เราใส่ tags ศาสนา ปัญหาชีวิต และ อาหารเจ แต่โดน admin ลบออก...!!!???...
เราเคยอยู่ต่างแดนนานแล้วกลับมาเมืองไทยตอนอายุประมาณ 37 เราดั้นด้นหางานทำใน กทม ไปสมัครงานส่วนใหญ่ไม่ได้เพราะอายุเกิน555 แต่โชคดีบริษัทแปลเอกสารแห่งหนึ่งรับเราเข้าฝึกงานแปล จนกระทั่งเรากลายเป็นนักแปลมืออาชีพ แล้วก็ย้ายบริษัท 2 ที ตอนอายุประมาณ 50 เราได้งานรายได้ดีมากๆ คือเป็นผู้จัดการสาขาบริษัทแปลแห่งหนึ่ง ใน กทม
ช่วงอายุ 37 - 50 เรา เราไปคบกับกลุ่มคนที่เป็น vegans ถือศีลกินเจทุกวัน นับถือเจ้าแม่กวนอิม ปฏิบัติตามคำสอนพุทธแบบไทยๆ พวกเขาเอาหนังสือกฎแห่งกรรมมาให้เราอ่าน เนื้อเรื่องออกแนวคนที่ฆ่าสัตว์แล้วตกนรก กับคนที่ยากจนป่วยแล้วกินเจ แล้วกลายเป็นร่ำรวยแล้วสุขภาพดี พอเจแตกก็กลับไปยากจนและป่วยอีก พอกลับมากินเจก็ร่ำรวยแล้วสุขภาพดีอีก พวกเค้าชวนเราทำบุญตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร สวดมนต์ ฟังพระเทศน์ ปฏิบัติธรรม ถือศีลกินเจ ซึ่งเราก็หลงเชื่อปฏิบัติตามมาโดยตลอด จนกระทั่งความเชื่อทางศาสนาเหล่านี้ฝังรากลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึกเรา พออายุ 50 เราตัดสินใจผิด กล้าทิ้งงานที่รายได้ดี แล้วไปอยู่เชียงใหม่ ตอนนั้นแทนที่จะเข้า office ที่ กทม เรา work from home ที่เชียงใหม่ รับงานแปลจากบริษัทที่ กทม ทาง email
เผอิญเราไปได้แฟนเป็น vegan ด้วยสิ แล้วเค้ามีความเชื่อเหมือนเราว่า กินเจแล้วจะโชคดีร่ำรวย กินเนื้อสัตว์แล้วจะซวยยากจน ชีวิตดูๆก็น่ามีความสุขดีนะ เราสนุกกับการกินเที่ยวกลางคืน แล้วเจแตกบ่อยๆ แปลกแต่จริง ทุกครั้งที่เราเจแตก เราจะมีเรื่องซวยๆเกิดขึ้น เช่นมีเรื่องกับชาวบ้าน มีเรื่องเสียทรัพย์ หรือแม้กระทั่งประสบอุบัติเหตุ เราแก้ด้วยวิธีทำบุญตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร สวดมนต์ ฟังพระเทศน์ ปฏิบัติธรรม ถือศีล แล้วพยายามกลับมากินเจต่อให้เคร่งๆ แต่มันกลายเป็นว่า เราเจแตกบ่อยๆ แล้วเราก็ทำมาหากินไม่ขึ้น หมุนเงินไม่ทัน แล้วเครียด ทะเลาะกับแฟน ถึงขั้นเลิกกัน เราเลยปีกหักกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่ชานๆเมือง กทม ซึ่งตอนนั้นเราอายุ 55
ตอนที่อยู่กับพ่อแม่ เราคลายเครียดลง เพราะไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน เราเริ่มอ่านหนังสือ As A Man Thinketh by James Allen (ซึ่งตีพิมพ์ปี 1903) และ The Secret by Rhonda Byrne (ซึ่งตีพิมพ์ปี 2006) ซึ่งทั้ง 2 เล่มสอนเรื่อง the law of attraction (กฎแรงดึงดูด) และ think positive (คิดบวก) แล้วทำใจกล้าๆ ท้าทายความเชื่อเรื่องบาป บุญ กฎแห่งกรรม และการกินเจ เราจึงตั้งใจกินเนื้อวัวบ่อยๆ เพื่อท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เราจะกินเนื้อวัวทุกวันในเทศกาลกินเจ555" แต่ท้าทายทีไรเราก็พ่ายแพ้ เพราะยิ่งกินเนื้อวัวอาชีพการงานเราก็ยิ่งพังเรื่อยๆจนถึงขั้นยากจนมากๆ เแล้วกลายเป็นทำมาหากินไม่ขึ้น ต้องเกาะพ่อแม่กิน ซึ่งในบ้านก็อยู่กัน 3 คนพ่อแม่ลูก (เราเป็นลูกคนเดียว)
สถานการณ์ที่อันตรายก็คือ พ่อเราเป็นเผด็จการ แม่กลัวพ่อจนหงอ แต่เราเถียงพ่อบ่อยๆจนทะเลาะกันแรงๆ พ่อเราเลยไม่ค่อยพูดกับเรา ช่วงไหนที่เราพอหาเงินได้เราก็พออยู่รอด แต่ถ้าหาเงินไม่ได้ แม่ก็ให้เงินเรามาโดยตลอด ตอนเราอายุใกล้ๆจะ 60 แม่แอบกระซิบบอกเราว่า "ลูกเอ๋ยแม่เป็นห่วงลูกมาก ลูกกับพ่อไม่ถูกกันเลย ทำไมลูกไม่พยายามเอาใจพ่อบ้าง ถ้าแม่ตายก่อนพ่อ ลูกต้องลำบากแน่ๆ พ่อเขียนพินัยกรรมไว้นานหลายปีแล้ว แต่ไม่มีชื่อลูกอยู่ในพินัยกรรมเลย!"
