🛑 ฆาตกรต่อเนื่องชาวอเมริกันจากฟลอริด้า อดีตเคยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ
🛑 ทำตัวเป็นคนดีช่วยเหลือรับผู้หญิงที่โบกรถ จากนั้นก็พาไปข่มขืน, ทรมาน และสังหาร
🛑 มันไม่ได้ชดกรรมที่ก่อไว้ตามกฎหมาย มันตายอย่างผู้มีชัย...
“ต้นไม้ปีศาจ (Devil’s Tree)” แห่งฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีประวัติดำมืด และเป็นที่เล่าขานจนถึงทุกวันนี้
ตำนานของต้นไม้นี้เริ่มขึ้นเมื่อเด็กชายชาวอเมริกันชื่อ เจอร์ราร์ด จอห์น เชฟเฟอร์ เขาเกิดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 1946 ที่แอตแลนตา
รัฐจอร์เจีย Schaefer เกิดมาในครอบครัวที่ห่างไกลจากคำว่า ครอบครัวอบอุ่น เขามีพ่อที่ติดเหล้าและมักจะทุบตีเขาเป็นประจำ
แต่กลับกันพ่อของเขาไม่เคยทำร้ายหรือลงโทษอะไรพี่สาวของเขาเลย ด้วยเหตุนี้เองมันทำให้เขาเกลียดเพศตัวเอง
และอยากที่จะเกิดเป็นผู้หญิง
Schaefer รู้สึกเคียดแค้นและบูชาเพศหญิง ในเวลาเดียวกัน เขาเริ่มจะขโมยเสื้อผ้าผู้หญิงมาใส่ และยิ่งรุนแรงมากขึ้น
เมื่อเขาเริ่มมัดตัวเองกับต้นไม้และทำร้ายตัวเอง ซึ่งต่อมา ต้นไม้ต้นนี้จะเป็นศูนย์กลางการฆาตกรรมของเขาในเวลาต่อมา
ในปี 1960 เขาและครอบครัวก็ย้ายมาอยู่ฟอร์ต ลอเดอร์เดล ฟลอริด้า
ในช่วงวัยรุ่น Schaefer ก็เริ่มหลงใหลกางเกงในผู้หญิงจนกลายเป็นพวกถ้ำมอง โดยเฉพาะการแอบดูกามกิจที่ผู้อื่นกระทำ
ต่อมาก็เริ่มพฤติกรรมชอบฆ่าทารุณสัตว์ และร่วมเพศสัตว์ เริ่มจะขโมยเสื้อผ้าผู้หญิงมาใส่ สำหรับแต่งหญิงนั้น Schaefer
อ้างว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารในสงครามเวียดนาม และ เคยมีคนทดสอบไอคิวของ Schaefer ก็พบว่า..
ไอคิวเขานั้นอยู่ที่ 130 นับว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง เลย
ในปี 1966 ปีนี้ Schaefer ได้เข้าเรียนมหาลัย และต้องการที่จะมีอำนาจเหนือคนอื่น
Schaefer เลยได้ขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกของชุมชนนักบวชคาทอลิก แต่ก็กลับถูกปฏิเสธเพราะนักบวช
มองเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลในตัวเขาและในช่วงที่ Schaefer อายุ 20-23 ปี
เขาก็ได้เริ่มต้นการเป็นฆาตกรรมต่อเนื่องที่สุดแสนจะหรรษานี้ ในช่วงนี้เขาได้ทำการฆ่าผู้หญิงและเด็กไปแล้วไม่ต่ำกว่าแปดคน
หลังจากนั้นไม่กี่ปีต่อมา Schaefer ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง
ทำงานได้ไม่นาน เขาก็ถูกไล่ออก เพราะมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
หลักจากนั้นเมื่อปลายปี 1971 ตอนนั้น Schaefer อายุ 25 ปี เขาหันมาทำงานเป็นตำรวจ
