ความเดิมจากตอนที่แล้ว...
เรานอนที่สวิตเซอร์แลนด์กัน 2 คืน ขึ้นเขาลงเขา เที่ยวเมือง Basel รับประทานอาหารครบทุกมื้อ มีทั้งโต๊ะจีนแบบ Default และอาหารท้องถิ่น ส่วนตัวเราโอเคมาก เพราะชอบชีส และอาหารเช้าแนวนี้ โกโก้ร้อนก็มี ใครสะดวกไข้ต้มก็มี หรือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คุณไกด์เราก็มีพกติดมาบริการ
ทิ้งทายด้วยภาพวิวจากโรงแรม Holiday Inn Express Luzern-Neuenkirch ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คือ ตื่นเช้ามารอขึ้นรถ ก็จะได้เห็นภาพนี้ แทบอยากจะหากระโปรงวิ่งกลางทุ่ง อินเนอร์นางเอก The Sound of Music
เรานั่งรถบัสมาสถานี Basel ของสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อนั่งรถ TGV หรือรถไฟความเร็วสูงไปลงที่สถานี Paris Gare de Lyon ประเทศฝรั่งเศส ระยะเวลาการเดินทางสามชั่วโมงนิดๆ สะดวกสะบายพอสมควรนะคะ สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย เขาจะมีการระบุที่นั่งไว้ และมีนายตรวจขึ้นมาตรวจว่า เราไม่ได้เนียนมานั่งฟรี พอผ่านด่านเข้าประเทศฝรั่งเศส ก็มีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาอีกชุด ไม่ได้ขอดูอะไรมากมายค่ะ
รถไฟวิ่งด้วยความเร็ว 250-280 กม ต่อชั่วโมงโดยประมาณ ตรงเวลาเป๊ะ ทั้งเวลาออกและเวลาถึงที่หมาย ตามมาตรฐานขนส่งสาธารณะของเขา
ถึงสถานี Gare de Lyon มีรถบัสมารอรับพาเราไปถ่ายรูปกับหอไอเฟลตรงแถวๆ Palais de Chaillot ที่ว่ากันว่าเห็นคุณนายไอเฟลเต็มๆ ชัดๆ
เอาจริงๆ มาเจอกี่ครั้ง ก็ยังรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ อลังการของสิ่งก่อสร้างนี้อยู่นั่นเอง ครั้งนี้นางดูแปลกตาเพราะมีดาวสีเหลืองประดับ ที่พีคสำหรับเราคือ ครั้งนี้ท้องฟ้าเป็นใจมาก นี่เป็นภาพถ่ายจากไอโฟนและไม่ได้แต่งภาพเลย (เพราะแต่งไม่ค่อยเป็น
) ตรงบริเวณนี่จะมีนักท่องเที่ยวอยู๋พอสมควร และแผงแบกะดินขายของที่ระลึก ซึ่งทุกท่านควรระมัดระวัง "พี่มิจ (ฉาชีพ)" กันให้มากๆ ไกด์ที่ดี คงจะต้องย้ำแล้วย้ำอีกละค่ะ ตรงนี้ ใครสะดวกอยากถอดหน้ากากถ่ายรูปก็คงไม่มีใครว่า แต่เรามาลองหันหลังถ่ายภาพละกัน ได้อารมณ์ติสท์อีกแบบ
จากตรงนี้เราไปล่องเรือแม่น้ำแซนน์ค่ะ อย่างที่บอกคือ เป็นวันที่อากาศดีมาก อุณหภูมิประมาณ 16-18 องศา นั่งเรือชั้นบนไปตามแม่น้ำ ลอดใต้สะพานเก่าแก่ในปารีสนับสิบสะพาน เวลาผ่านใต้สะพานที จะมีเสียงฮือฮาของเด็กเล็กเด็กโต นี่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า กรี๊ดอะไรกัน
การล่องเรือไปแบบนี้ ก็จะทำให้เราได้เห็นหอไอเฟลตามจุดต่างๆ ด้วย นี่ก็พระอาทิตย์กำลังจะตกพอดีค่ะ