อีกไม่นานนัก แม่ก็ตาย ญาติฝ่ายแม่และพ่อมางานศพแม่กันเยอะ เหตุการณ์อันไม่คาดฝันเกิดขึ้นที่งานศพแม่ หลานสาวพ่อ (ลูกสาวน้องชายพ่อ) ซึ่งอายุน่าจะประมาณ 60 สูสีกับเรา เธอเพิ่งเลิกกับผัวมา มีลูก 2 คน แต่ลูกโตแล้วมีครอบครัวไปกันหมดแล้ว เธออยู่คนเดียวคงเหงาๆ เธอเลยเข้ามาประกบพ่อเรา ทั้ง 2 คนคุยถูกคอกันมากๆ หัวเราะอารมณ์ดี พอเสร็จงานศพแม่ พ่อชวนหลานสาวมาอยู่ด้วย เลยกลายเป็นว่าในบ้านอยู่กัน 3 คนคือพ่อ หลานสาวพ่อ และตัวเรา พ่อเอาเงินบำนาญให้หลานไปดูแลหาอาหารมาทำให้พ่อกิน และดูแลค่าใช้จ่ายอื่นๆในบ้าน พ่อคุยกับหลานทั้งวัน ไม่พูดกับเราเลย หลานออกไปทำสวนรอบๆบ้าน พ่อก็ตามออกไปชมว่า "แหม ขยันน่ารักจัง น่าจะรับมาเป็นลูกตั้งนานแล้ว!" ตอนนั้นเราใจไม่ดี คิดว่า พ่อคงยกมรดกให้หลาน แล้วเราต้องไปนอนข้างถนน จนเราเครียดกินเหล้าหนักมากๆ แล้วกลายเป็นป่วยหลายโรคคือ ไขมันพอกตับ ไตมีปัญหา (คลำดูมีก้อนแข็งๆ) หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ข้อต่อเสื่อม ขาเดินกะเผลก ปวดระบมไปทั้งร่าง ทำท่ากำลังจะพิการเดินไม่ได้!
*******แต่เรากลายเป็นฮึดสู้เราเลิกทำบุญตักบาตร เลิกปล่อยนกปล่อยปลา เลิกอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เลิกสวดมนต์ เลิกฟังพระเทศน์ เลิกปฏิบัติธรรม เลิกถือศีล เลิกกินเจ และตั้งใจอย่าเด็ดเดี่ยวว่า "เราจะต้องหลุดพ้นจากบ่วงคำสอนของศาสนาพุทธแบบไทยๆให้ได้" ตอนต่อบัตรประชาชนครั้งสุดท้าย (ที่เป็นบัตรตลอดชีพ) เราขอร้องให้เจ้าหน้าที่อำเภอลบคำว่า "พุทธ" ออกไปจากบัตรประชาชนของเรา!*******
จากนั้นเราพยายามตั้งสติให้แน่วแน่ แล้วอ่านหนังสือ The Master Key System ที่ เขียนโดย Charles F. Haanal เมื่อปี 1912 เพื่อเรียนเรื่องกฎแรงดึงดูดและคิดบวกเพิ่มอีก แล้วอ่านๆไปพอจะสรุปคำสอนในหนังสือได้ดังนี้:
*******"คนเราเกิดมาพร้อมกับพลังอันยิ่งใหญ่ ที่จักรวาลให้มา บางคนร่ำรวยสุขภาพดี บางคนยากจนป่วย และอีกหลายๆคนมีชีวิตในรูปแบบต่างๆที่หลากหลายกันมากๆ ตัวตัดสิน "ไม่ใช่กรรม" แต่มันคือ "พลังจิต" ถ้าเราป้อนข้อมูลในเชิงลบเข้าไปในจิต เช่น "เชื่อว่ามีกรรม เราก็จะเจอแต่ความชั่วร้าย (ตามกฎแรงดึงดูด ที่อยู่เหนือกฎแห่งกรรม)" แต่ในทางกลับกัน ถ้าเรามีกิเลศตัณหาอันแรงกล้า แล้วเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า "กิเลศตัณหาของเราจะกลายเป็นจริงขึ้นมา เราก็จะสมหวังในทุกอย่าง และจะมีความสุขในชีวิตจนเปี่ยมล้น"*******
จากนั้นเราค้นข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ online แล้วเจอ คำสอนของฝรั่งนักคิด อีกคนคือ Napoleon Hill ที่มาจากหนังสือของเขาคือ Think And Grow Rich ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1937)
มันเป็นคำสอนให้คิดบวก "ให้มีกิเลศตัณหาอันแรงกล้า แล้วใช้พลังจิตเชื่อว่ามันจะเป็นจริง เพื่อทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาได้!"