แต่ทำได้มานาน เขาก็ถูกไล่ออกเพราะเขาแอบค้นข้อมูลในแฟ้มตำรวจ และได้ติดต่อผู้หญิงในแฟ้มเพื่อขอให้มาออกเดทกับเขา
แต่เขาก็ไม่ละความพยายาม Schaefer ก็ได้เข้าเป็นตำรวจในกรมตำรวจแห่งใหม่
และเพราะ Schaefer เป็นตำรวจนิเอง เขาเลยสามารถหลอกล่อเหยื่อได้ง่าย เวลาที่เขาเห็นผู้หญิงบนท้องถนน
เขาก็แสดงตัวเป็นตำรวจ แล้วยัดข้อหาอะไรสักอย่างให้ จากนั้นพาขึ้นรถ และไปหาที่ฆ่าที่ไหนสักแห่ง
อาชีพตำรวจนิเองทำให้การฆ่าของเขามันง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก
วิธีฆ่าเหยื่อแต่ละรายของ Schaefer นั้นก็จะคล้ายๆกัน โดยเขาก็ผูกเหยื่อไว้กับต้นไม้ และเอาผ้ามาอุดปากเหยื่อ
หลังจากนั้นเขาก็จงลงมือข่มขืนและทรมานเหยื่อจนกว่าเหยื่อจะตาย จากนั้นอาจปล่อยทิ้งไว้หรือลากขึ้นไปไว้บนต้นไม้
และในช่วงระหว่างปี 1969-1972 ก็เกิดคดีผู้หญิงหายสาปสูญ และมีการพบศพพวกเธอในเวลาที่ต่างกัน
ทำให้การเชื่อมโยงฆาตกรรายนี้เป็นไปได้ยาก
ต่อมาเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม คศ. 1972 ในขณะที่ Schaefer กำลังลาดตระเวนเพื่อที่จะเลือกเหยื่อ
และเขาก็ได้เลือกเด็กสาววัยรุ่นอายุ 18 และ 17 โดยทำเหมือนเดิม คือการแสดงตัวและยัดข้อหาให้
จากนั้นก็พาขึ้นรถมา และขู่เหยื่อทั้งสองด้วยปืน แล้วพาเหยื่อทั้งสองลัดเลาะเข้าป่าละเมาะ มัดเหยื่อทั้งสองทั้งสองไว้กับต้นไม้
ในขณะที่เขากำลังจะลงมือกับเหยื่อทั้งสอง เขาก็ได้รับการติดต่อด่วนจาก สายวิทยุของตำรวจให้ไปตรวจพื้นที่
Schaefer หันไปมองที่เหยื่อทั้งสองและคิดว่าทั้งคู่คงไม่กล้าหนีหรอก เขาเลยตัดสินใจปล่อยเหยื่อทั้งสอง
พร้อมพูดว่ารออยู่ที่นี้แหละนะ เดี๋ยวจะมาจัดการพวกเธอนะ..
จากนั้นเขาก็ได้ออกไปปฎิบัติหน้าที่ ไปตรวจพื้นที่ตามที่ได้รับแจ้งมา โดยที่เขาลืมไปว่า..
เขานั้นไม่ได้ปิดบังใบหน้ากับเหยื่อทั้งสอง และเมื่อเหยื่อทั้งสองเห็น Schaefer ออกไปจากตรงนั้นแล้ว
ทั้งคู่ก็รีบพยายามแก้เชือกที่มัดพวกเธออยู่ แล้ววิ่งแจ้นไปสถานีตำรวจที่ใกล้สุด
เพื่อแจ้งความพร้อมกับแจ้งลักษณะรูปพรรณสัณฐานของคนร้าย และชี้ตัว มันส่งผลให้ Schaefer โดนจับกุม
แต่คุกก็ขังเขาได้ไม่นาน เขาอยู่ในคุกแค่สองเดือนเท่านั้น ก็ประกันตัวออกมา
หลังจากนั้นวันที่ 27 กันยายน 1972 Schaefer ก็ฉลองการออกจากคุกโดยทรมานและฆ่า
Susan Place อายุ 17 และจอร์เจีย (Georgia Jessup) พร้อมกับฝังพวกเธอ ซึ่งการฆาตกรรมครั้งนี้
ดูเหมือนว่าจะเป็นการแก้แค้นในกรณีสองสาวก่อนหน้าที่ Schaefer อุตส่าห์บอกให้รอนะ จะกลับมาฆ่า
แต่พวกเธอดันหนีไปซะงั้น สำหรับ Schaefer มันคงเป็นเรื่องที่เขานั้นแค้นจริงๆ พอออกมาเลยฆ่าเด็กสาวสองคน
ที่อายุใกล้เคียงกับเหยื่อที่หนีได้ซะเลย และระหว่างนั้นที่ Schaefer รอการสอบสวน เขาก็ได้สังหารเหยื่อเพิ่มอีกหกราย
