่ำยีเธอ
ว่ากันว่าที่มานั้นมีทั้งตั้งใจข่มขืน ขณะที่บางคนก็ไม่ตั้งใจ เพียงแต่เสียงเชียร์มันมี ก็เลยต้องข่มขืนด้วย
เพราะอายกลัวเพื่อนจะล้อว่าไม่กล้า กว่าจะเสร็จทั้ง 30 คนก็กินเวลา 2 ชั่วโมงเศษ
เธอพยายามกระยิ้มกระสนไปที่สถานีรถไฟ เพื่อจะได้ไปให้ทันรถไฟเที่ยวขี้นแต่เธอไปไม่ถึง นางสำเนียงขาดใจตายซะก่อน
และแม้ว่าในเวลานี้ นางสำเนียงจะตายกลายศพไปแล้ว แต่ก็มีเจ้าพ่อคนหนึ่งแห่งพรหมพิรามกับพวกอีก 5-6 คน
มาร่วมข่มขืนเธอโดยที่ไม่รู้ตัวว่า ตอนนี้พวกมันกำลังข่มขืนศพ จนกระทั่งลองจับหัวใจของสาวเคราะห์ร้ายถึงรู้ว่าหยุดเต้นไปแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนั้น กลุ่มผู้กระทำผิดจึงตัดสินใจอำพรางคดีโดยลากศพของนางสำเนียงไปให้รถไฟทับ
ต่อมาในเช้าวันที่ 27 กรกฎาคม 2520 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุสยองขวัญ ผู้หญิงถูกรถไฟทับขาดหลายท่อน
ใน อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ในตอนแรกข่าวนี้ก็เป็นแค่ข่าวเล็ก ๆ ต่อท้ายของข่าวหน้าสุดท้าย ตำรวจก็แทงเรื่องเป็นอุบัติเหตุ
แล้วก็ปิดแฟ้มไป เพราะเรื่องอุบัติเหตุบนรางรถไฟนั้นเป็นเรื่องปรกติในช่วงเวลานั้น
แต่ต่อมามีการขุดคุ้ยจากนักข่าวท้องถิ่น โดยเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนในท้องถิ่น
ทำไมอยู่ดี ๆ มาถูกรถทับตายที่นี่ได้ ถามคนแถวนั้นก็ไม่มีใครรู้จัก ทำไมอยู่ ๆ หญิงสาวนิรนามคนนี้ถึงได้มาที่อำเภอนี้
แสดงว่าเธอต้องถูกฆ่าตายมาจากที่อื่นแล้วนำศพมาอำพรางคดีที่นี่ หรืออาจจะตกรถไฟแล้วถูกรถทับตาย
ซึ่งสมัยนั้นเกิดบ่อยเพราะพวกชอบปีนหลังคารถไฟนั่งฟรี แต่ในความจริงแล้วน่าจะเรียกว่าถูกรถไฟทับมากกว่า
เพราะ สภาพศพของนางสำเนียงดูน่าสงสัย และดูจงใจให้เหมือนว่าเป็นอุบัติเหตุมากเกินไป
นักข่าวได้ตรวจเช็คที่การรถไฟ ก็พบกับคำตอบที่น่าแปลกใจว่า ไม่มีเกิดอุบัติเหตุคนตกรถไฟบริเวณนั้น
แล้วเมื่อข่าวนี้ถูกนำมาขยายต่อในหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ทำให้ทางตำรวจรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาใหม่
ก็ได้มีการรวมตำรวจใหญ่ของจังหวัดมา ประกอบไปด้วย ผู้กำกับการจังหวัดพิษณุโลก,
เจ้าหน้าที่ตำรวจยศสูงอีก 2 นาย และ พนักงานสอบสวนสภ.อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก
ทั้งหมดลงมือสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตนเอง และมีหลักฐานชิ้นหนึ่งที่ทำให้ตำรวจไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ
นั่นคือ เหล่าทรชนที่หื่นกระหาย ได้ทำพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อสะกดวิญญาณของศพนางสำเนียง
และในตอนแรกของการสืบคดี ชาวบ้านและกลุ่มคนร้ายไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งหมู่บ้านช่วยกันปิดบัง พยายามเบี่ยงเบนคดี
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงใช้เวลาในการสืบคดีไม่นานนัก จากคดีที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมืด 8 ด้านในที่สุดความจริงที่ไม่น่าหดหู่นี้
จึงได้ปรากฏออกมา เพราะความจริงมีเพียง 1 เดียวเท่านั้น !! เจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถไขคดี
และจับกุม ผู้ต้องหาถึง 30 คนหรือมากกว่านั้น เรียกได้ว่าแทบจะหมดหมู่บ้านเลยก็ว่าได้
ญาติของผู้ต้องหาแห่กันมาโรงพักมากกว่างานวัดประจําปีเสียอีก และที่น่าอนาถใจก็คือ
แม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐคือผู้ใหญ่บ้านแทนที่จะช่วยเหลือเธอ เขากลับทําทารุณกลับเธอซะอีก
