คำถาม รถคันหลังต้องระวังรถคันหน้า หรือ รถคันหน้าต้องระวังรถคันหลังครับ❓และหยุดรถโดยกระทันหันได้หรือไม่❓
คำตอบ ต่างต้องระมัดระวังด้วยกันทั้งคู่ครับ
ไปดูมาตรา 40+(36,37,38,54,68) พรบ.จราจรทางบก ฯ หลักทั่วไป 1. รถคันหลังต้องขับให้ห่างรถคันหน้าพอสมควรในระยะที่จะหยุดรถได้โดยปลอดภัยเมื่อจำเป็นต้องหยุด 2. รถคันหน้าจะหยุดรถต้องลดความเร็วและให้ไฟสัญญาณสีแดงที่ท้ายรถ(เหยียบเบรค)ไม่น้อยกว่า 30 เมตรก่อนหยุด ให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถอื่นเห็นได้ในระยะไม่น้อยกว่า 60 เมตร และจะหยุดรถหรือจอดรถได้เมื่อผู้ขับขี่เห็นว่าปลอดภัย และไม่เป็นการกีดขวางการจราจร , 3. ข้อยกเว้น ถ้ามีเหตุสุดวิสัยนอกเหนือการบังคับ เช่น มีคนหรือสัตว์วิ่งตัดหน้า ,รถคันหน้าหยุดกระทันหัน,มีสิ่งกีดขวางทางจราจรที่ไม่อาจมองเห็นได้ในระยะไกล เช่น เวลากลางคืนรถเสียบนทางไม่มีป้ายหรือสัญญาณไฟเตือน , ทางข้างหน้าถนนเป็นหลุมหรือทางขาด ,ยางระเบิด เมื่อเป็นเหตุสุดวิสัย คันที่ 1 แม้จะแตะเบรคน้อยกว่า 30 เมตรก็ไม่ผิด ส่วนคันที่ 2 ถ้าได้ขับตามหลังคันแรกในระยะห่างพอสมควรแม้เบรคกระทันหันเนื่องจากเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากคันแรกหยุดกระทันหัน แล้วมีรถคันที่ 3 ซึ่งขับตามหลังคันที่ 2 ในระยะห่างพอสมควรมาชน คันที่ 2 หรือเสียหลักเพราะหักหลบรถคันที่ 2 เมื่อเป็นเหตุสุดวิสัยรถคันที่ 1,2,3 จึงไม่มีความผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา ต่อกัน แต่ถ้ามีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นกับรถคันแรกแต่คันหลังแต่ละคันต่างขับจี้ท้ายคันหน้าตัวเอง พอคันแรกเบรค คันต่อๆ มาจึงชนท้ายต่อกันเป็นทอดๆ เช่นนี้ คันหลังต้องรับผิดชอบต่อคันหน้า ตามเหตุการณ์ ถ้าชนต่อเป็นทอด ๆ ก็รับผิดชดใช้หน้าใครไปโดนท้ายใครก็เคลมประกันกันไป แต่ถ้าหากว่าคันหลังขับตามห่างพอสมควรแล้ว แต่คันหน้าหยุดกระทันหัน(ให้ไฟแดง หรือแตะเบรค ก่อนหยุดน้อยกว่า 30 เมตร) โดยไม่มีเหตุสุดวิสัยใดๆ เช่น หยุดคุยโทรศัพท์ แตะเบรคเพราะเลยซอย เช่นนี้ คันหน้าต้องรับผิดต่อคันหลัง แม้คันหลังไม่ได้ชน แต่หักหลบได้ทัน แต่ไปล้มลงจนได้รับอันตราย แต่ถ้าคันแรกหยุดกระทันกันโดยไม่มีเหตุสุดวิสัยและคันหลังขับจี้ท้ายมาด้วยเช่นนี้ถือว่าต่างฝ่ายต่างมีความประมาท หรืออีกกรณีหนึ่ง คันที่ 1,2,3 ขับมาหยุดรอไฟแดง คันที่ 4 หยุดไม่ทัน ชนท้ายคันที่ 3 ๆ ไปชนคันที่ 2ๆไปชนท้ายคันที่ 1 เป็นโดมิโน เช่นนี้ คันที่ 4 ต้องรับผิดชอบทั้ง 3 คันแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7143/2544
ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์แซงรถโดยสารประจำทางที่จำเลยขับห่าง 1 เมตรเศษ แล้วรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับได้เสียหลักล้มลงรถยนต์โดยสารประจำทางที่จำเลยขับจึงได้แล่นทับผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ การที่รถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับแซงแล้วเสียหลักล้มลงอย่างกะทันหันหน้ารถยนต์โดยสารประจำทางที่จำเลยขับห่าง 1 เมตรเศษ เป็นระยะกระชั้นชิดจนเหลือวิสัยที่จำเลยจะหยุดรถได้ทัน กรณีเป็นเหตุสุดวิสัยที่บุคคลในภาวะเช่นจำเลยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงมิใช่เกิดจากความประมาทของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 383/2537
