สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
อัพเดทสถานการณ์
*อัพเดทเพ่ิมเติมในความเห็นย่อย
ขอบคุณทุกท่านนะครับ ผมได้อ่านทุกความเห็นตั้งแต่แรกเลยแต่ยังวุ่นวายมาก ไม่มีโอกาสมาพิมพ์ตอบ จริงๆอยากฟังความเห็นเด็กๆวัยรุ่นด้วย แต่ดูเหมือนว่าส่วนมากที่มาจะเป็นผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม ถือว่ามีประโยชน์ทุกท่านครับ
เช้าวานนี้(อาทิตย์) เช้ามืดเลย ลูกสาวโทรมาบอกว่า เพื่อนเค้าออกมาจากบ้านละครับ เพราะทะเลาะกับคุณพ่อเค้าตอนเช้ามืด เลยหนีออกมาเสียแล้ว ผมเลยคิดว่าต้อง action อะไรก่อนล่ะ โดยที่ยังไม่ตัดสินอะไรไปมากกว่านั้น สิ่งที่ทำก็คือ ให้ลูกสาวโทร group call คุยกับเพื่อนเค้าให้ผมได้คุยด้วย ก็ได้คุยกับเค้าครับ ค่อนข้างสับสน เรียกได้ว่า"สิ้นสติ" ก็ได้ครับ งอแงร้องไห้ เดินอยู่นหมู่บ้านตอนยังไม่สว่าง เอาเป้ เอาโทรศัพท์ออกมา แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ปล่อยให้ออกมาด้วย คิดว่าทางนั้นคงมองว่าไปไหนไม่รอดแน่นอน เรื่องนี้ผมก็ไม่เข้าไปก้าวก่ายครับตอนนั้นทำได้แค่ บอกเค้าว่า ให้หยุดอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน นั่งสงบสติ แล้วค่อยๆคิด แล้วค่อยว่ากัน จากนั้นวางสายไป แล้วให้ลูกสาว ค่อยๆชวนเค้าคุยให้ใจเย็นๆ ถ้าทำได้ให้ปลอบเพื่อกลับไปบ้านก่อน อย่าคิดว่ามันคือการเสียฟอร์ม
จากนั้น ผมติดต่อไปที่ครูปจำชั้นครับ (ตอนนั้นยังเช้ามากถึงจะสว่างแล้วก็เถอะ) โชคดีที่การทำกจิกรรมในโรงเรียน ทำให้ได้รับเลือกเป็นประธานชมรมผู้ปกครองระดับชั้น (ที่ไม่เคยทำหน้าที่อะไรเลย) เลยพอจะมีหัวโขนเข้ามาครับ จากการคิดข้ามคืนของผม ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ โรงเรียนต้องรับรู้โดยเฉพาะครูที่ปรึกษาใกล้ชิด หารือกันกับครูแล้วหาทางออกช่วยกันประสานไปที่ผู้ปกครองน้องเค้า ซึ่งน่าจะดีกว่าที่จู่ๆผมก็ติดต่อไปหาพวกเค้าโดยตรงครับ และทำการ group call กับผู้ปกครองของน้องเค้าเช้าวันนั้นเลยครับ
ครูช่วยคุยให้ใจเย็นกันได้พอสมควร คุณครูเองก็พยายามให้มุมมองฝั่งเด็ก เรายังไม่ตัดสินเรื่องต่างๆของบ้านเค้าว่าอย่างไร แต่สิ่งที่ต้องแก้ไขตอนนั้นคือ เค้าเคีรยดสติแตก แล้วออกมาข้างนอกแบบนี้ มันไม่ปลอดภัยครับ ทางพ่อแม่เค้ายินดีที่จะออกไปรับเข้าบ้านอย่างใจเย็น ทางลูกสาวผมก็รับไม้ต่อให้เพื่อนเค้าอยู่เฉยๆ ตอนนั้น ไปอยู่ในเซเว่นหน้าหมู่บ้านละครับ ยังไม่ได้ไปไหน ก็น่าจะจบลงไป แต่ผมคิดว่า ไหนๆก็เข้ามามีส่วนในนี้แล้ว ก่อนจะแยกย้ายวางสายไป ผมเสนอไปว่า ....
เอาง้ครับ ผมจะพาลูกสาวไปหาเพื่อนเค้าด้วยที่ๆผู้ปกครองน้องจะไปรับ อย่างน้อย ให้เพื่อนเค้าไปคุยกันให้เย็นลงได้ ช่วยให้ลูกสาวเค้าไม่รู้สึกถูกไล่ต้อนให้เข้าบ้านด้วยครับ ไม่งั้น อนาคต เค้าจะไม่วิ่งหาคนแถวๆนี้อีกเลย จะไปหาที่พึ่งอื่นซึ่งน่าห่วงกว่านี้เยอะนะครับ (อันนี้ผมบอแกตรงๆว่า หลายๆความเห็นที่บอกว่า อย่ายุ่งเพราะเราจะเดือดร้อน ผมทำใจไม่ได้ครับ เพราะถ้าเราผลักเค้าออกไป เท่ากับเราเป็นผู้ใหญ่ที่มองเรื่องของเด็กไม่ใช่เรื่องสำคัญ ยิ่งคนที่บอกว่าโตแต่ตัวครับ บางครั้ง เพราะเรามีสมองและหัวใจ จึงต้องใช้สองอย่างและกล้าพอที่จะเผชิญปัญหา) ราว 8.00 ผมไปรับลูกสาวที่คอนโดแม่เค้า พาไปหาเพื่อนเค้า พร้อมแจ้งทางบ้านนั้นว่ากำลังไปหา
เมื่อไปถึงก็นัดเจอกัน คุยกันก่อน ทางนั้นคุณแม่ดูมจเย็นและอ่อนโยนมาก แต่คุณพ่อซึ่งดูมีอายุกว่าพ่อแม่วัยเดียวกัน ค่อนข้างแข็ง และมีท่าทางแสดงออกว่า"มายุ่งอะไร" นิดๆในตอนแรก ปกติผมทำงานกับการดีลคนเยอะๆ ล็อบบี้คนบ้าง เลยพอจะมีทักษะการโน้มน้าวพูดคุยอยู่ จึงนำมาใช้ครับ ผมให้ทางผู้ปกครองมานั่งคุยกับผม ให้เด็กๆเค้าไปคุยกันเองก่อน โดยที่เราจะรับพวกเค้าไปหาที่นั่งคุยกันสบายๆนะ ซึ่งที่ๆผมเลือกคือสวนสาธารณะแห่งหนึ่งแถวนั้น เช้าๆอากาศดีๆ กับ้นไม้เขียวๆ ลมโชยๆ ยังไงก็คุมสถานการณ์ได้ง่ายขึ้น และผมเสนอตัวว่า ให้ลูกสาวคุณ ไปกับผมและเพื่อนเค้าก่อน ไปเจอกันที่สวน ขับตามกันไป แรกๆฝ่ายพ่อเค้าก็ยังตึงๆ ยังรู้สึกว่าทำไมต้องเสียเวลา ลากกลับไปเลยก็สิ้นเรื่อง แต่ทางคุณแม่เค้าโอเคกับไอเดียนี้ครับ ค่อยๆคุยกันให้ทุกอย่างจบลงด้วยดีก่อน ลากกลับไปเดี๋ยวก็หนีออกมาอีก
ตามนั้นครับ ในรถก็สวัสดีเฮฮากันเพราะ ผมเคยคุยกับพวกเค้ามาบ้าง ไม่เคยเจอหน้ากันจังๆ เด็กทั้งสองคนก็เพิ่งเจอหน้ากันจังๆหนแรก อย่าลืมครับว่าเรียนออนไลน์มาหนึ่งปี (ใครที่บอกว่าไม่เคจเจอกันแล้วจะไม่มีทางรู้จักมักจี่กัน ต้องมองในมุมของโลกยุคโควิดฯครับ สำหรับเค้า นี่ก็คือเพื่อน ถึงจะไม่เคยเจอตัวกันแต่ก็เรียนและทำกิจกรรมผ่านออนไลน์มาตลอดทั้งปีนะครับ อย่ามองแค่เพวกเค้าแชทกัน) ที่แน่ๆคือ เค้าไม่ร้องไห้แล้ว ยิ้มได้ หัวเราะได้แล้ว ไปแวะซื้อขนมกับอาหารเช้าง่ายๆ เข้าไปในสวน ฝากลูกผมนั่งคุยเรื่อยเปื่อย ในขณะที่ผมขวนพ่อแม่เค้าไปนั่งกินกาแฟกันไม่ไกลนั้น แล้วชวนคุยทำความรู้จักกัน ส่วนตัวผมกับคุณแม่ของน้องเค้าเคยเจอกันผ่านออนไลน์ครับ นการประชุมกิจกรรม ประชุมผู้ปกครอง คุยกับครู บังเอิญผมเป็นพวกกิจกรรมเยอะ พูดเยอะ เลยมีพ่อๆแม่ๆ(ถีบ" ให้มาเป็นประธานนี่แหละ (ไม่เคยทำงานเลย คุณแม่รองประธานซึ่งอยากเป็นประธานแต่คนไม่เลือกรับไปทำหมด ผมก็เล่นกับเด็กๆไปสบายใจ ชวนเด็กเล่นเกมส์ ชวนพ่อแม่สนับสนุนกิจกรามเด็กๆ)