ใครใคร่ช้อปแวะช้อป ส่วนเราก็มาถ่ายรูปด้านหน้า Louvre ต่อ แค่ได้ถ่ายรูปก็ฟินแล้ว ภาพยนตร์และหนังสือเรื่อง รหัสลับดาวินชี่ เข้ามาในหัวทันที ส่วนตัวยังไม่เคยได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์นี้เลยสักครั้ง แต่ดูจากประชากรนักท่องเที่ยวและความนิยมแล้ว ขออาศัยดูจากหนังไปก่อนค่ะ อิอิ จากตรงนี้เราได้ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าใหม่แห่งหนึ่งที่ชื่อ La Samaritaine ที่อยู่ใกล้สถานีรถใต้ดินด้วย แบบว่าหรูหรา สายช้อปน่าจะถูกใจ
เราพักที่โรงแรม IBIS Roissy การข้ามพรมแดนจากสวิสมาฝรั่งเศส เราไม่ได้ต้องตรวจ PCR เพิ่ม มาถึงโรงแรมเพียงโชว์หน้าแอพ เช็คอินปกติ พนักงานในโรงแรม ในร้านอาหาร จะสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ในห้องอาหารเช้า เวลาเดินตักอาหาร พนักงานจะเดินมาบอกให้ใช้ถาดและใส่หน้ากากด้วยค่ะ ถอดเฉพาะตอนรับประทานอาหารจริงๆ หน้าลิฟต์จะมีข้อความติดไว้ว่าลิฟต์ผ่านการฆ่าเชื่อสม่ำเสมอด้วย ที่สำคัญคือ โรงแรมมีโกโก้ร้อนบริการ
เช้าวันต่อมา คือวันที่เรารอคอย เพราะเราจะได้ไปเยื่อนพระราชวังแวร์ซายส์ หรือ Chateau de Versailles อีกครั้ง ได้ข่าวว่ามีการบูรณะครั้งใหญ่ในช่วงโควิด มาครั้งนี้ทุกอย่าง ทุกห้องเลยดูเอี่ยมอ่อง แวววาว อลังการ ไม่ว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี คศ 1789 จะจบลงอย่างไร ส่วนตัวเรายังรู้สึกว่าพระราชวังแห่งนี้คือซิกเนเจอร์สำคัญของประเทศนี้ ที่ถ้าไม่ได้มา ก็ถือว่ายังไม่ถึงประเทศฝรั่งเศสอะ ครั้งนี้เราได้ไกด์ท้องถิ่นที่ชื่อพี่ดา (ไม่เหมือนกับไกด์ผู้ชายที่เคยนำทัวร์ที่นี่) เลยได้ความรู้อะไรเพิ่มขึ้นมาอีก เกี่ยวกับพระนางมารีอังตัวแน็ต พระเจ้าหลุยส์ และ ราชวงศ์บูร์บอง
หมายเหตุนิดนึง ว่าการ์ดที่นี่จะตรวจเข้มมาก ต้องแสดงแอพที่แจ้งวัคซีนที่เราได้รับและ วัคซีนบางตัวจากบ้านเรา ไม่สามารถเข้าได้ เพราะเมื่อแสกนคิวอาร์โค้ดแล้วจะขึ้นว่า invalid ส่วนตัว จขกท คือ ซิโนแวค สองเข็ม ตามด้วย แอสตร้า เซเนก้า ลูกสาวโหลดแอพให้ ไม่มีปัญหาอะไรเลย
เอาจริงๆ ที่นี่ยังคงมีนักท่องเที่ยวมาชมมากมาย แต่ไม่แออัดเท่าที่เคยเห็น ภายในเดินสบายๆ ไม่เร่งรีบ ครั้งนี้ได้เข้าชมห้องบรรทมของพระนางมารีอังตัวเน็ตต์ด้วย (คราวก่อนปิด) ห้องกระจกที่ท่านโกษาปานมาพร้อมคณะราชฑูตสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ได้เข้านะคะ
เป็นอีกวันที่ท้องฟ้าใส เป็นใจมาก ถ่ายรูปสวยแบบไม่ต้องแต่งภาพ
ไกด์แนะนำว่า ให้แต่งกายสุภาพในการเข้าชม นี่ก็แต่งตัวมิดชิดมาก เพราะหนาวนั่นเอง ไม่ใช่อะไร
เข้าเฝ้าฯ เรียบร้อย เราแวะรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านนี้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพระราชวัง อาหารรสชาติดีนะคะ แต่ในความหิวมาก ไม่มีใครถ่ายภาพอาหารแต่อย่างใด
ร่ำลาประเทศฝรั่งเศสกันตรงนี้ ช่วงบ่ายเราเดินทางไปเมืองบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยมค่ะ โปรดติดตามตอนต่อไป
ตอนที่ 1
https://ppantip.com/topic/41190261
ขอบพระคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ
กาลคร้งหนึ่ง..ของการท่องเที่ยว Ep.02
เรานอนที่สวิตเซอร์แลนด์กัน 2 คืน ขึ้นเขาลงเขา เที่ยวเมือง Basel รับประทานอาหารครบทุกมื้อ มีทั้งโต๊ะจีนแบบ Default และอาหารท้องถิ่น ส่วนตัวเราโอเคมาก เพราะชอบชีส และอาหารเช้าแนวนี้ โกโก้ร้อนก็มี ใครสะดวกไข้ต้มก็มี หรือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คุณไกด์เราก็มีพกติดมาบริการ
ทิ้งทายด้วยภาพวิวจากโรงแรม Holiday Inn Express Luzern-Neuenkirch ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คือ ตื่นเช้ามารอขึ้นรถ ก็จะได้เห็นภาพนี้ แทบอยากจะหากระโปรงวิ่งกลางทุ่ง อินเนอร์นางเอก The Sound of Music
เรานั่งรถบัสมาสถานี Basel ของสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อนั่งรถ TGV หรือรถไฟความเร็วสูงไปลงที่สถานี Paris Gare de Lyon ประเทศฝรั่งเศส ระยะเวลาการเดินทางสามชั่วโมงนิดๆ สะดวกสะบายพอสมควรนะคะ สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย เขาจะมีการระบุที่นั่งไว้ และมีนายตรวจขึ้นมาตรวจว่า เราไม่ได้เนียนมานั่งฟรี พอผ่านด่านเข้าประเทศฝรั่งเศส ก็มีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาอีกชุด ไม่ได้ขอดูอะไรมากมายค่ะ
รถไฟวิ่งด้วยความเร็ว 250-280 กม ต่อชั่วโมงโดยประมาณ ตรงเวลาเป๊ะ ทั้งเวลาออกและเวลาถึงที่หมาย ตามมาตรฐานขนส่งสาธารณะของเขา
ถึงสถานี Gare de Lyon มีรถบัสมารอรับพาเราไปถ่ายรูปกับหอไอเฟลตรงแถวๆ Palais de Chaillot ที่ว่ากันว่าเห็นคุณนายไอเฟลเต็มๆ ชัดๆ
เอาจริงๆ มาเจอกี่ครั้ง ก็ยังรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ อลังการของสิ่งก่อสร้างนี้อยู่นั่นเอง ครั้งนี้นางดูแปลกตาเพราะมีดาวสีเหลืองประดับ ที่พีคสำหรับเราคือ ครั้งนี้ท้องฟ้าเป็นใจมาก นี่เป็นภาพถ่ายจากไอโฟนและไม่ได้แต่งภาพเลย (เพราะแต่งไม่ค่อยเป็น) ตรงบริเวณนี่จะมีนักท่องเที่ยวอยู๋พอสมควร และแผงแบกะดินขายของที่ระลึก ซึ่งทุกท่านควรระมัดระวัง "พี่มิจ (ฉาชีพ)" กันให้มากๆ ไกด์ที่ดี คงจะต้องย้ำแล้วย้ำอีกละค่ะ ตรงนี้ ใครสะดวกอยากถอดหน้ากากถ่ายรูปก็คงไม่มีใครว่า แต่เรามาลองหันหลังถ่ายภาพละกัน ได้อารมณ์ติสท์อีกแบบ
จากตรงนี้เราไปล่องเรือแม่น้ำแซนน์ค่ะ อย่างที่บอกคือ เป็นวันที่อากาศดีมาก อุณหภูมิประมาณ 16-18 องศา นั่งเรือชั้นบนไปตามแม่น้ำ ลอดใต้สะพานเก่าแก่ในปารีสนับสิบสะพาน เวลาผ่านใต้สะพานที จะมีเสียงฮือฮาของเด็กเล็กเด็กโต นี่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า กรี๊ดอะไรกัน
การล่องเรือไปแบบนี้ ก็จะทำให้เราได้เห็นหอไอเฟลตามจุดต่างๆ ด้วย นี่ก็พระอาทิตย์กำลังจะตกพอดีค่ะ