เขาสอนแบบนี้
"The starting point of all achievement is DESIRE. Keep this constantly in mind. Weak desire brings weak results, just as a small fire makes a small amount of heat.
จุดเริ่มต้นของความสำเร็จทั้งหมด คือ กิเลศตัณหา จงให้จิตคิดเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง กิเลสตัณหาน้อย ผลลัพธ์ก็แผ่ว เหมือนกองไฟเล็กๆ ที่ให้ความร้อนเพียงแค่นิดเดียว"
^
เราเจตนาแปลคำว่า desire เป็น กิเลสตัณหา (ไม่แปลว่า ความปรารถนาอันแรงกล้า) เพราะเราต้องการตอกย้ำว่า "กิเลศตัณหาเป็นสิ่งที่มีค่า หากไร้ซึ่งกิเลศตัณหา ชีวิตนี้ก็ไร้ค่า ไร้ความหมาย เพราะปราศจากเป้าหมายอันสูงส่งทะเยอทะยาน"
หลังจากเลิกเชื่อว่าตัวเองมีกรรม เพื่อให้คิดบวกได้ว่า เรามีพลังอันยิ่งใหญ่ที่จักรวาลให้มา ตามคำสอนของฝรั่งนักคิดชาวอเมริกันยุคประมาณ 100 ปี แบบล้างความเชื่อลบๆ ออกไป แล้วเราสื่อสารพลังในร่างเรากับพลังจักรวาล (น่าจะคล้ายกับที่ชาวคริสต์ขอพรจาก God) ในขณะที่ visualize (คิดวาดภาพ) ว่าเรามีบ้านสวยๆมีทรัพย์สินเงินทองตั้งมากมาย หายป่วย มีสุขภาพที่ดีเยี่ยม และมีความสุขจนเปี่ยมล้น!
อยู่ดีๆอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น! อีหลานพ่อ สมองมันคงเพี้ยน อยู่ดีๆมันใส่ถุงเท้าไหมพรมลื่นๆ เดินลงบันไดสูงๆที่ทำด้วยไม้ขัดเงา มันลงมาเลยครึ่งทางนิดๆ แล้วมันก็ลื่นตีลังการ่วงลงมา เกือบคอหักตายแน่ะ! พอมันค่อยๆประคองร่างลุกขึ้นมาแบบเจ็บระบม มันโมโหพ่อเราแบบเกรี้ยวกราดสุดๆ ซึ่งเราก็งง (ไม่รู้ทะเลาะกันแบบเราไม่เห็นมาก่อนหรือเปล่า?) เพราะไม่รู้ว่าพ่อเราผิดตรงไหน...!!???... เรากับพ่อเข้าไปดูอาการมัน แต่มันโมโหสะบัดหนีขึ้นไปที่ห้องมัน
ทั้งพ่อทั้งเราต่างก็งงๆมองตากันปริบๆ แต่พ่อเรากลายเป็นหัวเราะขำๆบอกว่า "พ่อไม่ได้ไปว่าอะไรมันเลยนะ บันไดมันลื่น ต้องเดินเท้าเปล่า หรือใส่รองเท้าแตะพื้นยางกันลื่น มันคิดไงถึงใส่ถุงเท้าไหมพรม?555" อีก 2-3 ชั่วโมงต่อมา อีหลานสาวเก็บเสื้อผ้าข้าวของของมัน เผ่นออกจากบ้านเราไป แล้วหายตัวไปเลย ไม่ติดต่อพ่อเรามาอีก เรากลายเป็นรับหน้าที่ดูแลพ่อเรา พ่อเราก็เอาบำนาญเค้ามาให้เราทุกเดือนให้เราดูแลค่าใช้จ่ายในบ้าน ซื้ออาหารมาทำให้เค้ากิน เราก็พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แล้วพยายามหักห้ามตนเองไม่ให้คิดลบว่าพ่ออาจจะไปชวนหลานอีกคนมาอยู่ด้วยอีก555 แล้วพ่อก็ไม่ชวน ทุกอย่างราบรื่นดี เรากับพ่อคุยกันทุกวัน อีก 3 เดือนต่อมา พ่อเรียกเพื่อนมา 2 คน แล้วคุยอะไรกัน พอเสร็จเรื่อง เพื่อนพ่อตอนจะออกไป แอบกระซิบกับเราว่า "พ่อเขียนพินัยกรรมใหม่ยกมรดกให้เราหมด แล้วให้พวกเค้าเซ็นเป็นพยาน!"