จำเลยขับรถยนต์ไปด้วยความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงผู้ตายได้วิ่งไล่ตี ช. ข้ามถนนตัดหน้าช่องเดินรถที่จำเลยขับไปแล้ว แต่ได้มีรถยนต์อีกคันหนึ่งแล่นมา ผู้ตายจึงชะงักและถอยหลังเข้ามาทางช่องเดินรถของจำเลยโดยกะทันหัน และในระยะกระชั้นชิดทำให้จำเลยไม่สามารถหยุดรถหรือหลบไปทางอื่นได้ทันท่วงทีและในภาวะเช่นนั้นจำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่า จะมีคนวิ่งข้ามถนนตัดหน้าช่องเดินรถที่จำเลยขับไปแล้วกลับชะงัก และถอยหลังเข้ามาขวางหน้ารถยนต์ที่จำเลยขับไปอีก การที่จำเลยขับรถยนต์ชนผู้ตายจึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่อาจป้องกันได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3950/2536
แม้จำเลยที่ 1 จะขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูง แต่ทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ประกอบกับมีรอยห้ามล้อของรถยนต์ก่อนถึงจุดชนเป็นระยะทางประมาณ 6 เมตร ย่อมแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้พยายามหยุดรถยนต์เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดการชนกันขึ้น แต่สาเหตุที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นก็เนื่องจากจำเลยที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวตัดหน้ารถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับในระยะกระชั้นชิดจนเหลือวิสัยที่จำเลยที่ 1จะหยุดรถได้ทัน กรณีจึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่บุคคลในภาวะเช่นจำเลยที่ 1 ไม่อาจหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ การที่รถทั้งสองคันเกิดชนกันจึงหาได้เกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2731/2535
ขณะเกิดเหตุจำเลยลดความเร็วของรถลงเหลือประมาณ 25-30กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพราะเห็นว่าเป็นทางร่วมทางแยกและเห็นผู้ตายยืนอยู่บนถนนด้วย เหตุที่รถของจำเลยเฉี่ยวจำเลยเป็นเพราะขณะนั้นจำเลยมองไม่เห็นผู้ตาย เนื่องจากมีรถตู้ขับคู่มากับรถของจำเลยทางช่องทางที่ 3 ทางขวามือบังผู้ตายไว้ เมื่อผู้ตายหลบรถตู้คันดังกล่าวมาทางรถของจำเลยในระยะกระชั้นชิด จำเลยจึงห้ามล้อกะทันหัน แต่รถไม่หยุดในทันที และเฉี่ยวผู้ตายทางขวาของรถเป็นเหตุให้ผู้ตายล้มลง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เป็นเพราะความประมาทของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326/2522
จำเลยขับรถหลบรถของ ผ. ที่ขับสวนล้ำเส้นทางมาในระยะกระชั้นชิด จึงบังคับรถไม่ได้ ไปชนรถของโจทก์ที่คนขับหลบรถออกนอกเขตถนนมา ดังนี้ ไม่ใช่จำเลยประมาทแต่เกิดจากเหตุสุดวิสัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1503/2514