ในเดือนธันวาคม คศ. 1972 Schaefer ปรากฏตัวในศาล เรื่องคดีที่เหยื่อสาวสองคนหนีรอด มาจากเงื่อมมือของเขาในคราวก่อน
และเนื่องจาก Schaefer เป็นคนฉลาด เขาใช้วิธีต่อรองในชั้นศาล ทำให้เขาโดนลดโทษจำคุกเพียง 1 ปี โดยรอทัณฑ์บน
ต่อมาในเดือนเมษายน 1973 มีการพบซากผู้หญิงที่หายไป รวมไปถึง สองสาวรายก่อนหน้า
ศพของเด็กหญิงเหล่านั้นเชื่อมโยงไปกับคดีพบศพ หญิงสาวที่ตายค้างบนต้นไม้ก่อนหน้านี้
เนื่องจากปมที่มัดของเชือกมีลักษณะคล้ายกัน และสิ่งเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงไปหา Schaefer
ทำให้ในช่วงเวลานี้เอง นักสืบก็ได้ทำการสืบสวน แกะรอยและตรวจสอบชีวิตของ Schaefer
หลังจากนั้นตำรวจนำหมายค้นไปบ้านของ Schaefer และทำการค้นบ้านที่เขาอาศัยอยู่กับแม่
รวมทั้งอ่านบันทึกที่ Schaefer ได้เขียนบันทึกอาชญากรรมต่างๆ ของเขาเอาไว้
ในห้องห้องนอนของ Schaefer ตำรวจพบเรื่องราวต่างๆ มากมายเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องเหยื่อบนต้นไม้
ตำรวจพบภาพเขียนหลายภาพที่เหมือนศพในที่เกิดเหตุ สมุดบันทึกที่เขาเขียนการพรรณนาการทรมาน, ข่มขืน
และฆ่าผู้หญิงที่ Schaefer เรียกพวกเธอว่า “โสเภณี(Whores)” และ “นังเพศยา(Sluts)”
พร้อมทรัพย์สินส่วนตัวของเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ, ฟัน, เสื้อผ้า ระบุได้ว่าเป็นของผู้หญิงแปดคนและรายล่าสุดที่หายไปในปีล่าสุด
เมื่อเห็นแบบนั้นทางตำรวจจึงได้ทำการตรวจสอบเพิ่มเติมโดยเริ่มจากต้นไม้ที่ Schaefer ใช้เป็นที่ทรมานตัวเอง
ทางตำรวจได้พบศพหญิงสาวอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละรายคือเหยื่อของ Schaefer
และศพที่พบเหล่านั้นล้วนแต่มีร่องรอยว่าถูกมัดกับต้นไม้ก่อนจะถูกทำร้าย
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้รู้ว่า Place และ Jessup ไม่ใช้เหยื่อรายสุดท้ายที่ Schaefer ฆ่าตาย
เพราะในวันที่ 23 ตุลาคม 1972 มีคดีเด็กหญิง Mary Bisccolina อายุ 14 ปี หายตัวไปในขณะเดินเที่ยวเล่นในป่าละเมาะ
ไม่กี่สับดาห์หลังจากสองสาวถูกฆ่า และทางตำรวจก็ได้พบเครื่องประดับของ Mary ในบ้านของ Schaefer ด้วย
ต่อมาในเดือนตุลาคม คศ.1973 Schaefer โดนจับกุมในข้อหาเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง
เจ้าหน้าที่เริ่มขยายผล และพบว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับหญิงสาว 30 คนที่หายตัวไปและพบว่าเป็นศพในบางส่วน
การต่อสู้คดีในชั้นศาลนั้นดูเหมือนว่า เจอร์ราร์ด จอห์น เชฟเฟอร์ จะต่อสู้คดีอย่างดุเดือดมาก
และมีการพิจารณาคดีหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั้งเขามาเสียชีวิตลงเสียก่อนที่คดีนั้นจะจบลงด้วยซ้ำ
