รู้สึกเป็นตู้เอทีเอ็มของญาติสนิท ทำอย่างไรดีครับ

ผมทำงานมาประมาณ 3 ปีครับ กำลังเริ่มก่อร่างสร้างตัว เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อเดือนที่แล้วผมตัดสินใจย้ายงาน แล้วที่ทำงานใหม่ส่ง Offer Letter ไปที่บ้าน (ผมอยู่คอนโดครับ แต่ใน CV ใส่ที่อยู่บ้านตามบัตรประชาชนไป) คุณยายที่บ้านเปิดอ่านเลยรู้เงินเดือนที่ใหม่ครับ ตอนแรกคิดว่าไม่เป็นไร แต่ยายดันเอาไปโม้กับญาติๆ อาจจะแค่ญาติที่สนิท ล่าสุดกินข้าวรวมญาติก็เหมือนโดนสัมภาษณ์เรื่องเงินเดือนกลางโต๊ะเลย อึดอัดมากๆครับ ประกอบกับผมกำลังลงทุนเปิดธุรกิจโดยสร้างบนที่ดินของที่บ้าน แต่ใช้เงินเก็บของผมก่อสร้าง ที่นี้พอที่บ้านช่วยเอาแบบไปช่วยหารับเหมาหลายๆเจ้า ราคาออกมาญาติๆก็คิดว่าผมรวยมีเงินเก็บเยอะ ซึ่งจริงๆแล้วผมทุ่มแทบหมดตัวเลยครับ ไม่ได้รวยอะไร ปัญหาที่ตามมาคือ ญาติที่สนิทมากๆไลน์มาขอยืมเงินครับ สองคนพร้อมกันตอนนี้รวมกัน 110k แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้เคยยืมผมเล็กๆน้อยๆ แต่พอตอนนี้เริ่มยืมก้อนใหญ่ ก่อนหน้านี้ยืมแล้วคืนตลอดครับ อาจจะมีช้าบ้างแต่ได้ครบ แล้วคำพูดคือเหมือนมั่นใจว่าผมมีแน่ๆ รู้สึกอึดอัดมาก เพราะสองจิตสองใจ ใจนึงคือสนิทกันมาก นิสัยดีมาตลอด ดูแลผมมาตั้งแต่เด็ก ปิดเทอมผมก็มาอยู่บ้านเค้าบ่อยๆ อีกอย่างเป็นคนทำมาหากินครับ ขยันทำงาน แต่เพราะไม่ค่อยมีความรู้ด้านการเงิน บวกกับการเป็นคนดีชอบช่วยเหลือคน เลยไม่ได้มีเงินมากมาย ถ้าผมไม่ให้ผมก็รู้สึกว่าเค้าจะลำบาก แล้วถ้าไปยืมคนอื่นต้องเสียดอกอีก ผมจะไม่ช่วยเค้าจริงๆหรอ แต่อีกใจก็กลัวครับ กลัวว่าถ้าไม่ได้คืนจะทะเลาะกันแล้วเสียญาติรึเปล่า แล้วก็ไม่ได้อยากให้เค้ามองว่าผมมีเงินพร้อมให้ยืมตลอด เพราะก็กลัวเค้าคืนช้าแล้วผมเอาไปจ่ายรับเหมาไม่ทันเหมือนกัน มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากๆครับ ทำอย่างไรดีครับ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
ที่เล่ามามีแต่น้ำ ไม่เห็นจำเป็นต้องพิมพ์อะไรยืดยาวเลย

ไม่อยากให้ยืม > ก็ไม่ต้องให้ยืม
มีบุญคุณ > ก็ที่ให้ยืม รวมๆแสน ก็ถือว่าทดแทนบุญคุณ

ชีวิตคน มันต้องมี "ขอบเขต" หรือลิมิต


เม่าเซย์โน
ความคิดเห็นที่ 9
อย่าคิดว่าตัวคุณจะได้ทุกอย่าง

ไม่อยากเป็นตู้ ATM ก็ต้องรู้จักปฏิเสธ เราจะบอกความลับให้อย่างนึง ไม่ว่าคุณจะช่วยเค้ากี่ครั้ง เค้าจะจดจำแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือครั้งที่คุณไม่ช่วย

ถ้าคิดว่าช่วยทุกครั้งไม่ได้ ก็จงหยุด และทำให้มันเป็นครั้งที่คุณไม่ช่วยซะ ยังไงวันที่คุณช่วยไม่ไหวก็ต้องมาถึง ใครจะอุ้มคนอื่นได้ตลอดจริงไหม จัดการจบมันซะเถอะค่ะ

อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อย่าห่วงที่จะไม่ยอมเสียอะไร ยังไงคุณก็ต้องเสียอยู่ดี
ความคิดเห็นที่ 12
ถ้าลำบากใจที่จะบอกตรงๆว่าไม่ให้

ลองบอกว่าไม่ได้เก็บเป็นเงินสดดูไหมครับ เอาไปลงทุนแล้วอีก 3-4-5 ปี ถึงจะได้คืน กองทุน ฝากประจำ ซื้อประกันชีวิต หรืออะไรก็ว่าไป

หรือบอกว่าเงินซื้อหุ้นไว้แล้วมันขาดทุนอยู่ขายไม่ได้
ความคิดเห็นที่ 7
ผมก็เจอปัญหาแบบที่คุณเป็นอยู่ครับ เพราะเอ็นดูเขา เพราะห่วงเขาว่ากลัวไปยืมคนอื่นแล้วเสียดอกเบี้ยนี่แหละ ต่อให้ทำเอกสารสัญญาเขียนรายละเอียดชัดเจนก็ไม่ได้ทำตามสัญญา คืนมาทีละเล็ก ทีละน้อย แล้วแต่เขาจะให้ ส่วนตัวเองมาทะเลาะกับแฟนเพราะเรื่องปัญหาเงินที่ว่านี้ เจอหลายเคสกับญาติตัวเอง เลยรู้สึกสมเพชตัวเองมากกว่าสงสารเขาแล้วครับทุกวันนี้ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ความคิดคนก็เปลี่ยนไปเยอะเลยไม่ว่าจะเป็นญาติหรือเพื่อน ทุกวันนี้ ใครมายืมตังค์แล้วงอน พร้อมที่จะตัดญาติ ตัดเพื่อนมาก เพราะคิดว่าถ้าให้ยืมไปก็มีโอกาสได้ตัดขาดกันอยู่แล้ว ส่วนถ้ายืมหลักร้อย หลักพันก็พิจารณาเป็นกรณี กรณีไป เพราะคิดว่าคนส่วนใหญ่ที่มายืมเงินสมัยนี้ คือ คนที่ขาดวินัยทางการเงิน เสี่ยงที่จะไม่ได้คืนอยู่แล้ว มีน้อยคนที่จะคืน
ความคิดเห็นที่ 1
หัดปฏิเสธคนให้เป็นค่ะ เอ็นดูเขาเอ็นเราขาด คำนี้ใช้ได้จริง ๆ ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็ปฏิเสธไป ถ้าเขาจะโกรธก็สุดแล้วแต่ นึกถึงอนาคตเข้าไว้ ตอนเราเดือดร้อนคนพวกนี้ไม่มาดูดำดูดีหรอกค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่