จำเลยขับรถยนต์เบนไปทางขวาคร่อมกึ่งกลางถนน เพื่อจะหลบให้พ้นท้ายรถยนต์โดยสารซึ่งวิ่งสวนทางมาและเลี้ยวขวาตัดหน้ารถจำเลยเพื่อจะเข้าซอยโดยจำเลยเห็นว่าทางข้างหน้าปลอดภัย ไม่มีรถสวนมานั้นย่อมอยู่ในวิสัยที่จำเลยกระทำได้ บังเอิญผู้ตายวิ่งโผล่พ้นท้ายรถยนต์โดยสารออกมาอยู่ห่างรถจำเลยเป็นระยะ 1 วานั้น เป็นระยะกระชั้นชิด รถจำเลยจึงชนผู้ตายถึงแก่ความตาย แม้ว่าจุดที่ผู้ตายถูกรถยนต์จำเลยชนจะอยู่พ้นกึ่งกลางถนนไปเล็กน้อย ซึ่งปกติถือว่ามิใช่ทางวิ่งของรถจำเลยก็ตามก็ถือได้ว่าการที่จำเลยขับรถชนผู้ตายเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่อาจป้องกันได้
แม้จำเลยจะขับรถเร็วอันเป็นการฝ่าฝืนกฎจราจรก็ตาม ก็เป็นคนละเรื่องมิใช่เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้ผู้ตายถูกรถจำเลยชน ย่อมถือได้ว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานขับรถยนต์ชนผู้ตายโดยประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 140/2494
ขับรถยนต์รับคนโดยสารมาตามถนน เผอิญเกิดยิงกันเกี่ยวกับการจราจลจึงขับรถหนี แม้จะเร็วจนถึงขนาดผิดกฎจราจร ก็ได้รับยกเว้นโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 49 เพราะถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อหลบหนีภยันตรายอันร้ายแรง เมื่อเอาผิดในตอนนี้ไม่ได้ การวิ่งตัดหน้ารถยนต์ภายในระยะ 1 วา คนขับห้ามล้อรถหยุดไม่ทัน ทั้ง ๆ ที่ห้ามล้อดี วินิจฉัยว่าวิ่งตัดหน้ารถยนต์ในระยะกระชั้นชิด ใช่วิสัยที่จะป้องกันมิให้รถยนต์ทับได้ การที่รถยนต์ทับคนที่วิ่งตัดหน้ารถนั้นจึงเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เรื่องผู้ขับรถประมาท
นอกจากนี้ในมาตรา 78 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ไม่ว่าผู้ขับขี่ , ขี่ , ควบคุมสัตว์ จะเป็นฝ่ายผิดหรือไม่ ต้องหยุดรถ และให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใกล้เคียงทันที และแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองให้ผู้ได้รับความเสียหายทราบด้วย ได้แก่ ชื่อนามสกุล ที่อยู่ ทะเบียนรถ (ควรเพิ่มหมายเลขโทรศัพท์ และโทรเรียกประกันด้วย)
มาตรา 78 ผู้ใดขับรถหรือขี่หรือควบคุมสัตว์ในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หรือไม่ก็ตาม ต้องหยุดรถ หรือสัตว์ และให้ความช่วยเหลือตามสมควร และพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อตำรวจที่ใกล้เคียงทันที กับต้องแจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล และที่อยู่ของตนและหมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้ได้รับความเสียหายด้วย
ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หลบหนีไปหรือไม่แสดงตัวต่อตำรวจ ณ สถานที่เกิดเหตุ ให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำความผิดและให้ตำรวจมีอำนาจยึดรถคันที่ผู้ขับขี่หลบหนีหรือไม่แสดงตนว่าเป็นผู้ขับขี่ จนกว่าคดีถึงที่สุดหรือได้ตัวผู้ขับขี่ ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่แสดงตัวต่อตำรวจภายในหกเดือนนับแต่วันเกิดเหตุ ให้ถือว่ารถนั้นเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือเกี่ยวกับการกระทำความผิด และให้ตกเป็นของรัฐ
(โดย พ.ต.ท.ภูมิรพี ผลาภูมิ ผู้เขียน)✅