พ่ออยู่กับเราอีก 3 ปีแล้วพ่อก็จากเราไป ทิ้งสมบัติไว้ให้เราคือ บ้าน 2 หลัง รถคันหนึ่ง ทองจำนวนหนึ่ง บำเหน็จตกทอด และเงินฝากในธนาคาร ซึ่งถ้าเราใช้ชีวิตอย่างประหยัดๆนะ เราน่าจะมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องทำงานไปได้หลายปี ถ้าเราไม่ป่วยหนักแบบต้องรักษาตัวแพงๆจนสิ้นเนื้อประดาตัวซะก่อนนะ หรือเจอเงินเฟ้อหนักๆซะก่อนนะ (ซึ่งตอนนั้นเราก็อายุเกิน 100 ปีไปแล้ว) 555 ทำให้เราต้องหาทางรักษาตัวเอง แล้วก็ยังคิดจะทำงานหาเงินอยู่ ซึ่งเราก็ใช้วิธีการเดิมนั่นแหละ นั่นก็คือ เราสื่อสารพลังในร่างเรากับพลังจักรวาล (น่าจะคล้ายกับที่ชาวคริสต์ขอพรจาก God) ในขณะที่ visualize (คิดวาดภาพ) ว่า เราหายป่วย มีสุขภาพที่ดีเยี่ยม และมีความสุขจนเปี่ยมล้น!...พอเราแค่เอามือแตะ keyboard เคาะๆไป เรื่อยๆ...อยู่ดีๆ youtube clips ภาษาอังกฤษ ที่หมอฝรั่งยุคใหม่ ทำขึ้นเพื่อ debunk myths (สลายความเชื่อผิดๆ) เรื่องอาหารและโภชนาการ ตามแนวคิดและผลงานค้นคว้าวิจัยแบบใหม่ๆ ก็เด้งขึ้นมาบนจอคอมพิวเตอร์ เราดู clips พวกนี้แล้วซื้อหนังสือที่หมอฝรั่งพวกนั้นเขียน มาเรียนรู้เพิ่มเติม และปฏิบัติตามที่หมอฝรั่งยุคใหม่แนะนำ ซึ่งทำให้เราเปลี่ยนวิถีการกินแบบขุดรากถอนโคน (เหมือนเปลี่ยนความเชื่อทางศาสนา) แล้วก็หายป่วยจากทุกโรคโดยไม่ต้องไปหาหมอ ได้อย่างน่ามหัศจรรย์!
จากนั้นเราก็ใช้กฎแรงดึงดูดและและการคิดบวก ดึงดูดเอาข้อมูลเรื่องวิธีหาเงิน online มาได้หลายวิธี รวมทั้งวิธีซื้อขายเหรียญ crypto มาได้สำเร็จ ทำให้มีสภาพการเงินที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ
เราเพิ่งกลับมาเล่น pantip ได้ไม่นานนัก เราเขียนแนวคิดหมอฝรั่งยุคใหม่เรื่องอาหารและโภชนาการ ที่ทำให้เราหายป่วยและสุขภาพดีเยี่ยม ใน pantip ในหลายๆกระทู้ ปรากฎว่า มีคนกด "สยอง" กับกด "ขำกลิ้ง" ให้เราเยอะมากๆ ซึ่งมันกลายเป็นทำให้เราอารมณ์ดีมากๆ
5555555
I'm a happy vegan-turned carnivore.
ฉันเป็น vegan (คนกินเจ) ที่ผันตัวเป็น carnivore (คนที่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก) ที่มีความสุข เพราะได้เรียนรู้และปฏิบัติตาม แนวคิดใหม่ๆเรื่องอาหารและโภชนาการที่หมอฝรั่งยุคใหม่เผยแพร่ซึ่งหักล้างความเชื่อเก่าๆแบบขุดรากถอนโคน!
^
เราเขียนเรื่องนี้ไว้ที่ใต้ คคห 6 (เขียนตอบ คคห 6) ที่กระทู้นี้
https://ppantip.com/topic/41169751
ใครสนใจก็ลองไปอ่านดูได้ พออ่านแล้ว ใครจะกด "สยอง" หรือ กด "ขำกลิ้ง" เพิ่มให้ ก็ไม่ว่ากัน เผลอๆมันจะทำให้เราอารมณ์ดีมากยิ่งๆขึ้นก็ได้ ที่ทำให้คนบางคนหรือหลายๆคนได้รับความบันเทิง5555555
แต่ใครจะเอาแนวคิดใหม่ๆดังกล่าวไปปฏิบัติ เพื่อให้สุขภาพดีขึ้น เราก็ยินดีมากๆ
May the matter rest upon your judgment.
สุดแล้วแต่วิจารณญาณของท่านในเรื่องนี้
เราสื่อสารพลังในร่างเรากับพลังจักรวาล เพื่อดึงดูดเอาข้อมูลดีๆให้เข้ามาหาเรา ตามกฎแรงดึงดูด แล้วอยู่ดีๆ clips พวกนี้ก็เด้งขึ้นมาบน computer เรา เราจึงเรียนรู้ว่า
"การกินเจเป็นการทำลายสุขภาพอย่างแรง!"
ใน clip นี้ Isabella Ma เล่าให้ฟังว่า เธอกินเจแล้วร่างกายพัง เพราะอะไร
ใน clip นี้ Isabella Ma คุยกับ Dr. Ken D. Berry เรื่องการกินเจเป็นผลร้ายต่อสุขภาพ!