วันที่ 3 ธันวาคม คศ. 1995 Schaefer ถูกแทงตายในเรือนจำ โดยผู้อยู่ร่วมห้องขังที่ชื่อ Vincent Rivera ซึ่งเขาอ้างว่า
“ เขาฆ่า Schaefer เพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับหญิงสาวทุกรายที่ตาย “ เป็นอันปิดฉากตำรวจนักฆ่าในที่สุด
และต้นไม้ที่ Schaefer ใช้เป็นที่สังหารเหยื่อนั้น คนทั่วไปมีความเชื่อกันว่า ต้นไม้นี้เต็มไปด้วยปีศาจ
โดยมีเรื่องเล่ากันต่อมาว่า ซาตานได้ยินเรื่องราวการฆาตกรรมของ Schaefer และก็ได้เลือกให้ต้นไม้นี้
เป็นสถานที่ใช้ในการบูชายัญและเป็นที่ๆ ปีศาจจะได้นัดพบกัน ผู้คนจึงพากันเรียกต้นไม้นี้ว่า “ต้นไม้ปีศาจ (Devil’s Tree)” แห่งฟลอริด้า
ผู้คนที่ไปเยี่ยมเยียนต้นไม้นี้ ล้วนแต่พูดตรงกันว่ารู้สึกแปลกๆ และมักจะได้ยินเสียงประหลาดออกมาจากต้นไม้
หรือ บางทีต้นไม้ต้นนี้อาจจะเป็นสัญลักษณ์ของปีศาจ รอต้อนรับผู้มาเยือนฟลอริด้า ก็เป็นได้
และสุดท้ายเรื่องราวของตำรวจนักฆ่าคนนี้ ก็ถูกทำเป็นนิยายหลายต่อหลายเรื่อง...
คดีฆาตกรรมต้นไม้ปีศาจ ถ้ายิ้ม..ตาย l บันทึกลึกลับ
🛑 ทำตัวเป็นคนดีช่วยเหลือรับผู้หญิงที่โบกรถ จากนั้นก็พาไปข่มขืน, ทรมาน และสังหาร
🛑 มันไม่ได้ชดกรรมที่ก่อไว้ตามกฎหมาย มันตายอย่างผู้มีชัย...
“ต้นไม้ปีศาจ (Devil’s Tree)” แห่งฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีประวัติดำมืด และเป็นที่เล่าขานจนถึงทุกวันนี้
ตำนานของต้นไม้นี้เริ่มขึ้นเมื่อเด็กชายชาวอเมริกันชื่อ เจอร์ราร์ด จอห์น เชฟเฟอร์ เขาเกิดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 1946 ที่แอตแลนตา
รัฐจอร์เจีย Schaefer เกิดมาในครอบครัวที่ห่างไกลจากคำว่า ครอบครัวอบอุ่น เขามีพ่อที่ติดเหล้าและมักจะทุบตีเขาเป็นประจำ
แต่กลับกันพ่อของเขาไม่เคยทำร้ายหรือลงโทษอะไรพี่สาวของเขาเลย ด้วยเหตุนี้เองมันทำให้เขาเกลียดเพศตัวเอง
และอยากที่จะเกิดเป็นผู้หญิง
Schaefer รู้สึกเคียดแค้นและบูชาเพศหญิง ในเวลาเดียวกัน เขาเริ่มจะขโมยเสื้อผ้าผู้หญิงมาใส่ และยิ่งรุนแรงมากขึ้น
เมื่อเขาเริ่มมัดตัวเองกับต้นไม้และทำร้ายตัวเอง ซึ่งต่อมา ต้นไม้ต้นนี้จะเป็นศูนย์กลางการฆาตกรรมของเขาในเวลาต่อมา
ในปี 1960 เขาและครอบครัวก็ย้ายมาอยู่ฟอร์ต ลอเดอร์เดล ฟลอริด้า
ในช่วงวัยรุ่น Schaefer ก็เริ่มหลงใหลกางเกงในผู้หญิงจนกลายเป็นพวกถ้ำมอง โดยเฉพาะการแอบดูกามกิจที่ผู้อื่นกระทำ
ต่อมาก็เริ่มพฤติกรรมชอบฆ่าทารุณสัตว์ และร่วมเพศสัตว์ เริ่มจะขโมยเสื้อผ้าผู้หญิงมาใส่ สำหรับแต่งหญิงนั้น Schaefer
อ้างว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารในสงครามเวียดนาม และ เคยมีคนทดสอบไอคิวของ Schaefer ก็พบว่า..