เท่าที่คุยก็คือ น้องเค้าเรียนตกลงจากเมื่อก่อนมาก เคยเป็นเด็กหัวแถวจากโรงเรียนเก่าแต่พอมาปีนี้ เรียนออนไลน์ งานค้างบ้าง งานตกหล่นบ้าง เริ่มมีเรื่องโทรคุยกับเพื่อนผู้ชาย ตามประสาวัยรุ่น แล้วคุณพ่อเค้าก็มักจะเล่าในมุมที่ไม่เห็นด้วย ไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น ต้องป้องกันและช่วยกันตีกรอบ ยึดโทรษัพท์ ตัด internet เป็นเวลา ติดกล้องวงจรปิดในมุมโต๊ะเรียน แล้วคุณพ่อกลับมาจากทำงานก็มานั่งเปิดดูกล้องระหว่างเรียน พอคะแนนตกลง ก็มีปัญหากัน ไปไล่ลบเพื่อนในไลน์ของลูกสาว พวกเพื่อนผู้ชายจากโรงเรียนเก่า ก็ลยและบล็อคทิ้งหมด เหลือแค่กลุ่มเพื่อนในห้องปัจจุบันที่เป็นผู้หญิงหมด (รวมถึงลูกสาวผม)
ผมก็เข้าใจในมุมคุณพ่อเค้านะครับ แต่ก็มีความไม่เห็นด้วยกับวิธีการ อ่างไรก็ตาม ก็จะไม่ตัดสินลงไป เพียงแต่บอกไปว่า การทำแบบนี้เค้าจะยิ่งหนีออกไปจากเราครับ คุณพ่อท่านนี้น่าจะไม่ค่อยเชื่อผมเท่าไหร่ เพราะ สภาพผมในตอนนี้คือ ไอ้หัวแดงแปร๊ด (ทำสีเล่นกับลูกสาว) ดูจัดกับเนื้อหาที่คุยมาก แต่คุณแม่เค้า เอ่ยปากออกมาว่า ฟังเค้าหน่อย ดูลูกสาวเค้าสิ ร่าเริงกว่าลูกเราเยอะนะ
ทางนั้นถึงค่อยๆจูนกันครับ ผมเองก็ขอบคุณเค้าที่เป็นสังคมให้ลูกสาวผมเหมือนกัน เด็กๆเจอกับสถานการณ์แบบนี้(โควิด) พวกเค้าก็เครีรยดมาก ไม่มีเพื่อนใหม่ ผมจึงสร้างกิจกรรมเกมส์ออนไลน์ แข่งเกมส์ เพื่อให้พวกเค้าได้สนิทกันโดยไม่ต้องรอโควิดฯหายไป พวกเค้าต้องมีสังคม และเพื่อนในห้องก็เป็นสังคมที่ดี อย่างน้อยเราก็เลือกโรงเรียนที่นี่เหมือนกันแล้ว
สรุปลงท้ายคือ ทุกคนมารวมกันครับ แต่ระหว่างที่เดินมารวมกัน ลูกสาวผมก็มีการส่งไลน์มาบอกส่วนตัวว่า เพื่อนยังไม่โอเคกับพ่อ ยังไม่อยากเข้าบ้าน ยังไงๆก็ไม่อยากเข้าบ้าน ถ้าเข้าไปจะโดนยึด โดนจัดการทุกอย่างอีกแน่ๆ และคุณพ่อทางนั้นเองก็ดูท่าทางคงจะยังไม่เปลี่ยนหรือปรับสิธีเพื่อลดความตึงเครียดลงในเร็วๆนี้ เวลาก็ล่วงเลยมาสายแล้วด้วย ร้อนแล้ว ผมเลยรวบรัดหัวหางเอาเลยว่า
"ไปกินข้าวบ้านผมกัน" ทางนั้นเค้าก็งงๆครับ แต่ผมก็ยืนยันว่า ถ้าตอนนี้ เค้ายังไม่พร้อมจะเข้าบ้าน เราก็มีทางเลือกแค่ จะบังคับเค้าให้กลับบ้าน หรือจะรอให้เค้าใจเย็นแล้วหันมาคุยกัน ปรับปัญหาให้มีทางแก้ ทางคุณแม่เห็นด้วย แต่รอบนี้ ผมให้ลูกสาวผมไปนั่งรถบ้านเค้าแทนครับ ให้นางเป็นคนบอกทางกลับบ้าน (จริงๆก็ google นั่นแหละจนถึงแถวบ้าน ถึงจะรู้ทาง ไม่ได้เป็นประโยชน์ขนาดนั้นครับ อ่าๆๆ) ส่วนผมบึ่งกลับบ้านมาก่อน มันก็ต้องผักชีกันหน่อยครับ เก็บกวาดรับแขก อีกอย่าง เป็นการยัดเยียดให้บ้านเค้าได้รู้จักกับลูกเรา (เพื่อนของลูกตัวเอง) ไปด้วย ซึ่งไม่นานก็มาบ้านครับ ก็มานั่งกินข้าวกัน บรรยากาศตึงๆหน่อย เพราะพ่อเค้ายังไม่พูดกับลูกตัวเองเลย แล้วมีประโยคเช่น "ดีนะที่ xxx (พี่ชาย) เค้าดูแลตัวเองได้ ไม่ทำตัวเป็นปัญหาแบบนี้" จนผต้องนั่งเผาลูกสาวตัวเองเอาฮาลบความร้อนเป็นระยะๆ แต่คุณแม่เค้าดูจะเย็นลงมากแล้ว และแสดงท่าทีออกมาว่า เอาไงเอากัน ไม่อยากบังคับกันอีก ทีนี้ ปัญหามันอยู่ที่ พรุ่งนี้ สองสาวเริ่มสอบครับ เวลาผ่านไป เสียไปครึ่งวันเปล่าๆผมเองก็ไม่โอเค ผมเลยบอกว่า
ระหว่างนี้ไปนั่งอ่านหนังสือสอบกันข้างบน แล้วเชิญพ่อแม่ขึ้นไปดูห้องทำงานที่ลูกผมเรียนหนังสือ และจะเป็นมุมให้เค้านั่งอ่านหนังสือกัน ส่วนผู้ใหญ่ ลงมานั่งคุยเล่นที่สวนก่อนสักพัก จบแล้วจะยังไงก็ว่ากัน ทางคุณแม่ชอบที่ลูกสาวผมก็ชวนลูกเค้าไปอ่านหนังสือ เอาโน้ตที่เรียนมาเปิดแบ่งกันให้ดู ช่วยกันนึกและทำสรุปเนื้อหาการสอบกันได้ ไม่งอแงไม่อู้ ส่วนคุณพ่อบ่นๆว่า มีธุระเยอะ เสียเวลามากเลย ต้องเอารถไปเช็ค ต้องทำนั่นนี่ วุ่นวายมาก คือก็ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกครับแต่ดูจากลักษณะคือ บ่นว่าภาระชีวิตเยอะจนไม่มีเวลามาทำอะไรหยุมหยิมแบบนี้ ลูกชายคนโต จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เกรดดี รับผิดชอบได้ แต่ลูกสาวยังไม่ได้เรื่อง แถมมีเรื่องน่าปวดหัวเข้ามาอีก จนต้องมาเสียเวลาทำธุระสำคัญ (ผมก็ยิ้มรับครับท่าน ในหัวคิดว่า ธุระอะไรในโลกนี้ก็ไม่สำคัญเท่าลูกหรอกครับ) แล้วใช้ไม้ตายเด็ด ที่ improvise มาเฉยๆเล จากการนั่งอ่านเม้นต่างๆวนนี้ด้วย หันไปบอกแม่เค้าว่า
"ฝากให้มาอยู่ได้นะครับ" แรกๆเค้าก็ไม่เอาๆ ออกลูกทำท่าเกรงใจ แต่ผมเสนอไปว่า ถ้าเคายังไม่โอเคจริงๆ อย่างน้อยๆ ช่วงสอบ ให้มาอ่านหนังสือ มานั่งสอบที่นี่ได้ สัปดาห์นี้ผมไม่มีคิวงานไปไหน(เพราะเคลียร์ไว้ นั่งช่วยดูแลเค้าช่วงสอบ) ผมอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง แล้วเปิดให้ดูว่า บ้านผมติดกล้องทุกมุมในบ้านยกเว้นห้องนอนลูกกับห้องน้ำ ถ้าจำเป็นจริงๆ เดี๋ยวผมให้รหัสเข้ามาดูกล้องได้ครับ อาหารการกินก็ไม่ต้องห่วง .... บ้านผมทำกินเอง ทุกคนต้องทำ เก็บล้างกันเอง ไม่ลำบากผมแน่นอน เพิ่มมาหนึ่งชีวิต แต่ก็มีแรงงานเพ่ิมด้วย ถือว่าเท่าเดิม จนคุณแม่เค้าเริ่มเห็นดีเห็นงาม เหลือแต่คุณพ่อเค้านี่แหละครับที่ยังตึงๆ แต่ผมงัดไม้ตายบอกไปว่า