[youtube]
https://www.youtube.com/watch?v=_O6MdUkD7gw[/
ปัญหาชีวิต: ยากจนแทบไปนอนข้างทาง ป่วยเกือบจะพิการ แต่แก้ไขได้ โดยเปลี่ยนความเชื่อทางศาสนาแบบขุดรากถอนโคน!
เราเคยอยู่ต่างแดนนานแล้วกลับมาเมืองไทยตอนอายุประมาณ 37 เราดั้นด้นหางานทำใน กทม ไปสมัครงานส่วนใหญ่ไม่ได้เพราะอายุเกิน555 แต่โชคดีบริษัทแปลเอกสารแห่งหนึ่งรับเราเข้าฝึกงานแปล จนกระทั่งเรากลายเป็นนักแปลมืออาชีพ แล้วก็ย้ายบริษัท 2 ที ตอนอายุประมาณ 50 เราได้งานรายได้ดีมากๆ คือเป็นผู้จัดการสาขาบริษัทแปลแห่งหนึ่ง ใน กทม
ช่วงอายุ 37 - 50 เรา เราไปคบกับกลุ่มคนที่เป็น vegans ถือศีลกินเจทุกวัน นับถือเจ้าแม่กวนอิม ปฏิบัติตามคำสอนพุทธแบบไทยๆ พวกเขาเอาหนังสือกฎแห่งกรรมมาให้เราอ่าน เนื้อเรื่องออกแนวคนที่ฆ่าสัตว์แล้วตกนรก กับคนที่ยากจนป่วยแล้วกินเจ แล้วกลายเป็นร่ำรวยแล้วสุขภาพดี พอเจแตกก็กลับไปยากจนและป่วยอีก พอกลับมากินเจก็ร่ำรวยแล้วสุขภาพดีอีก พวกเค้าชวนเราทำบุญตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร สวดมนต์ ฟังพระเทศน์ ปฏิบัติธรรม ถือศีลกินเจ ซึ่งเราก็หลงเชื่อปฏิบัติตามมาโดยตลอด จนกระทั่งความเชื่อทางศาสนาเหล่านี้ฝังรากลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึกเรา พออายุ 50 เราตัดสินใจผิด กล้าทิ้งงานที่รายได้ดี แล้วไปอยู่เชียงใหม่ ตอนนั้นแทนที่จะเข้า office ที่ กทม เรา work from home ที่เชียงใหม่ รับงานแปลจากบริษัทที่ กทม ทาง email
เผอิญเราไปได้แฟนเป็น vegan ด้วยสิ แล้วเค้ามีความเชื่อเหมือนเราว่า กินเจแล้วจะโชคดีร่ำรวย กินเนื้อสัตว์แล้วจะซวยยากจน ชีวิตดูๆก็น่ามีความสุขดีนะ เราสนุกกับการกินเที่ยวกลางคืน แล้วเจแตกบ่อยๆ แปลกแต่จริง ทุกครั้งที่เราเจแตก เราจะมีเรื่องซวยๆเกิดขึ้น เช่นมีเรื่องกับชาวบ้าน มีเรื่องเสียทรัพย์ หรือแม้กระทั่งประสบอุบัติเหตุ เราแก้ด้วยวิธีทำบุญตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร สวดมนต์ ฟังพระเทศน์ ปฏิบัติธรรม ถือศีล แล้วพยายามกลับมากินเจต่อให้เคร่งๆ แต่มันกลายเป็นว่า เราเจแตกบ่อยๆ แล้วเราก็ทำมาหากินไม่ขึ้น หมุนเงินไม่ทัน แล้วเครียด ทะเลาะกับแฟน ถึงขั้นเลิกกัน เราเลยปีกหักกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่ชานๆเมือง กทม ซึ่งตอนนั้นเราอายุ 55
ตอนที่อยู่กับพ่อแม่ เราคลายเครียดลง เพราะไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน เราเริ่มอ่านหนังสือ As A Man Thinketh by James Allen (ซึ่งตีพิมพ์ปี 1903) และ The Secret by Rhonda Byrne (ซึ่งตีพิมพ์ปี 2006) ซึ่งทั้ง 2 เล่มสอนเรื่อง the law of attraction (กฎแรงดึงดูด) และ think positive (คิดบวก) แล้วทำใจกล้าๆ ท้าทายความเชื่อเรื่องบาป บุญ กฎแห่งกรรม และการกินเจ เราจึงตั้งใจกินเนื้อวัวบ่อยๆ เพื่อท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เราจะกินเนื้อวัวทุกวันในเทศกาลกินเจ555" แต่ท้าทายทีไรเราก็พ่ายแพ้ เพราะยิ่งกินเนื้อวัวอาชีพการงานเราก็ยิ่งพังเรื่อยๆจนถึงขั้นยากจนมากๆ เแล้วกลายเป็นทำมาหากินไม่ขึ้น ต้องเกาะพ่อแม่กิน ซึ่งในบ้านก็อยู่กัน 3 คนพ่อแม่ลูก (เราเป็นลูกคนเดียว)
สถานการณ์ที่อันตรายก็คือ พ่อเราเป็นเผด็จการ แม่กลัวพ่อจนหงอ แต่เราเถียงพ่อบ่อยๆจนทะเลาะกันแรงๆ พ่อเราเลยไม่ค่อยพูดกับเรา ช่วงไหนที่เราพอหาเงินได้เราก็พออยู่รอด แต่ถ้าหาเงินไม่ได้ แม่ก็ให้เงินเรามาโดยตลอด ตอนเราอายุใกล้ๆจะ 60 แม่แอบกระซิบบอกเราว่า "ลูกเอ๋ยแม่เป็นห่วงลูกมาก ลูกกับพ่อไม่ถูกกันเลย ทำไมลูกไม่พยายามเอาใจพ่อบ้าง ถ้าแม่ตายก่อนพ่อ ลูกต้องลำบากแน่ๆ พ่อเขียนพินัยกรรมไว้นานหลายปีแล้ว แต่ไม่มีชื่อลูกอยู่ในพินัยกรรมเลย!"