ใครใคร่ช้อปแวะช้อป ส่วนเราก็มาถ่ายรูปด้านหน้า Louvre ต่อ แค่ได้ถ่ายรูปก็ฟินแล้ว ภาพยนตร์และหนังสือเรื่อง รหัสลับดาวินชี่ เข้ามาในหัวทันที ส่วนตัวยังไม่เคยได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์นี้เลยสักครั้ง แต่ดูจากประชากรนักท่องเที่ยวและความนิยมแล้ว ขออาศัยดูจากหนังไปก่อนค่ะ อิอิ จากตรงนี้เราได้ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าใหม่แห่งหนึ่งที่ชื่อ La Samaritaine ที่อยู่ใกล้สถานีรถใต้ดินด้วย แบบว่าหรูหรา สายช้อปน่าจะถูกใจ
เราพักที่โรงแรม IBIS Roissy การข้ามพรมแดนจากสวิสมาฝรั่งเศส เราไม่ได้ต้องตรวจ PCR เพิ่ม มาถึงโรงแรมเพียงโชว์หน้าแอพ เช็คอินปกติ พนักงานในโรงแรม ในร้านอาหาร จะสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ในห้องอาหารเช้า เวลาเดินตักอาหาร พนักงานจะเดินมาบอกให้ใช้ถาดและใส่หน้ากากด้วยค่ะ ถอดเฉพาะตอนรับประทานอาหารจริงๆ หน้าลิฟต์จะมีข้อความติดไว้ว่าลิฟต์ผ่านการฆ่าเชื่อสม่ำเสมอด้วย ที่สำคัญคือ โรงแรมมีโกโก้ร้อนบริการ
เช้าวันต่อมา คือวันที่เรารอคอย เพราะเราจะได้ไปเยื่อนพระราชวังแวร์ซายส์ หรือ Chateau de Versailles อีกครั้ง ได้ข่าวว่ามีการบูรณะครั้งใหญ่ในช่วงโควิด มาครั้งนี้ทุกอย่าง ทุกห้องเลยดูเอี่ยมอ่อง แวววาว อลังการ ไม่ว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี คศ 1789 จะจบลงอย่างไร ส่วนตัวเรายังรู้สึกว่าพระราชวังแห่งนี้คือซิกเนเจอร์สำคัญของประเทศนี้ ที่ถ้าไม่ได้มา ก็ถือว่ายังไม่ถึงประเทศฝรั่งเศสอะ ครั้งนี้เราได้ไกด์ท้องถิ่นที่ชื่อพี่ดา (ไม่เหมือนกับไกด์ผู้ชายที่เคยนำทัวร์ที่นี่) เลยได้ความรู้อะไรเพิ่มขึ้นมาอีก เกี่ยวกับพระนางมารีอังตัวแน็ต พระเจ้าหลุยส์ และ ราชวงศ์บูร์บอง
หมายเหตุนิดนึง ว่าการ์ดที่นี่จะตรวจเข้มมาก ต้องแสดงแอพที่แจ้งวัคซีนที่เราได้รับและ วัคซีนบางตัวจากบ้านเรา ไม่สามารถเข้าได้ เพราะเมื่อแสกนคิวอาร์โค้ดแล้วจะขึ้นว่า invalid ส่วนตัว จขกท คือ ซิโนแวค สองเข็ม ตามด้วย แอสตร้า เซเนก้า ลูกสาวโหลดแอพให้ ไม่มีปัญหาอะไรเลย
เอาจริงๆ ที่นี่ยังคงมีนักท่องเที่ยวมาชมมากมาย แต่ไม่แออัดเท่าที่เคยเห็น ภายในเดินสบายๆ ไม่เร่งรีบ ครั้งนี้ได้เข้าชมห้องบรรทมของพระนางมารีอังตัวเน็ตต์ด้วย (คราวก่อนปิด) ห้องกระจกที่ท่านโกษาปานมาพร้อมคณะราชฑูตสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ได้เข้านะคะ
เป็นอีกวันที่ท้องฟ้าใส เป็นใจมาก ถ่ายรูปสวยแบบไม่ต้องแต่งภาพ
ไกด์แนะนำว่า ให้แต่งกายสุภาพในการเข้าชม นี่ก็แต่งตัวมิดชิดมาก เพราะหนาวนั่นเอง ไม่ใช่อะไร
เข้าเฝ้าฯ เรียบร้อย เราแวะรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านนี้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพระราชวัง อาหารรสชาติดีนะคะ แต่ในความหิวมาก ไม่มีใครถ่ายภาพอาหารแต่อย่างใด
ร่ำลาประเทศฝรั่งเศสกันตรงนี้ ช่วงบ่ายเราเดินทางไปเมืองบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยมค่ะ โปรดติดตามตอนต่อไป
ตอนที่ 1 https://ppantip.com/topic/41190261
ขอบพระคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