"ตอนนี้กลับบ้านไป เค้าอาจจะต่อต้านคุณพ่อ และเครียดไม่มีสติจะอ่านหนังสือ เกรดจะแย่เอานะครับ" ทางนั้นถึงหยุดคิด แล้วจบลงที่ "อเค" ส่วนหนึ่งก็เพราะ บ้านผมกับที่ทำงานคุณแม่เค้าไม่ห่างกัน หลังเลิกงาน จะแวะมาดูแลมาช่วยได้ แล้วคุณพ่อก็สั่งการคุณแม่เค้าว่า เลิกงานแล้ว กี่โมงๆเธอต้องมาดูสภาพนะ ต้องมาช่วยคุณพ่อ(ตัวผม) เค้า อย่าให้อายมาถึงเราได้
ผมทำการรายงานครูประจำชั้น (ลืมไปเลยว่ามีอีกคนรออัพเดทสถานการณ์) จนเริ่มบ่ายแก่ๆแล้วเรียกเด็กๆลงมา บอกเล่าเรื่องราวว่าพ่อแม่เห็นกันอย่างไร ทั้งสองคนดีใจมาก แต่ผมกำชับไปว่า
"การมาในครั้งนี้ ไม่ใช่การหนีออกมาพัก เป็นการมาอ่านหนังสือและสอบ ไม่ใช่มาเที่ยวด้วย ดังนั้น ต้องรับผิดชอบตัวเองในทุกเรื่อง ที่สำคัญ ในอนาคต ต้องไม่มีเหตุการณ์แบบนี้อีก" ซึ่งผมซีเรียสในเลเวลที่ลูกสาวรู้ว่าเอาจริง (ถึงจะให้อิสระแต่ถ้าซีเรียสต้องนั่งคุยกันยาว จะค่อนข้างเข้มงวดครับ) พร้อมกำชับหนักเลยว่า "สิ่งที่เกิดในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ควรเกิด ถ้าเกิดปัญหาแบบนี้อีก นอกจากจะวุ่นวายกันกว่านี้ เราคงต้องแก้ปัญหากันด้วยกระบวนการอื่นๆแล้วนะ" ซึ่งผมอธิบายเลยว่า ถ้าเค้าไม่สามารถปรับตัวได้ ต่อไปต้องพึ่งพานักจิตวิทยาวัยรุ่นแล้ว (จริงๆผมเชียร์ห้รีบๆไปหาเลยครับ เพราะในกระบวนการนั้น พ่อแม่ต้องเข้าไปร่วมปรับด้วย) แต่ทำท่าทีขึงขังไปงั้นแหละ ให้เด็กๆรู้ว่า นี่เรื่องใหญ่
ทางบ้านเพือ่นลูกสาว รับตัวกลับบ้านไป เพราะต้องไปเก็บของเตรียมมาอยู่ที่นี่ 7 วัน (ผมแอบกังวลว่า กลับไปแล้วจะเกิดเรื่องแล้วไม่ได้กลับมา) พอค่ำๆหลังอาหารเย็นก็พามาส่ง ส่วนทางผมก็เก็บบ้านจัดห้องนอนให้เรียบร้อย ในขณะที่ลูกสาวนั่งอ่านหนังสือสอบครับ
จนถึงตอนนี้ ทั้งสองคนนั่งทำข้อสอบอยู่ ผมมีหน้าที่หาอาหาร ขนม มาให้พวกเค้า ช่วยเค้าติวในวิชาสำคัญๆ ช่วยกระตุ้นให้แอ็คทีฟ กินข้าวเสร็จแล้วกระตุ้นให้ไปหยิบโน้ตวิชาสอบช่วงบ่ายมาอ่าน เดี๋ยวเย็นๆจะพักผ่อนด้วยการไปวิ่งออกกำลังกัน ซึ่งเพื่อนลูกสาวผมไม่เคยวิ่งเลย วันนี้จะต้องวิ่งเป็นครั้งแรก กลางคืนอ่านหนังสือสอบ แล้วเคอร์ฟิว เข้านอนปิดไฟไม่เกิ
*อัพเดทเพ่ิมเติมในความเห็นย่อย
ขอบคุณทุกท่านนะครับ ผมได้อ่านทุกความเห็นตั้งแต่แรกเลยแต่ยังวุ่นวายมาก ไม่มีโอกาสมาพิมพ์ตอบ จริงๆอยากฟังความเห็นเด็กๆวัยรุ่นด้วย แต่ดูเหมือนว่าส่วนมากที่มาจะเป็นผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม ถือว่ามีประโยชน์ทุกท่านครับ
เช้าวานนี้(อาทิตย์) เช้ามืดเลย ลูกสาวโทรมาบอกว่า เพื่อนเค้าออกมาจากบ้านละครับ เพราะทะเลาะกับคุณพ่อเค้าตอนเช้ามืด เลยหนีออกมาเสียแล้ว ผมเลยคิดว่าต้อง action อะไรก่อนล่ะ โดยที่ยังไม่ตัดสินอะไรไปมากกว่านั้น สิ่งที่ทำก็คือ ให้ลูกสาวโทร group call คุยกับเพื่อนเค้าให้ผมได้คุยด้วย ก็ได้คุยกับเค้าครับ ค่อนข้างสับสน เรียกได้ว่า"สิ้นสติ" ก็ได้ครับ งอแงร้องไห้ เดินอยู่นหมู่บ้านตอนยังไม่สว่าง เอาเป้ เอาโทรศัพท์ออกมา แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ปล่อยให้ออกมาด้วย คิดว่าทางนั้นคงมองว่าไปไหนไม่รอดแน่นอน เรื่องนี้ผมก็ไม่เข้าไปก้าวก่ายครับตอนนั้นทำได้แค่ บอกเค้าว่า ให้หยุดอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน นั่งสงบสติ แล้วค่อยๆคิด แล้วค่อยว่ากัน จากนั้นวางสายไป แล้วให้ลูกสาว ค่อยๆชวนเค้าคุยให้ใจเย็นๆ ถ้าทำได้ให้ปลอบเพื่อกลับไปบ้านก่อน อย่าคิดว่ามันคือการเสียฟอร์ม
จากนั้น ผมติดต่อไปที่ครูปจำชั้นครับ (ตอนนั้นยังเช้ามากถึงจะสว่างแล้วก็เถอะ) โชคดีที่การทำกจิกรรมในโรงเรียน ทำให้ได้รับเลือกเป็นประธานชมรมผู้ปกครองระดับชั้น (ที่ไม่เคยทำหน้าที่อะไรเลย) เลยพอจะมีหัวโขนเข้ามาครับ จากการคิดข้ามคืนของผม ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ โรงเรียนต้องรับรู้โดยเฉพาะครูที่ปรึกษาใกล้ชิด หารือกันกับครูแล้วหาทางออกช่วยกันประสานไปที่ผู้ปกครองน้องเค้า ซึ่งน่าจะดีกว่าที่จู่ๆผมก็ติดต่อไปหาพวกเค้าโดยตรงครับ และทำการ group call กับผู้ปกครองของน้องเค้าเช้าวันนั้นเลยครับ
ครูช่วยคุยให้ใจเย็นกันได้พอสมควร คุณครูเองก็พยายามให้มุมมองฝั่งเด็ก เรายังไม่ตัดสินเรื่องต่างๆของบ้านเค้าว่าอย่างไร แต่สิ่งที่ต้องแก้ไขตอนนั้นคือ เค้าเคีรยดสติแตก แล้วออกมาข้างนอกแบบนี้ มันไม่ปลอดภัยครับ ทางพ่อแม่เค้ายินดีที่จะออกไปรับเข้าบ้านอย่างใจเย็น ทางลูกสาวผมก็รับไม้ต่อให้เพื่อนเค้าอยู่เฉยๆ ตอนนั้น ไปอยู่ในเซเว่นหน้าหมู่บ้านละครับ ยังไม่ได้ไปไหน ก็น่าจะจบลงไป แต่ผมคิดว่า ไหนๆก็เข้ามามีส่วนในนี้แล้ว ก่อนจะแยกย้ายวางสายไป ผมเสนอไปว่า ....