อีกไม่นานนัก แม่ก็ตาย ญาติฝ่ายแม่และพ่อมางานศพแม่กันเยอะ เหตุการณ์อันไม่คาดฝันเกิดขึ้นที่งานศพแม่ หลานสาวพ่อ (ลูกสาวน้องชายพ่อ) ซึ่งอายุน่าจะประมาณ 60 สูสีกับเรา เธอเพิ่งเลิกกับผัวมา มีลูก 2 คน แต่ลูกโตแล้วมีครอบครัวไปกันหมดแล้ว เธออยู่คนเดียวคงเหงาๆ เธอเลยเข้ามาประกบพ่อเรา ทั้ง 2 คนคุยถูกคอกันมากๆ หัวเราะอารมณ์ดี พอเสร็จงานศพแม่ พ่อชวนหลานสาวมาอยู่ด้วย เลยกลายเป็นว่าในบ้านอยู่กัน 3 คนคือพ่อ หลานสาวพ่อ และตัวเรา พ่อเอาเงินบำนาญให้หลานไปดูแลหาอาหารมาทำให้พ่อกิน และดูแลค่าใช้จ่ายอื่นๆในบ้าน พ่อคุยกับหลานทั้งวัน ไม่พูดกับเราเลย หลานออกไปทำสวนรอบๆบ้าน พ่อก็ตามออกไปชมว่า "แหม ขยันน่ารักจัง น่าจะรับมาเป็นลูกตั้งนานแล้ว!" ตอนนั้นเราใจไม่ดี คิดว่า พ่อคงยกมรดกให้หลาน แล้วเราต้องไปนอนข้างถนน จนเราเครียดกินเหล้าหนักมากๆ แล้วกลายเป็นป่วยหลายโรคคือ ไขมันพอกตับ ไตมีปัญหา (คลำดูมีก้อนแข็งๆ) หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ข้อต่อเสื่อม ขาเดินกะเผลก ปวดระบมไปทั้งร่าง ทำท่ากำลังจะพิการเดินไม่ได้!
*******แต่เรากลายเป็นฮึดสู้เราเลิกทำบุญตักบาตร เลิกปล่อยนกปล่อยปลา เลิกอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เลิกสวดมนต์ เลิกฟังพระเทศน์ เลิกปฏิบัติธรรม เลิกถือศีล เลิกกินเจ และตั้งใจอย่าเด็ดเดี่ยวว่า "เราจะต้องหลุดพ้นจากบ่วงคำสอนของศาสนาพุทธแบบไทยๆให้ได้" ตอนต่อบัตรประชาชนครั้งสุดท้าย (ที่เป็นบัตรตลอดชีพ) เราขอร้องให้เจ้าหน้าที่อำเภอลบคำว่า "พุทธ" ออกไปจากบัตรประชาชนของเรา!*******
จากนั้นเราพยายามตั้งสติให้แน่วแน่ แล้วอ่านหนังสือ The Master Key System ที่ เขียนโดย Charles F. Haanal เมื่อปี 1912 เพื่อเรียนเรื่องกฎแรงดึงดูดและคิดบวกเพิ่มอีก แล้วอ่านๆไปพอจะสรุปคำสอนในหนังสือได้ดังนี้:
*******"คนเราเกิดมาพร้อมกับพลังอันยิ่งใหญ่ ที่จักรวาลให้มา บางคนร่ำรวยสุขภาพดี บางคนยากจนป่วย และอีกหลายๆคนมีชีวิตในรูปแบบต่างๆที่หลากหลายกันมากๆ ตัวตัดสิน "ไม่ใช่กรรม" แต่มันคือ "พลังจิต" ถ้าเราป้อนข้อมูลในเชิงลบเข้าไปในจิต เช่น "เชื่อว่ามีกรรม เราก็จะเจอแต่ความชั่วร้าย (ตามกฎแรงดึงดูด ที่อยู่เหนือกฎแห่งกรรม)" แต่ในทางกลับกัน ถ้าเรามีกิเลศตัณหาอันแรงกล้า แล้วเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า "กิเลศตัณหาของเราจะกลายเป็นจริงขึ้นมา เราก็จะสมหวังในทุกอย่าง และจะมีความสุขในชีวิตจนเปี่ยมล้น"*******
จากนั้นเราค้นข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ online แล้วเจอ คำสอนของฝรั่งนักคิด อีกคนคือ Napoleon Hill ที่มาจากหนังสือของเขาคือ Think And Grow Rich ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1937)
มันเป็นคำสอนให้คิดบวก "ให้มีกิเลศตัณหาอันแรงกล้า แล้วใช้พลังจิตเชื่อว่ามันจะเป็นจริง เพื่อทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาได้!"