คำถาม รถคันหลังต้องระวังรถคันหน้า หรือ รถคันหน้าต้องระวังรถคันหลังครับ❓และหยุดรถโดยกระทันหันได้หรือไม่❓
คำตอบ ต่างต้องระมัดระวังด้วยกันทั้งคู่ครับ
ไปดูมาตรา 40+(36,37,38,54,68) พรบ.จราจรทางบก ฯ หลักทั่วไป 1. รถคันหลังต้องขับให้ห่างรถคันหน้าพอสมควรในระยะที่จะหยุดรถได้โดยปลอดภัยเมื่อจำเป็นต้องหยุด 2. รถคันหน้าจะหยุดรถต้องลดความเร็วและให้ไฟสัญญาณสีแดงที่ท้ายรถ(เหยียบเบรค)ไม่น้อยกว่า 30 เมตรก่อนหยุด ให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถอื่นเห็นได้ในระยะไม่น้อยกว่า 60 เมตร และจะหยุดรถหรือจอดรถได้เมื่อผู้ขับขี่เห็นว่าปลอดภัย และไม่เป็นการกีดขวางการจราจร , 3. ข้อยกเว้น ถ้ามีเหตุสุดวิสัยนอกเหนือการบังคับ เช่น มีคนหรือสัตว์วิ่งตัดหน้า ,รถคันหน้าหยุดกระทันหัน,มีสิ่งกีดขวางทางจราจรที่ไม่อาจมองเห็นได้ในระยะไกล เช่น เวลากลางคืนรถเสียบนทางไม่มีป้ายหรือสัญญาณไฟเตือน , ทางข้างหน้าถนนเป็นหลุมหรือทางขาด ,ยางระเบิด เมื่อเป็นเหตุสุดวิสัย คันที่ 1 แม้จะแตะเบรคน้อยกว่า 30 เมตรก็ไม่ผิด ส่วนคันที่ 2 ถ้าได้ขับตามหลังคันแรกในระยะห่างพอสมควรแม้เบรคกระทันหันเนื่องจากเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากคันแรกหยุดกระทันหัน แล้วมีรถคันที่ 3 ซึ่งขับตามหลังคันที่ 2 ในระยะห่างพอสมควรมาชน คันที่ 2 หรือเสียหลักเพราะหักหลบรถคันที่ 2 เมื่อเป็นเหตุสุดวิสัยรถคันที่ 1,2,3 จึงไม่มีความผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา ต่อกัน แต่ถ้ามีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นกับรถคันแรกแต่คันหลังแต่ละคันต่างขับจี้ท้ายคันหน้าตัวเอง พอคันแรกเบรค คันต่อๆ มาจึงชนท้ายต่อกันเป็นทอดๆ เช่นนี้ คันหลังต้องรับผิดชอบต่อคันหน้า ตามเหตุการณ์ ถ้าชนต่อเป็นทอด ๆ ก็รับผิดชดใช้หน้าใครไปโดนท้ายใครก็เคลมประกันกันไป แต่ถ้าหากว่าคันหลังขับตามห่างพอสมควรแล้ว แต่คันหน้าหยุดกระทันหัน(ให้ไฟแดง หรือแตะเบรค ก่อนหยุดน้อยกว่า 30 เมตร) โดยไม่มีเหตุสุดวิสัยใดๆ เช่น หยุดคุยโทรศัพท์ แตะเบรคเพราะเลยซอย เช่นนี้ คันหน้าต้องรับผิดต่อคันหลัง แม้คันหลังไม่ได้ชน แต่หักหลบได้ทัน แต่ไปล้มลงจนได้รับอันตราย แต่ถ้าคันแรกหยุดกระทันกันโดยไม่มีเหตุสุดวิสัยและคันหลังขับจี้ท้ายมาด้วยเช่นนี้ถือว่าต่างฝ่ายต่างมีความประมาท หรืออีกกรณีหนึ่ง คันที่ 1,2,3 ขับมาหยุดรอไฟแดง คันที่ 4 หยุดไม่ทัน ชนท้ายคันที่ 3 ๆ ไปชนคันที่ 2ๆไปชนท้ายคันที่ 1 เป็นโดมิโน เช่นนี้ คันที่ 4 ต้องรับผิดชอบทั้ง 3 คันแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7143/2544
ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์แซงรถโดยสารประจำทางที่จำเลยขับห่าง 1 เมตรเศษ แล้วรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับได้เสียหลักล้มลงรถยนต์โดยสารประจำทางที่จำเลยขับจึงได้แล่นทับผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ การที่รถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับแซงแล้วเสียหลักล้มลงอย่างกะทันหันหน้ารถยนต์โดยสารประจำทางที่จำเลยขับห่าง 1 เมตรเศษ เป็นระยะกระชั้นชิดจนเหลือวิสัยที่จำเลยจะหยุดรถได้ทัน กรณีเป็นเหตุสุดวิสัยที่บุคคลในภาวะเช่นจำเลยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงมิใช่เกิดจากความประมาทของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 383/2537