ไอคิวเขานั้นอยู่ที่ 130 นับว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง เลย
ในปี 1966 ปีนี้ Schaefer ได้เข้าเรียนมหาลัย และต้องการที่จะมีอำนาจเหนือคนอื่น
Schaefer เลยได้ขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกของชุมชนนักบวชคาทอลิก แต่ก็กลับถูกปฏิเสธเพราะนักบวช
มองเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลในตัวเขาและในช่วงที่ Schaefer อายุ 20-23 ปี
เขาก็ได้เริ่มต้นการเป็นฆาตกรรมต่อเนื่องที่สุดแสนจะหรรษานี้ ในช่วงนี้เขาได้ทำการฆ่าผู้หญิงและเด็กไปแล้วไม่ต่ำกว่าแปดคน
หลังจากนั้นไม่กี่ปีต่อมา Schaefer ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง
ทำงานได้ไม่นาน เขาก็ถูกไล่ออก เพราะมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
หลักจากนั้นเมื่อปลายปี 1971 ตอนนั้น Schaefer อายุ 25 ปี เขาหันมาทำงานเป็นตำรวจ
แต่ทำได้มานาน เขาก็ถูกไล่ออกเพราะเขาแอบค้นข้อมูลในแฟ้มตำรวจ และได้ติดต่อผู้หญิงในแฟ้มเพื่อขอให้มาออกเดทกับเขา
แต่เขาก็ไม่ละความพยายาม Schaefer ก็ได้เข้าเป็นตำรวจในกรมตำรวจแห่งใหม่
และเพราะ Schaefer เป็นตำรวจนิเอง เขาเลยสามารถหลอกล่อเหยื่อได้ง่าย เวลาที่เขาเห็นผู้หญิงบนท้องถนน
เขาก็แสดงตัวเป็นตำรวจ แล้วยัดข้อหาอะไรสักอย่างให้ จากนั้นพาขึ้นรถ และไปหาที่ฆ่าที่ไหนสักแห่ง
อาชีพตำรวจนิเองทำให้การฆ่าของเขามันง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก
วิธีฆ่าเหยื่อแต่ละรายของ Schaefer นั้นก็จะคล้ายๆกัน โดยเขาก็ผูกเหยื่อไว้กับต้นไม้ และเอาผ้ามาอุดปากเหยื่อ
หลังจากนั้นเขาก็จงลงมือข่มขืนและทรมานเหยื่อจนกว่าเหยื่อจะตาย จากนั้นอาจปล่อยทิ้งไว้หรือลากขึ้นไปไว้บนต้นไม้
และในช่วงระหว่างปี 1969-1972 ก็เกิดคดีผู้หญิงหายสาปสูญ และมีการพบศพพวกเธอในเวลาที่ต่างกัน
ทำให้การเชื่อมโยงฆาตกรรายนี้เป็นไปได้ยาก
ต่อมาเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม คศ. 1972 ในขณะที่ Schaefer กำลังลาดตระเวนเพื่อที่จะเลือกเหยื่อ
และเขาก็ได้เลือกเด็กสาววัยรุ่นอายุ 18 และ 17 โดยทำเหมือนเดิม คือการแสดงตัวและยัดข้อหาให้
จากนั้นก็พาขึ้นรถมา และขู่เหยื่อทั้งสองด้วยปืน แล้วพาเหยื่อทั้งสองลัดเลาะเข้าป่าละเมาะ มัดเหยื่อทั้งสองทั้งสองไว้กับต้นไม้
ในขณะที่เขากำลังจะลงมือกับเหยื่อทั้งสอง เขาก็ได้รับการติดต่อด่วนจาก สายวิทยุของตำรวจให้ไปตรวจพื้นที่
Schaefer หันไปมองที่เหยื่อทั้งสองและคิดว่าทั้งคู่คงไม่กล้าหนีหรอก เขาเลยตัดสินใจปล่อยเหยื่อทั้งสอง
พร้อมพูดว่ารออยู่ที่นี้แหละนะ เดี๋ยวจะมาจัดการพวกเธอนะ..