เขาสอนแบบนี้
"The starting point of all achievement is DESIRE. Keep this constantly in mind. Weak desire brings weak results, just as a small fire makes a small amount of heat.
จุดเริ่มต้นของความสำเร็จทั้งหมด คือ กิเลศตัณหา จงให้จิตคิดเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง กิเลสตัณหาน้อย ผลลัพธ์ก็แผ่ว เหมือนกองไฟเล็กๆ ที่ให้ความร้อนเพียงแค่นิดเดียว"
^
เราเจตนาแปลคำว่า desire เป็น กิเลสตัณหา (ไม่แปลว่า ความปรารถนาอันแรงกล้า) เพราะเราต้องการตอกย้ำว่า "กิเลศตัณหาเป็นสิ่งที่มีค่า หากไร้ซึ่งกิเลศตัณหา ชีวิตนี้ก็ไร้ค่า ไร้ความหมาย เพราะปราศจากเป้าหมายอันสูงส่งทะเยอทะยาน"
หลังจากเลิกเชื่อว่าตัวเองมีกรรม เพื่อให้คิดบวกได้ว่า เรามีพลังอันยิ่งใหญ่ที่จักรวาลให้มา ตามคำสอนของฝรั่งนักคิดชาวอเมริกันยุคประมาณ 100 ปี แบบล้างความเชื่อลบๆ ออกไป แล้วเราสื่อสารพลังในร่างเรากับพลังจักรวาล (น่าจะคล้ายกับที่ชาวคริสต์ขอพรจาก God) ในขณะที่ visualize (คิดวาดภาพ) ว่าเรามีบ้านสวยๆมีทรัพย์สินเงินทองตั้งมากมาย หายป่วย มีสุขภาพที่ดีเยี่ยม และมีความสุขจนเปี่ยมล้น!
อยู่ดีๆอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น! อีหลานพ่อ สมองมันคงเพี้ยน อยู่ดีๆมันใส่ถุงเท้าไหมพรมลื่นๆ เดินลงบันไดสูงๆที่ทำด้วยไม้ขัดเงา มันลงมาเลยครึ่งทางนิดๆ แล้วมันก็ลื่นตีลังการ่วงลงมา เกือบคอหักตายแน่ะ! พอมันค่อยๆประคองร่างลุกขึ้นมาแบบเจ็บระบม มันโมโหพ่อเราแบบเกรี้ยวกราดสุดๆ ซึ่งเราก็งง (ไม่รู้ทะเลาะกันแบบเราไม่เห็นมาก่อนหรือเปล่า?) เพราะไม่รู้ว่าพ่อเราผิดตรงไหน...!!???... เรากับพ่อเข้าไปดูอาการมัน แต่มันโมโหสะบัดหนีขึ้นไปที่ห้องมัน
ทั้งพ่อทั้งเราต่างก็งงๆมองตากันปริบๆ แต่พ่อเรากลายเป็นหัวเราะขำๆบอกว่า "พ่อไม่ได้ไปว่าอะไรมันเลยนะ บันไดมันลื่น ต้องเดินเท้าเปล่า หรือใส่รองเท้าแตะพื้นยางกันลื่น มันคิดไงถึงใส่ถุงเท้าไหมพรม?555" อีก 2-3 ชั่วโมงต่อมา อีหลานสาวเก็บเสื้อผ้าข้าวของของมัน เผ่นออกจากบ้านเราไป แล้วหายตัวไปเลย ไม่ติดต่อพ่อเรามาอีก เรากลายเป็นรับหน้าที่ดูแลพ่อเรา พ่อเราก็เอาบำนาญเค้ามาให้เราทุกเดือนให้เราดูแลค่าใช้จ่ายในบ้าน ซื้ออาหารมาทำให้เค้ากิน เราก็พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แล้วพยายามหักห้ามตนเองไม่ให้คิดลบว่าพ่ออาจจะไปชวนหลานอีกคนมาอยู่ด้วยอีก555 แล้วพ่อก็ไม่ชวน ทุกอย่างราบรื่นดี เรากับพ่อคุยกันทุกวัน อีก 3 เดือนต่อมา พ่อเรียกเพื่อนมา 2 คน แล้วคุยอะไรกัน พอเสร็จเรื่อง เพื่อนพ่อตอนจะออกไป แอบกระซิบกับเราว่า "พ่อเขียนพินัยกรรมใหม่ยกมรดกให้เราหมด แล้วให้พวกเค้าเซ็นเป็นพยาน!"