จำเลยขับรถยนต์ไปด้วยความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงผู้ตายได้วิ่งไล่ตี ช. ข้ามถนนตัดหน้าช่องเดินรถที่จำเลยขับไปแล้ว แต่ได้มีรถยนต์อีกคันหนึ่งแล่นมา ผู้ตายจึงชะงักและถอยหลังเข้ามาทางช่องเดินรถของจำเลยโดยกะทันหัน และในระยะกระชั้นชิดทำให้จำเลยไม่สามารถหยุดรถหรือหลบไปทางอื่นได้ทันท่วงทีและในภาวะเช่นนั้นจำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่า จะมีคนวิ่งข้ามถนนตัดหน้าช่องเดินรถที่จำเลยขับไปแล้วกลับชะงัก และถอยหลังเข้ามาขวางหน้ารถยนต์ที่จำเลยขับไปอีก การที่จำเลยขับรถยนต์ชนผู้ตายจึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่อาจป้องกันได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3950/2536
แม้จำเลยที่ 1 จะขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูง แต่ทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ประกอบกับมีรอยห้ามล้อของรถยนต์ก่อนถึงจุดชนเป็นระยะทางประมาณ 6 เมตร ย่อมแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้พยายามหยุดรถยนต์เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดการชนกันขึ้น แต่สาเหตุที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นก็เนื่องจากจำเลยที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวตัดหน้ารถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับในระยะกระชั้นชิดจนเหลือวิสัยที่จำเลยที่ 1จะหยุดรถได้ทัน กรณีจึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่บุคคลในภาวะเช่นจำเลยที่ 1 ไม่อาจหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ การที่รถทั้งสองคันเกิดชนกันจึงหาได้เกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2731/2535
ขณะเกิดเหตุจำเลยลดความเร็วของรถลงเหลือประมาณ 25-30กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพราะเห็นว่าเป็นทางร่วมทางแยกและเห็นผู้ตายยืนอยู่บนถนนด้วย เหตุที่รถของจำเลยเฉี่ยวจำเลยเป็นเพราะขณะนั้นจำเลยมองไม่เห็นผู้ตาย เนื่องจากมีรถตู้ขับคู่มากับรถของจำเลยทางช่องทางที่ 3 ทางขวามือบังผู้ตายไว้ เมื่อผู้ตายหลบรถตู้คันดังกล่าวมาทางรถของจำเลยในระยะกระชั้นชิด จำเลยจึงห้ามล้อกะทันหัน แต่รถไม่หยุดในทันที และเฉี่ยวผู้ตายทางขวาของรถเป็นเหตุให้ผู้ตายล้มลง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เป็นเพราะความประมาทของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326/2522
จำเลยขับรถหลบรถของ ผ. ที่ขับสวนล้ำเส้นทางมาในระยะกระชั้นชิด จึงบังคับรถไม่ได้ ไปชนรถของโจทก์ที่คนขับหลบรถออกนอกเขตถนนมา ดังนี้ ไม่ใช่จำเลยประมาทแต่เกิดจากเหตุสุดวิสัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1503/2514