เอาง้ครับ ผมจะพาลูกสาวไปหาเพื่อนเค้าด้วยที่ๆผู้ปกครองน้องจะไปรับ อย่างน้อย ให้เพื่อนเค้าไปคุยกันให้เย็นลงได้ ช่วยให้ลูกสาวเค้าไม่รู้สึกถูกไล่ต้อนให้เข้าบ้านด้วยครับ ไม่งั้น อนาคต เค้าจะไม่วิ่งหาคนแถวๆนี้อีกเลย จะไปหาที่พึ่งอื่นซึ่งน่าห่วงกว่านี้เยอะนะครับ (อันนี้ผมบอแกตรงๆว่า หลายๆความเห็นที่บอกว่า อย่ายุ่งเพราะเราจะเดือดร้อน ผมทำใจไม่ได้ครับ เพราะถ้าเราผลักเค้าออกไป เท่ากับเราเป็นผู้ใหญ่ที่มองเรื่องของเด็กไม่ใช่เรื่องสำคัญ ยิ่งคนที่บอกว่าโตแต่ตัวครับ บางครั้ง เพราะเรามีสมองและหัวใจ จึงต้องใช้สองอย่างและกล้าพอที่จะเผชิญปัญหา) ราว 8.00 ผมไปรับลูกสาวที่คอนโดแม่เค้า พาไปหาเพื่อนเค้า พร้อมแจ้งทางบ้านนั้นว่ากำลังไปหา
เมื่อไปถึงก็นัดเจอกัน คุยกันก่อน ทางนั้นคุณแม่ดูมจเย็นและอ่อนโยนมาก แต่คุณพ่อซึ่งดูมีอายุกว่าพ่อแม่วัยเดียวกัน ค่อนข้างแข็ง และมีท่าทางแสดงออกว่า"มายุ่งอะไร" นิดๆในตอนแรก ปกติผมทำงานกับการดีลคนเยอะๆ ล็อบบี้คนบ้าง เลยพอจะมีทักษะการโน้มน้าวพูดคุยอยู่ จึงนำมาใช้ครับ ผมให้ทางผู้ปกครองมานั่งคุยกับผม ให้เด็กๆเค้าไปคุยกันเองก่อน โดยที่เราจะรับพวกเค้าไปหาที่นั่งคุยกันสบายๆนะ ซึ่งที่ๆผมเลือกคือสวนสาธารณะแห่งหนึ่งแถวนั้น เช้าๆอากาศดีๆ กับ้นไม้เขียวๆ ลมโชยๆ ยังไงก็คุมสถานการณ์ได้ง่ายขึ้น และผมเสนอตัวว่า ให้ลูกสาวคุณ ไปกับผมและเพื่อนเค้าก่อน ไปเจอกันที่สวน ขับตามกันไป แรกๆฝ่ายพ่อเค้าก็ยังตึงๆ ยังรู้สึกว่าทำไมต้องเสียเวลา ลากกลับไปเลยก็สิ้นเรื่อง แต่ทางคุณแม่เค้าโอเคกับไอเดียนี้ครับ ค่อยๆคุยกันให้ทุกอย่างจบลงด้วยดีก่อน ลากกลับไปเดี๋ยวก็หนีออกมาอีก
ตามนั้นครับ ในรถก็สวัสดีเฮฮากันเพราะ ผมเคยคุยกับพวกเค้ามาบ้าง ไม่เคยเจอหน้ากันจังๆ เด็กทั้งสองคนก็เพิ่งเจอหน้ากันจังๆหนแรก อย่าลืมครับว่าเรียนออนไลน์มาหนึ่งปี (ใครที่บอกว่าไม่เคจเจอกันแล้วจะไม่มีทางรู้จักมักจี่กัน ต้องมองในมุมของโลกยุคโควิดฯครับ สำหรับเค้า นี่ก็คือเพื่อน ถึงจะไม่เคยเจอตัวกันแต่ก็เรียนและทำกิจกรรมผ่านออนไลน์มาตลอดทั้งปีนะครับ อย่ามองแค่เพวกเค้าแชทกัน) ที่แน่ๆคือ เค้าไม่ร้องไห้แล้ว ยิ้มได้ หัวเราะได้แล้ว ไปแวะซื้อขนมกับอาหารเช้าง่ายๆ เข้าไปในสวน ฝากลูกผมนั่งคุยเรื่อยเปื่อย ในขณะที่ผมขวนพ่อแม่เค้าไปนั่งกินกาแฟกันไม่ไกลนั้น แล้วชวนคุยทำความรู้จักกัน ส่วนตัวผมกับคุณแม่ของน้องเค้าเคยเจอกันผ่านออนไลน์ครับ นการประชุมกิจกรรม ประชุมผู้ปกครอง คุยกับครู บังเอิญผมเป็นพวกกิจกรรมเยอะ พูดเยอะ เลยมีพ่อๆแม่ๆ(ถีบ" ให้มาเป็นประธานนี่แหละ (ไม่เคยทำงานเลย คุณแม่รองประธานซึ่งอยากเป็นประธานแต่คนไม่เลือกรับไปทำหมด ผมก็เล่นกับเด็กๆไปสบายใจ ชวนเด็กเล่นเกมส์ ชวนพ่อแม่สนับสนุนกิจกรามเด็กๆ)
เท่าที่คุยก็คือ น้องเค้าเรียนตกลงจากเมื่อก่อนมาก เคยเป็นเด็กหัวแถวจากโรงเรียนเก่าแต่พอมาปีนี้ เรียนออนไลน์ งานค้างบ้าง งานตกหล่นบ้าง เริ่มมีเรื่องโทรคุยกับเพื่อนผู้ชาย ตามประสาวัยรุ่น แล้วคุณพ่อเค้าก็มักจะเล่าในมุมที่ไม่เห็นด้วย ไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น ต้องป้องกันและช่วยกันตีกรอบ ยึดโทรษัพท์ ตัด internet เป็นเวลา ติดกล้องวงจรปิดในมุมโต๊ะเรียน แล้วคุณพ่อกลับมาจากทำงานก็มานั่งเปิดดูกล้องระหว่างเรียน พอคะแนนตกลง ก็มีปัญหากัน ไปไล่ลบเพื่อนในไลน์ของลูกสาว พวกเพื่อนผู้ชายจากโรงเรียนเก่า ก็ลยและบล็อคทิ้งหมด เหลือแค่กลุ่มเพื่อนในห้องปัจจุบันที่เป็นผู้หญิงหมด (รวมถึงลูกสาวผม)
ผมก็เข้าใจในมุมคุณพ่อเค้านะครับ แต่ก็มีความไม่เห็นด้วยกับวิธีการ อ่างไรก็ตาม ก็จะไม่ตัดสินลงไป เพียงแต่บอกไปว่า การทำแบบนี้เค้าจะยิ่งหนีออกไปจากเราครับ คุณพ่อท่านนี้น่าจะไม่ค่อยเชื่อผมเท่าไหร่ เพราะ สภาพผมในตอนนี้คือ ไอ้หัวแดงแปร๊ด (ทำสีเล่นกับลูกสาว) ดูจัดกับเนื้อหาที่คุยมาก แต่คุณแม่เค้า เอ่ยปากออกมาว่า ฟังเค้าหน่อย ดูลูกสาวเค้าสิ ร่าเริงกว่าลูกเราเยอะนะ
ทางนั้นถึงค่อยๆจูนกันครับ ผมเองก็ขอบคุณเค้าที่เป็นสังคมให้ลูกสาวผมเหมือนกัน เด็กๆเจอกับสถานการณ์แบบนี้(โควิด) พวกเค้าก็เครีรยดมาก ไม่มีเพื่อนใหม่ ผมจึงสร้างกิจกรรมเกมส์ออนไลน์ แข่งเกมส์ เพื่อให้พวกเค้าได้สนิทกันโดยไม่ต้องรอโควิดฯหายไป พวกเค้าต้องมีสังคม และเพื่อนในห้องก็เป็นสังคมที่ดี อย่างน้อยเราก็เลือกโรงเรียนที่นี่เหมือนกันแล้ว
สรุปลงท้ายคือ ทุกคนมารวมกันครับ แต่ระหว่างที่เดินมารวมกัน ลูกสาวผมก็มีการส่งไลน์มาบอกส่วนตัวว่า เพื่อนยังไม่โอเคกับพ่อ ยังไม่อยากเข้าบ้าน ยังไงๆก็ไม่อยากเข้าบ้าน ถ้าเข้าไปจะโดนยึด โดนจัดการทุกอย่างอีกแน่ๆ และคุณพ่อทางนั้นเองก็ดูท่าทางคงจะยังไม่เปลี่ยนหรือปรับสิธีเพื่อลดความตึงเครียดลงในเร็วๆนี้ เวลาก็ล่วงเลยมาสายแล้วด้วย ร้อนแล้ว ผมเลยรวบรัดหัวหางเอาเลยว่า
"ไปกินข้าวบ้านผมกัน" ทางนั้นเค้าก็งงๆครับ แต่ผมก็ยืนยันว่า ถ้าตอนนี้ เค้ายังไม่พร้อมจะเข้าบ้าน เราก็มีทางเลือกแค่ จะบังคับเค้าให้กลับบ้าน หรือจะรอให้เค้าใจเย็นแล้วหันมาคุยกัน ปรับปัญหาให้มีทางแก้ ทางคุณแม่เห็นด้วย แต่รอบนี้ ผมให้ลูกสาวผมไปนั่งรถบ้านเค้าแทนครับ ให้นางเป็นคนบอกทางกลับบ้าน (จริงๆก็ google นั่นแหละจนถึงแถวบ้าน ถึงจะรู้ทาง ไม่ได้เป็นประโยชน์ขนาดนั้นครับ อ่าๆๆ) ส่วนผมบึ่งกลับบ้านมาก่อน มันก็ต้องผักชีกันหน่อยครับ เก็บกวาดรับแขก อีกอย่าง เป็นการยัดเยียดให้บ้านเค้าได้รู้จักกับลูกเรา (เพื่อนของลูกตัวเอง) ไปด้วย ซึ่งไม่นานก็มาบ้านครับ ก็มานั่งกินข้าวกัน บรรยากาศตึงๆหน่อย เพราะพ่อเค้ายังไม่พูดกับลูกตัวเองเลย แล้วมีประโยคเช่น "ดีนะที่ xxx (พี่ชาย) เค้าดูแลตัวเองได้ ไม่ทำตัวเป็นปัญหาแบบนี้" จนผต้องนั่งเผาลูกสาวตัวเองเอาฮาลบความร้อนเป็นระยะๆ แต่คุณแม่เค้าดูจะเย็นลงมากแล้ว และแสดงท่าทีออกมาว่า เอาไงเอากัน ไม่อยากบังคับกันอีก ทีนี้ ปัญหามันอยู่ที่ พรุ่งนี้ สองสาวเริ่มสอบครับ เวลาผ่านไป เสียไปครึ่งวันเปล่าๆผมเองก็ไม่โอเค ผมเลยบอกว่า