พ่ออยู่กับเราอีก 3 ปีแล้วพ่อก็จากเราไป ทิ้งสมบัติไว้ให้เราคือ บ้าน 2 หลัง รถคันหนึ่ง ทองจำนวนหนึ่ง บำเหน็จตกทอด และเงินฝากในธนาคาร ซึ่งถ้าเราใช้ชีวิตอย่างประหยัดๆนะ เราน่าจะมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องทำงานไปได้หลายปี ถ้าเราไม่ป่วยหนักแบบต้องรักษาตัวแพงๆจนสิ้นเนื้อประดาตัวซะก่อนนะ หรือเจอเงินเฟ้อหนักๆซะก่อนนะ (ซึ่งตอนนั้นเราก็อายุเกิน 100 ปีไปแล้ว) 555 ทำให้เราต้องหาทางรักษาตัวเอง แล้วก็ยังคิดจะทำงานหาเงินอยู่ ซึ่งเราก็ใช้วิธีการเดิมนั่นแหละ นั่นก็คือ เราสื่อสารพลังในร่างเรากับพลังจักรวาล (น่าจะคล้ายกับที่ชาวคริสต์ขอพรจาก God) ในขณะที่ visualize (คิดวาดภาพ) ว่า เราหายป่วย มีสุขภาพที่ดีเยี่ยม และมีความสุขจนเปี่ยมล้น!...พอเราแค่เอามือแตะ keyboard เคาะๆไป เรื่อยๆ...อยู่ดีๆ youtube clips ภาษาอังกฤษ ที่หมอฝรั่งยุคใหม่ ทำขึ้นเพื่อ debunk myths (สลายความเชื่อผิดๆ) เรื่องอาหารและโภชนาการ ตามแนวคิดและผลงานค้นคว้าวิจัยแบบใหม่ๆ ก็เด้งขึ้นมาบนจอคอมพิวเตอร์ เราดู clips พวกนี้แล้วซื้อหนังสือที่หมอฝรั่งพวกนั้นเขียน มาเรียนรู้เพิ่มเติม และปฏิบัติตามที่หมอฝรั่งยุคใหม่แนะนำ ซึ่งทำให้เราเปลี่ยนวิถีการกินแบบขุดรากถอนโคน (เหมือนเปลี่ยนความเชื่อทางศาสนา) แล้วก็หายป่วยจากทุกโรคโดยไม่ต้องไปหาหมอ ได้อย่างน่ามหัศจรรย์!
จากนั้นเราก็ใช้กฎแรงดึงดูดและและการคิดบวก ดึงดูดเอาข้อมูลเรื่องวิธีหาเงิน online มาได้หลายวิธี รวมทั้งวิธีซื้อขายเหรียญ crypto มาได้สำเร็จ ทำให้มีสภาพการเงินที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ
เราเพิ่งกลับมาเล่น pantip ได้ไม่นานนัก เราเขียนแนวคิดหมอฝรั่งยุคใหม่เรื่องอาหารและโภชนาการ ที่ทำให้เราหายป่วยและสุขภาพดีเยี่ยม ใน pantip ในหลายๆกระทู้ ปรากฎว่า มีคนกด "สยอง" กับกด "ขำกลิ้ง" ให้เราเยอะมากๆ ซึ่งมันกลายเป็นทำให้เราอารมณ์ดีมากๆ
5555555
I'm a happy vegan-turned carnivore.
ฉันเป็น vegan (คนกินเจ) ที่ผันตัวเป็น carnivore (คนที่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก) ที่มีความสุข เพราะได้เรียนรู้และปฏิบัติตาม แนวคิดใหม่ๆเรื่องอาหารและโภชนาการที่หมอฝรั่งยุคใหม่เผยแพร่ซึ่งหักล้างความเชื่อเก่าๆแบบขุดรากถอนโคน!
^
เราเขียนเรื่องนี้ไว้ที่ใต้ คคห 6 (เขียนตอบ คคห 6) ที่กระทู้นี้
https://ppantip.com/topic/41169751
ใครสนใจก็ลองไปอ่านดูได้ พออ่านแล้ว ใครจะกด "สยอง" หรือ กด "ขำกลิ้ง" เพิ่มให้ ก็ไม่ว่ากัน เผลอๆมันจะทำให้เราอารมณ์ดีมากยิ่งๆขึ้นก็ได้ ที่ทำให้คนบางคนหรือหลายๆคนได้รับความบันเทิง5555555
แต่ใครจะเอาแนวคิดใหม่ๆดังกล่าวไปปฏิบัติ เพื่อให้สุขภาพดีขึ้น เราก็ยินดีมากๆ
May the matter rest upon your judgment.
สุดแล้วแต่วิจารณญาณของท่านในเรื่องนี้
เราสื่อสารพลังในร่างเรากับพลังจักรวาล เพื่อดึงดูดเอาข้อมูลดีๆให้เข้ามาหาเรา ตามกฎแรงดึงดูด แล้วอยู่ดีๆ clips พวกนี้ก็เด้งขึ้นมาบน computer เรา เราจึงเรียนรู้ว่า "การกินเจเป็นการทำลายสุขภาพอย่างแรง!"
ใน clip นี้ Isabella Ma เล่าให้ฟังว่า เธอกินเจแล้วร่างกายพัง เพราะอะไร
ใน clip นี้ Isabella Ma คุยกับ Dr. Ken D. Berry เรื่องการกินเจเป็นผลร้ายต่อสุขภาพ!
[youtube]https://www.youtube.com/watch?v=_O6MdUkD7gw[/