จากนั้นเขาก็ได้ออกไปปฎิบัติหน้าที่ ไปตรวจพื้นที่ตามที่ได้รับแจ้งมา โดยที่เขาลืมไปว่า..
เขานั้นไม่ได้ปิดบังใบหน้ากับเหยื่อทั้งสอง และเมื่อเหยื่อทั้งสองเห็น Schaefer ออกไปจากตรงนั้นแล้ว
ทั้งคู่ก็รีบพยายามแก้เชือกที่มัดพวกเธออยู่ แล้ววิ่งแจ้นไปสถานีตำรวจที่ใกล้สุด
เพื่อแจ้งความพร้อมกับแจ้งลักษณะรูปพรรณสัณฐานของคนร้าย และชี้ตัว มันส่งผลให้ Schaefer โดนจับกุม
แต่คุกก็ขังเขาได้ไม่นาน เขาอยู่ในคุกแค่สองเดือนเท่านั้น ก็ประกันตัวออกมา
หลังจากนั้นวันที่ 27 กันยายน 1972 Schaefer ก็ฉลองการออกจากคุกโดยทรมานและฆ่า
Susan Place อายุ 17 และจอร์เจีย (Georgia Jessup) พร้อมกับฝังพวกเธอ ซึ่งการฆาตกรรมครั้งนี้
ดูเหมือนว่าจะเป็นการแก้แค้นในกรณีสองสาวก่อนหน้าที่ Schaefer อุตส่าห์บอกให้รอนะ จะกลับมาฆ่า
แต่พวกเธอดันหนีไปซะงั้น สำหรับ Schaefer มันคงเป็นเรื่องที่เขานั้นแค้นจริงๆ พอออกมาเลยฆ่าเด็กสาวสองคน
ที่อายุใกล้เคียงกับเหยื่อที่หนีได้ซะเลย และระหว่างนั้นที่ Schaefer รอการสอบสวน เขาก็ได้สังหารเหยื่อเพิ่มอีกหกราย
ในเดือนธันวาคม คศ. 1972 Schaefer ปรากฏตัวในศาล เรื่องคดีที่เหยื่อสาวสองคนหนีรอด มาจากเงื่อมมือของเขาในคราวก่อน
และเนื่องจาก Schaefer เป็นคนฉลาด เขาใช้วิธีต่อรองในชั้นศาล ทำให้เขาโดนลดโทษจำคุกเพียง 1 ปี โดยรอทัณฑ์บน
ต่อมาในเดือนเมษายน 1973 มีการพบซากผู้หญิงที่หายไป รวมไปถึง สองสาวรายก่อนหน้า
ศพของเด็กหญิงเหล่านั้นเชื่อมโยงไปกับคดีพบศพ หญิงสาวที่ตายค้างบนต้นไม้ก่อนหน้านี้
เนื่องจากปมที่มัดของเชือกมีลักษณะคล้ายกัน และสิ่งเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงไปหา Schaefer
ทำให้ในช่วงเวลานี้เอง นักสืบก็ได้ทำการสืบสวน แกะรอยและตรวจสอบชีวิตของ Schaefer
หลังจากนั้นตำรวจนำหมายค้นไปบ้านของ Schaefer และทำการค้นบ้านที่เขาอาศัยอยู่กับแม่
รวมทั้งอ่านบันทึกที่ Schaefer ได้เขียนบันทึกอาชญากรรมต่างๆ ของเขาเอาไว้
ในห้องห้องนอนของ Schaefer ตำรวจพบเรื่องราวต่างๆ มากมายเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องเหยื่อบนต้นไม้
ตำรวจพบภาพเขียนหลายภาพที่เหมือนศพในที่เกิดเหตุ สมุดบันทึกที่เขาเขียนการพรรณนาการทรมาน, ข่มขืน
และฆ่าผู้หญิงที่ Schaefer เรียกพวกเธอว่า “โสเภณี(Whores)” และ “นังเพศยา(Sluts)”