ระหว่างนี้ไปนั่งอ่านหนังสือสอบกันข้างบน แล้วเชิญพ่อแม่ขึ้นไปดูห้องทำงานที่ลูกผมเรียนหนังสือ และจะเป็นมุมให้เค้านั่งอ่านหนังสือกัน ส่วนผู้ใหญ่ ลงมานั่งคุยเล่นที่สวนก่อนสักพัก จบแล้วจะยังไงก็ว่ากัน ทางคุณแม่ชอบที่ลูกสาวผมก็ชวนลูกเค้าไปอ่านหนังสือ เอาโน้ตที่เรียนมาเปิดแบ่งกันให้ดู ช่วยกันนึกและทำสรุปเนื้อหาการสอบกันได้ ไม่งอแงไม่อู้ ส่วนคุณพ่อบ่นๆว่า มีธุระเยอะ เสียเวลามากเลย ต้องเอารถไปเช็ค ต้องทำนั่นนี่ วุ่นวายมาก คือก็ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกครับแต่ดูจากลักษณะคือ บ่นว่าภาระชีวิตเยอะจนไม่มีเวลามาทำอะไรหยุมหยิมแบบนี้ ลูกชายคนโต จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เกรดดี รับผิดชอบได้ แต่ลูกสาวยังไม่ได้เรื่อง แถมมีเรื่องน่าปวดหัวเข้ามาอีก จนต้องมาเสียเวลาทำธุระสำคัญ (ผมก็ยิ้มรับครับท่าน ในหัวคิดว่า ธุระอะไรในโลกนี้ก็ไม่สำคัญเท่าลูกหรอกครับ) แล้วใช้ไม้ตายเด็ด ที่ improvise มาเฉยๆเล จากการนั่งอ่านเม้นต่างๆวนนี้ด้วย หันไปบอกแม่เค้าว่า
"ฝากให้มาอยู่ได้นะครับ" แรกๆเค้าก็ไม่เอาๆ ออกลูกทำท่าเกรงใจ แต่ผมเสนอไปว่า ถ้าเคายังไม่โอเคจริงๆ อย่างน้อยๆ ช่วงสอบ ให้มาอ่านหนังสือ มานั่งสอบที่นี่ได้ สัปดาห์นี้ผมไม่มีคิวงานไปไหน(เพราะเคลียร์ไว้ นั่งช่วยดูแลเค้าช่วงสอบ) ผมอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง แล้วเปิดให้ดูว่า บ้านผมติดกล้องทุกมุมในบ้านยกเว้นห้องนอนลูกกับห้องน้ำ ถ้าจำเป็นจริงๆ เดี๋ยวผมให้รหัสเข้ามาดูกล้องได้ครับ อาหารการกินก็ไม่ต้องห่วง .... บ้านผมทำกินเอง ทุกคนต้องทำ เก็บล้างกันเอง ไม่ลำบากผมแน่นอน เพิ่มมาหนึ่งชีวิต แต่ก็มีแรงงานเพ่ิมด้วย ถือว่าเท่าเดิม จนคุณแม่เค้าเริ่มเห็นดีเห็นงาม เหลือแต่คุณพ่อเค้านี่แหละครับที่ยังตึงๆ แต่ผมงัดไม้ตายบอกไปว่า
"ตอนนี้กลับบ้านไป เค้าอาจจะต่อต้านคุณพ่อ และเครียดไม่มีสติจะอ่านหนังสือ เกรดจะแย่เอานะครับ" ทางนั้นถึงหยุดคิด แล้วจบลงที่ "อเค" ส่วนหนึ่งก็เพราะ บ้านผมกับที่ทำงานคุณแม่เค้าไม่ห่างกัน หลังเลิกงาน จะแวะมาดูแลมาช่วยได้ แล้วคุณพ่อก็สั่งการคุณแม่เค้าว่า เลิกงานแล้ว กี่โมงๆเธอต้องมาดูสภาพนะ ต้องมาช่วยคุณพ่อ(ตัวผม) เค้า อย่าให้อายมาถึงเราได้
ผมทำการรายงานครูประจำชั้น (ลืมไปเลยว่ามีอีกคนรออัพเดทสถานการณ์) จนเริ่มบ่ายแก่ๆแล้วเรียกเด็กๆลงมา บอกเล่าเรื่องราวว่าพ่อแม่เห็นกันอย่างไร ทั้งสองคนดีใจมาก แต่ผมกำชับไปว่า
"การมาในครั้งนี้ ไม่ใช่การหนีออกมาพัก เป็นการมาอ่านหนังสือและสอบ ไม่ใช่มาเที่ยวด้วย ดังนั้น ต้องรับผิดชอบตัวเองในทุกเรื่อง ที่สำคัญ ในอนาคต ต้องไม่มีเหตุการณ์แบบนี้อีก" ซึ่งผมซีเรียสในเลเวลที่ลูกสาวรู้ว่าเอาจริง (ถึงจะให้อิสระแต่ถ้าซีเรียสต้องนั่งคุยกันยาว จะค่อนข้างเข้มงวดครับ) พร้อมกำชับหนักเลยว่า "สิ่งที่เกิดในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ควรเกิด ถ้าเกิดปัญหาแบบนี้อีก นอกจากจะวุ่นวายกันกว่านี้ เราคงต้องแก้ปัญหากันด้วยกระบวนการอื่นๆแล้วนะ" ซึ่งผมอธิบายเลยว่า ถ้าเค้าไม่สามารถปรับตัวได้ ต่อไปต้องพึ่งพานักจิตวิทยาวัยรุ่นแล้ว (จริงๆผมเชียร์ห้รีบๆไปหาเลยครับ เพราะในกระบวนการนั้น พ่อแม่ต้องเข้าไปร่วมปรับด้วย) แต่ทำท่าทีขึงขังไปงั้นแหละ ให้เด็กๆรู้ว่า นี่เรื่องใหญ่
ทางบ้านเพือ่นลูกสาว รับตัวกลับบ้านไป เพราะต้องไปเก็บของเตรียมมาอยู่ที่นี่ 7 วัน (ผมแอบกังวลว่า กลับไปแล้วจะเกิดเรื่องแล้วไม่ได้กลับมา) พอค่ำๆหลังอาหารเย็นก็พามาส่ง ส่วนทางผมก็เก็บบ้านจัดห้องนอนให้เรียบร้อย ในขณะที่ลูกสาวนั่งอ่านหนังสือสอบครับ
จนถึงตอนนี้ ทั้งสองคนนั่งทำข้อสอบอยู่ ผมมีหน้าที่หาอาหาร ขนม มาให้พวกเค้า ช่วยเค้าติวในวิชาสำคัญๆ ช่วยกระตุ้นให้แอ็คทีฟ กินข้าวเสร็จแล้วกระตุ้นให้ไปหยิบโน้ตวิชาสอบช่วงบ่ายมาอ่าน เดี๋ยวเย็นๆจะพักผ่อนด้วยการไปวิ่งออกกำลังกัน ซึ่งเพื่อนลูกสาวผมไม่เคยวิ่งเลย วันนี้จะต้องวิ่งเป็นครั้งแรก กลางคืนอ่านหนังสือสอบ แล้วเคอร์ฟิว เข้านอนปิดไฟไม่เกิ
ความคิดเห็นที่ 43
เรามองต่างนะ
ถ้าคุณไม่เข้าไปยุ่ง เรื่องมันคงจบที่น้องไปร้องไห้ที่ seven จนพอใจ แล้วก็เดินกลับเข้าไปในบ้านเอง คุยกันเอง ปรับตัวปรับอารมณ์กันไป เด็กๆเราก็มีโกรธพ่อ โกรธแม่ แต่สุดท้ายทำอะไรได้ เราก็ต้องกลับบ้าน
แต่สิ่งที่คุณทำ คือเปิดให้เด็กมันดูว่ามีทางอื่นนะนอกจากกลับบ้าน ไปนอนค้างที่อื่นได้นะถ้าไม่พอใจพ่อแม่ บ้านอื่นนะดีกว่าบ้านตัวเองมากมาย พ่อคนอื่นช่างใจดีจัง ซึ่งปัญหามันจะขยายจนไม่จบสิ้นเลยหลังจากนี้
ลึกๆเองคุณคิดว่าการกระทำของคุณเป็นพ่อพระ แล้วพ่อเค้าไม่ดี เลี้ยงลูกไม่ดี ตัวคุณเลี้ยงดีกว่าเยอะ ที่จริงแล้วลูกใครลูกเค้า ถ้าสุดท้ายเด็กจะเตลิดเปิดเปิงยังไง เค้าก็ครอบครัวกัน และรับผลสะท้อนของการกระทำพ่อแม่เอง คุณไม่ควรเข้าไปยุ่งเลย
ถ้าคุณไม่เข้าไปยุ่ง เรื่องมันคงจบที่น้องไปร้องไห้ที่ seven จนพอใจ แล้วก็เดินกลับเข้าไปในบ้านเอง คุยกันเอง ปรับตัวปรับอารมณ์กันไป เด็กๆเราก็มีโกรธพ่อ โกรธแม่ แต่สุดท้ายทำอะไรได้ เราก็ต้องกลับบ้าน
แต่สิ่งที่คุณทำ คือเปิดให้เด็กมันดูว่ามีทางอื่นนะนอกจากกลับบ้าน ไปนอนค้างที่อื่นได้นะถ้าไม่พอใจพ่อแม่ บ้านอื่นนะดีกว่าบ้านตัวเองมากมาย พ่อคนอื่นช่างใจดีจัง ซึ่งปัญหามันจะขยายจนไม่จบสิ้นเลยหลังจากนี้
ลึกๆเองคุณคิดว่าการกระทำของคุณเป็นพ่อพระ แล้วพ่อเค้าไม่ดี เลี้ยงลูกไม่ดี ตัวคุณเลี้ยงดีกว่าเยอะ ที่จริงแล้วลูกใครลูกเค้า ถ้าสุดท้ายเด็กจะเตลิดเปิดเปิงยังไง เค้าก็ครอบครัวกัน และรับผลสะท้อนของการกระทำพ่อแม่เอง คุณไม่ควรเข้าไปยุ่งเลย
ความคิดเห็นที่ 22
เพิ่งได้มาเห็นกระทู้ อยากบอกว่า คุณพ่อทำถูกแล้วครับ ที่ รั้งเพื่อนลูกสาวไว้ก่อน ในจุดที่ยังพอจะคุยกันได้
ขอแบ่งปันประสบการณ์ให้ฟังละกันครับ...
30 กว่าปีก่อน ตอนนั้นผมเรียนประถม ที่บ้านฒรับญาติผู้พี่ของผมคนหนึ่งมาอยู่ที่บ้านด้วย เพราะบ้านพี่เขาอยู่ต่างจังหวัด แต่ตัวพี่คนนี้สอบติดโรงเรียนมัธยมใน กทม.
พี่คนนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นเด็กเที่ยว เด็กเกเรในระดับหนึ่ง แม้จะมาอยู่บ้านผมก็มีแอบสูบบุหรี่ (ผมเคยได้กลิ่น และเข้าไปในห้องพี่เขาก็เจอ) มีกลับบ้านเย็น-ค่ำ กว่าปกติบ้าง (ตอนเช้าออกจากบ้านพร้อมกัน พ่อผมไปส่งหน้าโรงเรียน)
พี่คนนี้ก็ยังรักษาผลการเรียนได้ดีในระดับหนึ่ง ผ่านไปสักปีกว่าๆ พี่เขาอยู่ ม. ปลายแล้ว วันหนึ่ง พี่เขารับโทรศัพท์ (โทรศัพท์บ้าน ยุคนั้นมือถือยังไม่มี) จากเพื่อนที่โทรมา แล้วก็มีเสียงเหมือนตกใจ คุยอยู่สักพัก ก็มาบอกแม่ผม ว่า ขออนุญาตให้เพื่อนมาค้างได้ไหม
แม่ผมมาเล่าให้ฟังหลายปีหลังจากนั้น ว่า วันนั้นเพื่อนของพี่เขา ทะเลาะกับทางบ้านของเพื่อน ในลักษณะคล้ายๆ กับกรณีเพื่อนลูกสาว จขกท. นี่ละ และก็หนีออกจากบ้านมาเช่นกัน
แม่ผมบอกให้พี่เขาไปรับเพื่อนมาที่บ้านก่อน เพื่อให้คืนนี้ได้ค้างที่บ้านก่อน และก็รอจนพี่เขาไปพาเพื่อนมาถึงบ้าน ให้กินข้าว พักผ่อนกันก่อน โดยให้คุยกันเองในห้องของพี่เขา พ่อแม่ผมไม่เข้าไปยุ่ง
จากนั้น แม่ออกไปปากซอย โทรจากตู้สาธารณะ ไปหาครอบครัวของเพื่อนพี่ เพื่อบอกว่า แม่จะพาทั้งคู่ไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้น ให้ทางครอบครัวไปรอรับที่โรงเรียนเพื่อให้เด็กได้ใจเย็นลงก่อน
แต่.. ครอบครัวฝั่งนั้นไม่ยอมฟัง ขับรถมาที่บ้านในคืนนั้น และก็มาทะเลาะกันอยู่ที่บ้านผมอีกสักพัก ก่อนจะพากันกลับไป
แม่ผมมารู้จากพี่เขาว่า หลังจากนั้น เพื่อนพี่หนีออกจากบ้านอีกครั้ง แล้วก็หาไม่เจอ ไม่ติดต่อเพื่อนคนไหนอีกเลย
แม่ผมเป็นครู ม. ปลาย ครับ พอจะเข้าใจจิตวิทยาวัยรุ่น และแนวทางในการรับมือ เพราะโรงเรียนที่แม่สอนอยู่ทั้งก่อนนั้น และในตอนนั้น ก็มีเด็กมีปัญหาแบบนี้ไม่น้อย
ขอแสดงความนับถือในการตัดสินใจของ จขกท. ครับ คุณตัดสินใจได้ถูกแล้ว และทำถูกในการแจ้งให้ครูประจำชั้นรับทราบด้วย ในยุคนี้ติดต่อประสานกันง่ายกว่ายุคนั้นเยอะ
เรื่อง "พรากผู้เยาว์ ผมคิดว่าเป็นเรื่องรอง และสิ่งต่างๆ ที่ จขกท. ทำไป ครอบคลุมสิ่งที่ควรทำและสร้างหลักฐานได้ดีแล้ว
ขอแบ่งปันประสบการณ์ให้ฟังละกันครับ...
30 กว่าปีก่อน ตอนนั้นผมเรียนประถม ที่บ้านฒรับญาติผู้พี่ของผมคนหนึ่งมาอยู่ที่บ้านด้วย เพราะบ้านพี่เขาอยู่ต่างจังหวัด แต่ตัวพี่คนนี้สอบติดโรงเรียนมัธยมใน กทม.
พี่คนนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นเด็กเที่ยว เด็กเกเรในระดับหนึ่ง แม้จะมาอยู่บ้านผมก็มีแอบสูบบุหรี่ (ผมเคยได้กลิ่น และเข้าไปในห้องพี่เขาก็เจอ) มีกลับบ้านเย็น-ค่ำ กว่าปกติบ้าง (ตอนเช้าออกจากบ้านพร้อมกัน พ่อผมไปส่งหน้าโรงเรียน)
พี่คนนี้ก็ยังรักษาผลการเรียนได้ดีในระดับหนึ่ง ผ่านไปสักปีกว่าๆ พี่เขาอยู่ ม. ปลายแล้ว วันหนึ่ง พี่เขารับโทรศัพท์ (โทรศัพท์บ้าน ยุคนั้นมือถือยังไม่มี) จากเพื่อนที่โทรมา แล้วก็มีเสียงเหมือนตกใจ คุยอยู่สักพัก ก็มาบอกแม่ผม ว่า ขออนุญาตให้เพื่อนมาค้างได้ไหม
แม่ผมมาเล่าให้ฟังหลายปีหลังจากนั้น ว่า วันนั้นเพื่อนของพี่เขา ทะเลาะกับทางบ้านของเพื่อน ในลักษณะคล้ายๆ กับกรณีเพื่อนลูกสาว จขกท. นี่ละ และก็หนีออกจากบ้านมาเช่นกัน
แม่ผมบอกให้พี่เขาไปรับเพื่อนมาที่บ้านก่อน เพื่อให้คืนนี้ได้ค้างที่บ้านก่อน และก็รอจนพี่เขาไปพาเพื่อนมาถึงบ้าน ให้กินข้าว พักผ่อนกันก่อน โดยให้คุยกันเองในห้องของพี่เขา พ่อแม่ผมไม่เข้าไปยุ่ง
จากนั้น แม่ออกไปปากซอย โทรจากตู้สาธารณะ ไปหาครอบครัวของเพื่อนพี่ เพื่อบอกว่า แม่จะพาทั้งคู่ไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้น ให้ทางครอบครัวไปรอรับที่โรงเรียนเพื่อให้เด็กได้ใจเย็นลงก่อน
แต่.. ครอบครัวฝั่งนั้นไม่ยอมฟัง ขับรถมาที่บ้านในคืนนั้น และก็มาทะเลาะกันอยู่ที่บ้านผมอีกสักพัก ก่อนจะพากันกลับไป
แม่ผมมารู้จากพี่เขาว่า หลังจากนั้น เพื่อนพี่หนีออกจากบ้านอีกครั้ง แล้วก็หาไม่เจอ ไม่ติดต่อเพื่อนคนไหนอีกเลย
แม่ผมเป็นครู ม. ปลาย ครับ พอจะเข้าใจจิตวิทยาวัยรุ่น และแนวทางในการรับมือ เพราะโรงเรียนที่แม่สอนอยู่ทั้งก่อนนั้น และในตอนนั้น ก็มีเด็กมีปัญหาแบบนี้ไม่น้อย
ขอแสดงความนับถือในการตัดสินใจของ จขกท. ครับ คุณตัดสินใจได้ถูกแล้ว และทำถูกในการแจ้งให้ครูประจำชั้นรับทราบด้วย ในยุคนี้ติดต่อประสานกันง่ายกว่ายุคนั้นเยอะ
เรื่อง "พรากผู้เยาว์ ผมคิดว่าเป็นเรื่องรอง และสิ่งต่างๆ ที่ จขกท. ทำไป ครอบคลุมสิ่งที่ควรทำและสร้างหลักฐานได้ดีแล้ว
แสดงความคิดเห็น
เพื่อนของลูกสาว อยากขอหนีมาพักที่บ้านด้วย
ควันหลงบทสรุป ความเห็น 81
ผมเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว ลูกสาวอายุ 13 ปี (เกริ่นแบบนี้เกือบทุกโพสต์เลย เอาเป็นว่า... กดเข้าไปอ่านกรระทู้เก่าๆได้นะครับสำหรับดรายละเอียด)
วันนี้ลูกสาวไปค้างกับแม่เค้าที่คอนโด แล้วก็โทรมาคุยก่อนนอน ปกติก็โทรมาคุยเล่นๆ มารายงานการอ่านหนังสือเรียนที่แม่เค้า ส่งไลน์การบ้านมาให้ตรวจ แต่วันนี้ เค้าเล่าเรื่องนึงที่ทำให้ต้องมานั่งคิดหนักเลยว่าจะตัดสินใจยังไงดี เมื่อเธอบอกว่า
"เพื่อนอยากขอมาค้างที่บ้าน เพราะอึดอัดพ่อแม่เค้า ได้มั้ย?"