จำเลยขับรถยนต์เบนไปทางขวาคร่อมกึ่งกลางถนน เพื่อจะหลบให้พ้นท้ายรถยนต์โดยสารซึ่งวิ่งสวนทางมาและเลี้ยวขวาตัดหน้ารถจำเลยเพื่อจะเข้าซอยโดยจำเลยเห็นว่าทางข้างหน้าปลอดภัย ไม่มีรถสวนมานั้นย่อมอยู่ในวิสัยที่จำเลยกระทำได้ บังเอิญผู้ตายวิ่งโผล่พ้นท้ายรถยนต์โดยสารออกมาอยู่ห่างรถจำเลยเป็นระยะ 1 วานั้น เป็นระยะกระชั้นชิด รถจำเลยจึงชนผู้ตายถึงแก่ความตาย แม้ว่าจุดที่ผู้ตายถูกรถยนต์จำเลยชนจะอยู่พ้นกึ่งกลางถนนไปเล็กน้อย ซึ่งปกติถือว่ามิใช่ทางวิ่งของรถจำเลยก็ตามก็ถือได้ว่าการที่จำเลยขับรถชนผู้ตายเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่อาจป้องกันได้
แม้จำเลยจะขับรถเร็วอันเป็นการฝ่าฝืนกฎจราจรก็ตาม ก็เป็นคนละเรื่องมิใช่เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้ผู้ตายถูกรถจำเลยชน ย่อมถือได้ว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานขับรถยนต์ชนผู้ตายโดยประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 140/2494
ขับรถยนต์รับคนโดยสารมาตามถนน เผอิญเกิดยิงกันเกี่ยวกับการจราจลจึงขับรถหนี แม้จะเร็วจนถึงขนาดผิดกฎจราจร ก็ได้รับยกเว้นโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 49 เพราะถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อหลบหนีภยันตรายอันร้ายแรง เมื่อเอาผิดในตอนนี้ไม่ได้ การวิ่งตัดหน้ารถยนต์ภายในระยะ 1 วา คนขับห้ามล้อรถหยุดไม่ทัน ทั้ง ๆ ที่ห้ามล้อดี วินิจฉัยว่าวิ่งตัดหน้ารถยนต์ในระยะกระชั้นชิด ใช่วิสัยที่จะป้องกันมิให้รถยนต์ทับได้ การที่รถยนต์ทับคนที่วิ่งตัดหน้ารถนั้นจึงเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เรื่องผู้ขับรถประมาท
นอกจากนี้ในมาตรา 78 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ไม่ว่าผู้ขับขี่ , ขี่ , ควบคุมสัตว์ จะเป็นฝ่ายผิดหรือไม่ ต้องหยุดรถ และให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใกล้เคียงทันที และแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองให้ผู้ได้รับความเสียหายทราบด้วย ได้แก่ ชื่อนามสกุล ที่อยู่ ทะเบียนรถ (ควรเพิ่มหมายเลขโทรศัพท์ และโทรเรียกประกันด้วย)
มาตรา 78 ผู้ใดขับรถหรือขี่หรือควบคุมสัตว์ในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หรือไม่ก็ตาม ต้องหยุดรถ หรือสัตว์ และให้ความช่วยเหลือตามสมควร และพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อตำรวจที่ใกล้เคียงทันที กับต้องแจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล และที่อยู่ของตนและหมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้ได้รับความเสียหายด้วย
ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หลบหนีไปหรือไม่แสดงตัวต่อตำรวจ ณ สถานที่เกิดเหตุ ให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำความผิดและให้ตำรวจมีอำนาจยึดรถคันที่ผู้ขับขี่หลบหนีหรือไม่แสดงตนว่าเป็นผู้ขับขี่ จนกว่าคดีถึงที่สุดหรือได้ตัวผู้ขับขี่ ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่แสดงตัวต่อตำรวจภายในหกเดือนนับแต่วันเกิดเหตุ ให้ถือว่ารถนั้นเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือเกี่ยวกับการกระทำความผิด และให้ตกเป็นของรัฐ
(โดย พ.ต.ท.ภูมิรพี ผลาภูมิ ผู้เขียน)✅