พร้อมทรัพย์สินส่วนตัวของเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ, ฟัน, เสื้อผ้า ระบุได้ว่าเป็นของผู้หญิงแปดคนและรายล่าสุดที่หายไปในปีล่าสุด
เมื่อเห็นแบบนั้นทางตำรวจจึงได้ทำการตรวจสอบเพิ่มเติมโดยเริ่มจากต้นไม้ที่ Schaefer ใช้เป็นที่ทรมานตัวเอง
ทางตำรวจได้พบศพหญิงสาวอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละรายคือเหยื่อของ Schaefer
และศพที่พบเหล่านั้นล้วนแต่มีร่องรอยว่าถูกมัดกับต้นไม้ก่อนจะถูกทำร้าย
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้รู้ว่า Place และ Jessup ไม่ใช้เหยื่อรายสุดท้ายที่ Schaefer ฆ่าตาย
เพราะในวันที่ 23 ตุลาคม 1972 มีคดีเด็กหญิง Mary Bisccolina อายุ 14 ปี หายตัวไปในขณะเดินเที่ยวเล่นในป่าละเมาะ
ไม่กี่สับดาห์หลังจากสองสาวถูกฆ่า และทางตำรวจก็ได้พบเครื่องประดับของ Mary ในบ้านของ Schaefer ด้วย
ต่อมาในเดือนตุลาคม คศ.1973 Schaefer โดนจับกุมในข้อหาเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง
เจ้าหน้าที่เริ่มขยายผล และพบว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับหญิงสาว 30 คนที่หายตัวไปและพบว่าเป็นศพในบางส่วน
การต่อสู้คดีในชั้นศาลนั้นดูเหมือนว่า เจอร์ราร์ด จอห์น เชฟเฟอร์ จะต่อสู้คดีอย่างดุเดือดมาก
และมีการพิจารณาคดีหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั้งเขามาเสียชีวิตลงเสียก่อนที่คดีนั้นจะจบลงด้วยซ้ำ
วันที่ 3 ธันวาคม คศ. 1995 Schaefer ถูกแทงตายในเรือนจำ โดยผู้อยู่ร่วมห้องขังที่ชื่อ Vincent Rivera ซึ่งเขาอ้างว่า
“ เขาฆ่า Schaefer เพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับหญิงสาวทุกรายที่ตาย “ เป็นอันปิดฉากตำรวจนักฆ่าในที่สุด
และต้นไม้ที่ Schaefer ใช้เป็นที่สังหารเหยื่อนั้น คนทั่วไปมีความเชื่อกันว่า ต้นไม้นี้เต็มไปด้วยปีศาจ
โดยมีเรื่องเล่ากันต่อมาว่า ซาตานได้ยินเรื่องราวการฆาตกรรมของ Schaefer และก็ได้เลือกให้ต้นไม้นี้
เป็นสถานที่ใช้ในการบูชายัญและเป็นที่ๆ ปีศาจจะได้นัดพบกัน ผู้คนจึงพากันเรียกต้นไม้นี้ว่า “ต้นไม้ปีศาจ (Devil’s Tree)” แห่งฟลอริด้า
ผู้คนที่ไปเยี่ยมเยียนต้นไม้นี้ ล้วนแต่พูดตรงกันว่ารู้สึกแปลกๆ และมักจะได้ยินเสียงประหลาดออกมาจากต้นไม้
หรือ บางทีต้นไม้ต้นนี้อาจจะเป็นสัญลักษณ์ของปีศาจ รอต้อนรับผู้มาเยือนฟลอริด้า ก็เป็นได้
และสุดท้ายเรื่องราวของตำรวจนักฆ่าคนนี้ ก็ถูกทำเป็นนิยายหลายต่อหลายเรื่อง...