รายละเอียดก็คือ ลูกสาวเล่าให้ฟังว่า เพื่อนในห้องเรียน (ม.1) ที่จริงๆก็เพิ่งรู้จักกันปีการศึกษานี้ แต่ก็เริ่มสนิทกันจากการเรียน ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน(ผ่านออนไลน์) จนเริ่มจับกลุ่ม และคุยกันส่วนตัวมากกว่าเรื่องเรียน เป็นเพื่อนผู้หญิงกลุ่มแรกของลูกสาวผมเลยครับ ก่อนนี้เค้ามีแต่เพื่อนผู้ชายเล่นเกมส์ เล่นซนกันมากกว่า ซึ่งมีคนนึงที่ดูเป็นเด็กคิดมากกับทุกอย่าง (ผมนั่งทำงานที่บ้านข้างๆลูกเรียนเป็นส่วนมาก จึงได้ยิน ได้เห็นเด็กๆเรียนตลอดเลย) ดูไม่ค่อยมั่นใจตัวเอง พยายามมีส่วนร่วมในห้องดีพอควร แต่พอถึงเวลาพูดคุยแลกเปลี่ยนในห้อง จะแสดงออกมาว่ามีเรื่องกลุ้มใจคิดมากกับสิ่งต่างๆรอบตัวกว่าปกติ
ที่รู้ นอกจากที่นั่งฟังพวกเค้าเรียนมาตลอดเกือบหมดปีการศึกษาเนี่ย ผมก็เข้าไปมีส่วนร่วมกับพวกเค้าครับ เช่นเวลาพวกเค้าคุยเล่นกันผ่านไลน์กลุ่ม บางที ก็ไปแจมกับเด็กๆคุยเล่นด้วย (ลูกสาวชวน) บางทีก็ช่วยพวกเค้าทำงานกลุ่มด้วยการให้ไอเดียแนะนำเด็กๆแล้วให้ทำเอง จนก็สนิทกับแก็งค์นี้บ้าง ชนิดที่ว่า คุณพ่อสามารถแอบให้ลูกสาวไลน์บอกคำตอบเพื่อนเวลาครูถามในห้องแล้วเค้าตอบกันไม่ได้ (รู้นะว่าโกง แต่เวลาเราเรียนกันสมัยก่อน ครูถาม ก็กระซิบกระซาบคำตอบให้เพื่อนกัน จริงมั้ยล่ะ) ลูกสาวก็จะมาบอกทีหลังว่า เพื่อนคนนี้ฝากขอบคุณปาป๊าที่ช่วย เคยชวนเด็กๆมานั่งดูหนังกัน(ผ่านออนไลน์) ดูแล้วนั่งเม้าท์กันไปด้วย (แชร์หนังดูด้วยกันแล้วคุยกันไป)
เหมือนคุณพ่อเป็นมนุษย์ประหลาดเข้าไปแทรกซึมพวกเค้าครับ ฮ่าๆๆ
อ่ะ เข้าเรื่องต่อ
ทีนี้ ลูกสาวเล่าว่า เพื่อนนางคนนึง โดนพ่อแม่กดดันมาก การเรียน คะแนน และทะเลาะกันบ่อยๆ โดนจำกัดเวลาต่างๆ ไม่มีเวลาส่วนตัว ทำอะไรลงไปพ่อแม่เค้าก็ไม่ไว้ใจ ไม่วางใจ คะแนนออกมาถ้าไม่ดีก็โดนกดดัน เปรียบเทียบกับลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งผมก็งงครับ เพราะ น้องเค้าก็เรียกได้ว่า ส่งงานดี ตั้งใจเรียนไม่เลวเลย อาจจะไม่ได้เป็นเด็กสอบได้คะแนนดี แต่ก็มีวิชาที่ได้คะแนนดีกว่าลูกผมเยอะนะครับ
ล่าสุด เค้ามีปากเสียงกับพ่อแม่รุนแรง ร้องห่มร้องไห้ อยากหนีออกจากบ้าน อยากไปให้ไกลๆ
เพื่อนๆก็ช่วยกันปลอบ แล้วโทรคุยกับลูกสาวผมค่ำนี้ สรุปคือ เค้าอยากขอให้เพื่อนมาพักที่บ้านในช่วงสอบได้มั้ย (สัปดาห์นี้สอบกันครับ) จะได้ช่วยกันดูแลไม่ให้เค้าหนีไปไหน จะได้ช่วยกันติวที่บ้าน แล้วบ้านเราก็มีโต๊ะทำงานเหลือ เอามาวาง มีคอมฯเหลือ ให้เค้าเรียนได้ สอบได้
ระหว่างคุยกันไปกับผม ก็รับรู้ได้ว่า เค้ามีการตัดสินใจมาแล้วส่วนนึงว่า นี่คือทางออกที่ดี แต่ปัญหาในมุมผู้ใหญ่อย่างเราๆก็คือ
"เฮ้ยยย ไม่ด้ายยยย จะเอาลูกเค้ามารับผิดชอบแบบนี้ไม่ด้ายยย"
แต่ไม่ได้บอกนางไปแบบนั้นนะครับ เพราะในเหตุผลส่วนนึง พวกเค้าก็คิดไม่ผิด
หลักๆผมอธิบายเค้าไปว่า.. มันน่าจะไม่ดีถ้าช่วยให้เพื่อนหนีออกจากบ้านมาอยู่ที่นี่ ถึงจะปลอดภัยและดีกับเค้า แต่เราไม่ควรสนับสนุนให้เพื่อนหนีออกจากบ้าน ซึ่งเธอก็รับฟัง แล้วเสนอว่า งั้นปาป๊า ไปขอพ่อแม่เค้าให้หน่อยสิ ให้มาพักที่บ้านเราช่วงสอบได้มั้ย
อื้อหือ... ยากเลยครับ ช่วงสอบด้วย คงยากจะมีพ่อแม่ที่ไหนในวัยนี้ยินยอม แถมถ้าที่บ้านเธอกดดัน เคร่งครัดขนาดนั้น คงไม่ง่ายที่จะไปคุยกับผู้ปกครองน้องเค้าได้ในเวลาวันสองวันอย่างนี้ พอผมอธิบายไปตามนั้น และบอกว่า "ไม่ใช่ทุกบ้านจะมีพ่อติงต๊องแบบบ้านเรานะ จะให้ลูกไปไหนง่ายๆเนี่ย" ที่สำคัญ เหตุผลในการไปคุยกับพ่อแม่เค้า ให้มาเนี่ย มันไม่ค่อยฟังราบรื่นเท่าไหร่เลยนะครับ เพราะถ้าผมสนับสนุนแบบนั้น เท่ากับว่าผมเห็นด้วยกับเด็กว่าถูกกดดัน (หรือเปล่า?)
ผมคุยซีเรียสกับลูกสาวว่า เรื่องนี้ ตอบทันทีไม่ได้จริงๆ ต้องคิดกันหลายด้านก่อน ดังนั้น แยกย้ายไปนอน แล้วพรุ่งนี้กลับบ้านมาค่อยมาหารือกัน ซึ่งนางก็งอแงนิดหน่อยครับ (พรุ่งนี้ก็วันอาทิตย์แล้วกว่าจะคุยได้ จันทร์ก็สอบแล้ว) จนผมต้องยืนยันว่า ไม่ได้ๆๆ ไม่ใช่ว่ามาไม่ได้ แต่เรือ่งนี้ละเอียดอ่อนมากต้องคิดกันให้รอบคอบจริงๆ ถ้าต้องคุยกับผู้ปกครองเพื่อนนาง ต้องคุยมุมไหน อย่างไร
แต่พอวางสายผมก็นั่งคิดไปเรื่อยๆ ได้แนวทางมาก็คือ
อันแรก ใช้ใจล้วนๆไม่เอาเหตุผลเลย
สมมุติตัวเองเป็นวัยรุ่น ผมคงจะให้เพื่อนหนีออกมาเลยแล้วมานอนที่บ้านก่อน อย่างที่เด็กๆคิดกันมานี่แหละ แล้วค่อยบอกผู้ใหญ่ทีหลัง เพราะพวกเค้าก็คิดมาว่า ให้มานอนนี่ก่อน แล้วค่อยไลน์หรือโทรบอกพ่อแม่ว่า ไม่ต้องห่วงมาค้างบ้านเพื่อนที่โรงเรียน แล้วผมในฐานะพ่อของเพื่อนที่เปิดบ้านให้พัก ค่อยแสดงตัวรับปากมั่นเหมาะว่าดูแลลูกสาวเค้าได้แน่นอน มีอะไรติดต่อมานะ
ทางต่อมา ในมุมผู้ใหญ่
ไม่เหมาะไม่ควรให้ทำแบบนี้ แต่ สนับสนุนให้เค้าได้มีเวลากับเพื่อน มีโอกาสพักผ่อนกัน สอบเสร็จแล้ว เปิดบ้านรับปาร์ตี้แก็งค์สาวๆให้มาพักกันซักคืน คุยกันกับผู้ปกครองกลุ่มนี้เป็นเรื่องเป็นราว จัดบ้านช่องให้เหมาะ ให้เด็กๆมาพักผ่อนบ้าง ข้อนี้ทำไม่ยากเลย (ตอนผม ม.1 พ่อแม่ก็ให้ไปรวมตัวกันนอนบ้านเพื่อนแบบนี้แหละ)
ทางต่อมา คิดแบบเซฟๆ
เรือ่งพวกนี้ เราไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวเกินไปหรือเปล่า? บ้านเค้าอาจจะมีอะไรที่มากกว่านั้น ถึงเิดเรื่องกดดัน ทะเลาะกันแบบนี้ เราเพิ่งรู้จักกันแค่นี้เอง จะเข้าไปผลีผลามมีส่วนด้วยมากขนาดนี้คงไม่เหมาะนัก ดังนั้น say no อย่างเคร่งครัดเลย ใช้คำว่า ให้รู้ตื้นลึก รู้จักมักจี่กันระหว่างครอบครัวต่างๆก่อนจะดีกว่า
ข้อสุดท้าย แบบรอมชอม
ให้หนีมานอนนี่แหละ ตามที่พวกเค้าคิด แต่ ทางผมรับหน้าที่ฑูตวัยรุ่น คุยกับพ่อแม่เค้าหลังบ้าน โดยไม่ให้เพื่อนเค้ารู้ แต่ให้พ่อแม่เค้ารับรู้ไว้ว่าลูกสาวจะหนีมานอนนี่นะ ไม่ต้องห่วง ให้ทางเค้าสบายใจได้ รวมถึงตัวสาวน้อยก็ได้ออกมาจากความรู้สกกดดัน วินๆกันทุกฝ่าย ทุกคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่
===============================
ประมาณนี้แหละครับ ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับท่านที่อยากได้ข้อมุลช่วยตัดสินใจนะครับ
เพื่อนของลูกสาวคนนี้ มาจากคนละโรงเรียน มาจากโรงเรียนอินเตอร์ซึ่งมีเพื่อนมาด้วยกัน 3-4 คน แต่เค้าไม่สนิทกับเพื่อนโรงเรียนเก่าที่มา เพราะเป็นคนเงียบๆ ไม่จัดจ้าน ในขณะที่เพื่อนโรงเรียนเก่าเค้าดูโตกว่าวัย คุยเรื่องดารา คอนเสิร์ท กรี๊ดรุ่นพี่หล่อ แต่คนนี้ค่อนข้างเข้าทางลูกสาวผมคือ อ่านนิยาย ชอบการ์ตูน ดูซีรีส์บ้างแต่ก็ไม่ได้ติด ไม่ได้ชอบซีรีส์จิกหมอนวัยรุ่นจ๋ากัน เลยมารวมกลุ่มกับลูกสาวผม
ซึ่งลูกสาวผมก็มีเพื่อนจากประถมมาในห้องด้วยเช่นกันแต่ก็ไม่สนิท เพราะสัมยประถมเคยไปเตะปากเพื่อนผู้ชายคนนี้ครับ ฮ่าาา (เพื่อนคนนี้ มาเปิดกระโปรงนาง เลยเตะซะเลย) เพื่อนสนิทของเค้าเดิมๆก็ไม่ได้เรียนห้องเดียวกัน (เรียนแผนกปกติไม่ได้เรียน EP) บางคนก็ย้ายไปเรียนที่อื่น ถึงจะยังคงคุยกันแต่ก็ไม่มากเท่าเพื่อนในห้องที่เริ่มชินกันมากขึ้นแล้ว
ดังนั้น ลูกสาวก็เลยได้เพื่อนใหม่ แนวเดียวกันจากในห้อง และการที่เะอชอบทำกิจกรรมออนไลน์ ผช่วยกันทำกิจกรรมเอง เคยเล่าไว้นานแล้วแต่มันพาดพิงคนอื่นครับเลยลบโพสต์ทิ้งไปแล้ว เอาเป็นว่า จากกิจกรรมนั้น ทำให้นางมีเพื่อนเยอะขึ้น) พวกสาวๆในห้องที่ไม่ได้สนใจเรื่องพระเอกหล่อ รุ่นพี่เท่ ชอบเล่นเกมส์ ดูหนัง ดูการ์ตูน วาดรูป มาจับกลุ่มรวมกัน ชวนกันเล่นเกมส์ แลกลิงค์ แลกคลิปเบื้องหลังการ์ตูนต่างๆ จนสนิทสนมกัน เคยเกือบจะนัดเจอกัน ไปกินข้าวกัน ทางผมสนับสนุนนะครับ แต่ บ้านอื่นน่าจะไม่เอาด้วย โปรเจ็คนี้เลยล่มไป
ที่สำคัญ ผมเคยเล่าว่าตอน ม.1 ผมทำอะไรบ้าง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การได้ไปค้างบ้านเพื่อน มีเพื่อนทำโรงแรม เพื่อนก็ชวนไปค้างที่นั่น ได้นอนในห้องกับเพื่อน 3-4 คน นั่งเล่นเกมส์กันยันเช้าเลย โดยพ่อแม่ผม (ปู่ย่า) ก็ไปส่งแล้ววันรุ่งขึ้นก็ไปรับ เป็นเวลาที่อิสระและสนุกมาก ทั้งเล่นเกมส์ ดูหนัง ดูการ์ตูน ใครมีจตลับเกมส์อะไรก็เอาไป มีม้วนวีดีโออะไรก็เอาไป เช้าก็ตื่นไปกินข้าวเช้ากันเอง(ในโรงแรมเพื่อน) เค้าคงฟังแล้วคิดว่าสนุก อยากได้โมเม้นต์แบบนั้น ประจสบเหมาะกับเจอปัญหาเพื่อนคนนี้ เลยอาสาเอาเพื่อนมา
ที่สำคัญมากๆคือ ผมว่า พวกเค้าเหงาครับ... วันๆไม่ได้เจอกันเลย มีแต่หน้าจอและคุยโทรศัพท์ เจอแต่พ่อ ซึ่งก็ไม่ใช่เพื่อนเค้าวัยเดียวกัน คงอยากมีเวลากับเพื่อนวัยเดียวกันจริงๆ ได้เล่น ได้คุยในแบบคนรุ่นเดียวกันวัยเดียวกันบ้าง คิดๆไปก็สงสารครับ
ใจนึงผมจึงอยากสนับสนุนให้มาพักที่นี่นะ มากันทั้งหลุ่มเลยก็ได้ 3-4 คนเอง เลี้ยงได้สบายมาก (บ้านนี้ มีกฏว่า งานทุกอย่างต้องช่วยทำ ดังนั้น ถ้าพวกแก็งค์สาวน้อยมา ต้องทำอาหาร ล้างจานกันเองนะจ๊ะ ไม่มีแม่บ้านทำให้)
ในขณะที่ผมพาลูกไปเที่ยว ไปสังสรรเฮฮากับเพื่อนๆผม (ลุงๆ อาๆ ป้าๆ) แต่เค้าไม่ได้มีเวลาพบเจอเพื่อนเค้าเลย
อ้อ เรือ่งโควิดฯ ผมไม่ได้ติดปัญหานะครับ ที่บ้านมีชุดตรวจกองเต็มบ้านเลยเพราะทำงานที่ต้องพบเจอคนเยอะ ออกสถานที่เป็นระยะๆ โดนตรวจทุกสัปดาห์จากการไปทำงาน เลยฉกมาติดบ้านไว้เรื่อยๆครับ ไม่มีไรทำก็นั่งแยงเล่นๆกันกับลูกสาวนี่แหละ เฮฮาดี
(เรือ่งแยงจมูกเล่นกันนี่ ขำมากครับ เอาไว้มีโอกาสจะเล่า แต่นึกภาพว่าต้องสอนลูกสาวจิ้มจมุกพ่อ ซึ่งลูกสาวก็มือหนักซะด้วย แถมเราต้องไปจิ้มจมูกเค้า นางโวยวายลั่นบ้านเลย เอาไปเล่าให้เพื่อน ให้ที่โรงเรยนฟังด้วย ถ้าสาวๆจะมานอน.... โดนแยงทุกคนแน่นอนนนน)