ตามคําให้การ บอกว่า ขณะที่พวกมันกระทํากับเธอ ๆ ไม่มีแรงแม้แต่แรงที่จะต่อสู้ ร่างของเธอสั่นเทาไปด้วยความเจ็บปวด
จะมีก็ มีแต่เสียง แผ่วเบา พูดซํ้าไปซํ้ามาว่า “ อย่าทําชั้นเลย ชั้นกลัวแล้ว ปล่อย ชั้นไปเถอะ ”
และที่น่าสมเพชไปมากไปกว่านั้น พวกมันข่มขืนเธอจนสลบ พวกมันคิดว่าเธอตายแล้ว
มันจะเอาเธอไปเผาทําลายหลักฐาน โดยว่าจ้างสัปเหร่อให้เผาภายในคืนนั้นในขณะที่สัปเหร่อกําลังทําความสะอาดร่างของเธอ
เธอกลับฟื้นขึ้นมา พวกมันจึงได้พากันข่มขืนเธอต่อบนที่เผาศพ
ต่อมาในส่วนของผู้ต้องหานั้นที่สั่งฟ้องได้จริง ๆ เข้าใจว่าจะมีอยู่แค่ 8-9 คน แต่ละคนติดคุกกันไม่ถึง 10 ปี
ก็ถูกปล่อยตัวออกมาเป็นอิสระ และหลายคนที่ร่วมก่อเหตุนั้น ในปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่
ในช่วงเดือนสิงหาคมจนถึงกันยายนในปีพ.ศ.2520 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้นำเสนอข่าวการสอบสวนผู้ต้องหา
มาลงรายละเอียดในหน้า 1 ของทุกวัน ผู้ต้องหารายสุดท้าย สารภาพว่า ข่มขืนผู้หญิงนี้ไปรอบหนึ่งแล้ว
และผู้หญิงเดินไปล้างเลือดที่ข้างบ่อน้ำ จำเลยได้ตามไปจะข่มขืนซ้ำอีก แต่ผู้หญิงบอกว่า ไม่พออีกหรือ
และพยายามขัดขืน จึงจับผู้หญิงมานั่งพิงแบบกึ่งนั่งกึ่งนอนที่โคนต้นไม้และลงมือข่มขืน พร้อมกับบีบคอไปด้วย จนเสียชีวิตในที่สุด
ต่อมาก็มีการสืบหาจบพบ การ์ดของรถไฟคนที่ไล่นางสำเนียง หญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้น่าสงสารคนนี้ลงจากรถไฟ
โดยการ์ดนั้นสารภาพว่า นางสำเนียงไม่ซื้อตั๋วรถ เธออ้างว่าไม่มีเงิน เพราะกำลังจะไปตามสามี ขอนั่งไปลงพิจิตร
แต่การ์ดไม่อนุญาต เพราะว่าผิดระเบียบ จึงไล่ให้ลงที่สถานีพรหมพิราม ซึ่งเป็นสถานีเล็กๆ
ประเด็นนี้มีการพูดถึงอย่างกว้างขวางมากว่าทำไมรถไฟต้องโหดร้ายขนาดนั้น อย่างน้อยก็น่าจะรอให้ถึงสถานีระดับจังหวัด
ที่มีคนหรือเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ก่อนแล้วให้ลงก็ได้ มีพวกองค์กรสตรีกับนักการเมืองออกมาพูดกันหลายคน แล้วสุดท้ายเรื่องก็เงียบไป
เรื่องจริงของคดีนี้ สันติ เศวตวิมล ใช้นามปากกา “นที สีทันดร” เอามาเขียนและเรียบเรียงเป็นนวนิยายในเรื่อง “พรหมพิลาป”
พิมพ์ออกมาขายเมื่อปี 2540 และมานพ อุดมเดช เอามาทำเป็นหนัง ถูกสร้างเป็นหนัง ชื่อเรื่อง “คนบาปพรหมพิราม”
แต่ถูกชาวบ้าน อ.พรมพิราม รวมตัวกันคัดค้าน จึงเปลี่ยนเป็นเรื่อง “คืนบาป พรมพิราม”
สรุปคดีนี้ เป็นคดีโทรมหญิงที่มีผู้ต้องหามากที่สุดในประวัติอาชาญากรรมของไทย เพราะผู้ต้องหามีทุกเพศทุกวัย
ตั้งแต่เด็กอายุ 9 ขวบ ชายหนุ่มวัยกลางคน วัยชราและบางคนเป็นพ่อลูกกัน
อาชญากรรมสะเทือนขวัญที่ไม่เพียงสร้างความอัปยศให้กับพี่น้องชาวพรหมพิราม จ.พิษณุโลก
จากการที่อมนุษย์จำนวน 30 ชีวิตก่อกรรมอันเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์รุมข่มขืนกระทำชำเราหญิงสาวต่างถิ่นด้วยความไร้จิตสำนึก
ปราศจากมนุษยธรรม เป็นการกระทำที่มนุษย์ไม่พึงกระทำต่อกัน สะท้อนถึงศีลธรรมที่ไม่มีอยู่ในใจของคนกลุ่มหนึ่งที่เกิดมาในเมืองไทย
ที่ได้ชื่อว่าเมืองพุทธ นี่คืออุทาหรณ์ครั้งสำคัญที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยไม่ว่าจะเป็นยุคไหนสมัยใด
ถ้าการ์ดรถไฟไม่ไล่หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายลงจากรถไฟเพราะไม่มีเงินจะตีตั๋ว เหตุการณ์เลวร้ายจะไม่เกิดขึ้น
ถ้าความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของคน คดีอัปยศจะไม่เกิดขึ้นถ้ากลุ่มคนทั้ง 30 ชีวิตมีความเป็นคน
คดีนี้เรียกได้ว่าเป็น อาชญากรรมทางเพศที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย…