ส่วนตัวแล้วต้องการซื้อ Vacuum Robot มาใช้ที่บ้าน ก็งงๆว่าจะซื้ออะไรดี ลักษณะที่บ้านจะเป็นบ้าน 3 ชั้นเลยตัดสินใจซื้อ 3 เครื่อง 3 รุ่นไปเลย แล้วค่อยเอามาปรับใช้ที่บ้านตามความเหมาะสม จะได้ลดภาระในการเช็ดถูพื้น เลยขอรีวิวเผื่อเป็นแนวทางให้คนที่ งงๆแบบผมจะได้ตัดสินใจง่ายขึ้น
G1 (หรือรุ่น Essential)
ตัวแรกที่ซื้อมาคือรุ่นถูกสุด G1 พลังดูดที่ด้อยกว่ารุ่นที่แพงกว่า ตัวนี้นำทางด้วยระบบการชน คือเดินไปชนแล้วก็เปลี่ยนทิศทาง จะมืดหรือสว่างก็ทำงานได้เหมือนกัน จะสร้างแผนที่แบบหยาบๆ ไม่มีรูปแบบการทำงานที่ชัดเจน เป็นรุ่นที่แบนที่สุดใน3รุ่นที่รีวิว จึงเข้าไปในพื้นที่ใต้ตู้ เตียง โซฟา การถูพื้นจะเป็นลักษณะลากผ้าชุบน้ำไปเรื่อยๆ พื้นที่ 42-45 ตร.ม. จะใช้เวลาทำงานประมาณ 50-60 นาที เหลือแบตฯอีกประมาณ 50% เหมาะสำหรับพื้นที่ไม่ใหญ่มาก ไม่ซับซ้อนมาก ไม่มีข้อจำกัดในการทำงาน
ข้อดี ราคาถูกที่สุด แบนมุดเข้าใต้ตู้/เตียง/โซฟาได้ดีที่สุด
ข้อเสีย มีฟังชั่นค่อนข้างจำกัด ตั้งขอบเขตการทำงานไม่ได้เลย ทำงานสะเปะสะปะ
2C
เป็นรู่นที่ปรับปรุงจาก 1C ตามสเปคจะได้แบตฯอึดขึ้น แรงดูดฝุ่นดีสุดใน3รุ่นที่รีวิว นำทางด้วยภาพจากกล้องที่อยู่ด้นบนตัวเครื่อง จะสร้างแผนที่ขึ้นมาจากกล้องบนเครื่องในการเดินรอบแรก ใช้แผนที่ในการทำงาน มีรูปแบบการเดินที่ชัดเจนจะเหมือนกันทุกครั้ง ไม่เดินชนสะเปะสะปะ สามารถแบ่งห้อง/โซนการทำงานบนแผนที่ได้ เลือกห้องที่จะให้ทำงานหรือไม่ต้องทำงานได้ กั้นขอบเขตพื้นที่ไม่ให้เข้าไปได้ การถูพื้นจะเป็นลักษณะลากผ้าชุบน้ำไปเรื่อยๆ พื้นที่ห้อง 60 ตร.ม. ใช้เวลา 60 นาที ยังมีแบตฯแบตเหลืออีกประมาณ 50% ขนาดพื้นที่กับระยะเวลาการทำงานจะใกล้เคียงกันแทบทุกครั้ง เหมาะสำหรับพื้นที่มีความซับซ้อน ต้องการแผนที่นำทาง แต่จะทำงานเพี้ยนๆในที่มืดหรือสว่างไม่พอ
ข้อดี ราคาไม่แพงมาก เน้นดูดฝุ่น รูปแบบการทำงานชัดเจน กั้นส่วนที่ไม่ต้องการให้เข้าไปได้
ข้อเสีย ทำงานในที่มืดไม่ได้ = หุ่นยนต์ที่ไม่ทำงานกะกลางคืน!!!
Mop 2 (หรือรุ่น P หรือ Pro)
เป็นรุ่นที่ประทับใจที่สุด ด้วยราคาต่ำกว่าหมื่น ได้ฟังก์ชั้นมาเยอะที่สุดใน3ตัว นำทางด้วยLidar สร้างแผนที่ที่แม่นยำกว่า2C การทำงานที่แม่ยำ มีCustom Cleanup ที่สามารถตั้งการทำงานที่แตกต่างกันในแต่ละห้อง มีฟังก์ชั้นถูขยี้พื้น น่าจะถูพื้นได้สะอาดกว่าแบบที่ลากผ้าเปียกไปเรื่อยๆ มีแบตฯใหญ่สุด แต่มีแรงดูดผฝุ่นน้อยกว่า2C พื้นที่ 80 ตร.ม. ใช้เวลาทำงาน 180 นาที ด้วย Professional Mopping Mode Mode (ถูขยี้) ต้องหยุดชาร์ทแบตระหว่างทำงาน1ครั้ง แต่ถ้าใช้ Standard Mopping Mode (ลากไปเรื่อยๆ) ก็ใช้เวลาประมาณ 1นาที/ตร.ม.
ข้อดี ถูขยี้พื้นได้ ฟังก์ชั้นเยอะ ทำงานที่แม่นยำ
ข้อเสีย ต้องจ่ายแพงขึ้นอีกนิด ตัวสูงมุดเข้าใต้ชั้นวางของ/โซฟาเตี้ยๆไม่ได้
ความเหมาะสมกับพื้นที่
G1 = คอนโด ห้องไม่ใหญ่มาก ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องใช้แผนที่นำทาง ดูดฝุ่นได้ เช็ดพื้นได้ พื้นที่ใหนไม่ต้องให้เข้าต้องปิดประตูเอาเอง
2C = ห้องนอน เน้นดูดฝุ่นเก็บฝุ่น เช็ดพื้นได้ เวลาเรานอนเครื่องจะต้องไม่ทำงาน
Mop2 = บ้านมีห้องที่เปิดถึงกันได้หลายห้อง พื้นที่ซับซ้อนมีข้อจำกัดต้องการการนำทางที่แม่ยำ จะต้องถูขยี้พื้น สั่งการทำงานที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ทำงานทั้งกลางวันกลางคืน
สรุป
ถ้าต้องเลือกซื้อตัวใหนดีถ้าต้องการซื้อแค่ตัวเดียว = 2C ราคากลมๆ6พันบาท ได้ฟังก์ชั่นพอสมควร ทำงานแม่นยำ ดูดฝุ่นดี ถูพื้นได้ เพียงพอที่จะทำงานได้แล้ว จบครบในตัวเดียว
[CR] รีวิว Mi Vacuum Mop Robot รุ่นใหนดี
G1 (หรือรุ่น Essential)
ตัวแรกที่ซื้อมาคือรุ่นถูกสุด G1 พลังดูดที่ด้อยกว่ารุ่นที่แพงกว่า ตัวนี้นำทางด้วยระบบการชน คือเดินไปชนแล้วก็เปลี่ยนทิศทาง จะมืดหรือสว่างก็ทำงานได้เหมือนกัน จะสร้างแผนที่แบบหยาบๆ ไม่มีรูปแบบการทำงานที่ชัดเจน เป็นรุ่นที่แบนที่สุดใน3รุ่นที่รีวิว จึงเข้าไปในพื้นที่ใต้ตู้ เตียง โซฟา การถูพื้นจะเป็นลักษณะลากผ้าชุบน้ำไปเรื่อยๆ พื้นที่ 42-45 ตร.ม. จะใช้เวลาทำงานประมาณ 50-60 นาที เหลือแบตฯอีกประมาณ 50% เหมาะสำหรับพื้นที่ไม่ใหญ่มาก ไม่ซับซ้อนมาก ไม่มีข้อจำกัดในการทำงาน
ข้อดี ราคาถูกที่สุด แบนมุดเข้าใต้ตู้/เตียง/โซฟาได้ดีที่สุด
ข้อเสีย มีฟังชั่นค่อนข้างจำกัด ตั้งขอบเขตการทำงานไม่ได้เลย ทำงานสะเปะสะปะ
2C
เป็นรู่นที่ปรับปรุงจาก 1C ตามสเปคจะได้แบตฯอึดขึ้น แรงดูดฝุ่นดีสุดใน3รุ่นที่รีวิว นำทางด้วยภาพจากกล้องที่อยู่ด้นบนตัวเครื่อง จะสร้างแผนที่ขึ้นมาจากกล้องบนเครื่องในการเดินรอบแรก ใช้แผนที่ในการทำงาน มีรูปแบบการเดินที่ชัดเจนจะเหมือนกันทุกครั้ง ไม่เดินชนสะเปะสะปะ สามารถแบ่งห้อง/โซนการทำงานบนแผนที่ได้ เลือกห้องที่จะให้ทำงานหรือไม่ต้องทำงานได้ กั้นขอบเขตพื้นที่ไม่ให้เข้าไปได้ การถูพื้นจะเป็นลักษณะลากผ้าชุบน้ำไปเรื่อยๆ พื้นที่ห้อง 60 ตร.ม. ใช้เวลา 60 นาที ยังมีแบตฯแบตเหลืออีกประมาณ 50% ขนาดพื้นที่กับระยะเวลาการทำงานจะใกล้เคียงกันแทบทุกครั้ง เหมาะสำหรับพื้นที่มีความซับซ้อน ต้องการแผนที่นำทาง แต่จะทำงานเพี้ยนๆในที่มืดหรือสว่างไม่พอ
ข้อดี ราคาไม่แพงมาก เน้นดูดฝุ่น รูปแบบการทำงานชัดเจน กั้นส่วนที่ไม่ต้องการให้เข้าไปได้
ข้อเสีย ทำงานในที่มืดไม่ได้ = หุ่นยนต์ที่ไม่ทำงานกะกลางคืน!!!
Mop 2 (หรือรุ่น P หรือ Pro)
เป็นรุ่นที่ประทับใจที่สุด ด้วยราคาต่ำกว่าหมื่น ได้ฟังก์ชั้นมาเยอะที่สุดใน3ตัว นำทางด้วยLidar สร้างแผนที่ที่แม่นยำกว่า2C การทำงานที่แม่ยำ มีCustom Cleanup ที่สามารถตั้งการทำงานที่แตกต่างกันในแต่ละห้อง มีฟังก์ชั้นถูขยี้พื้น น่าจะถูพื้นได้สะอาดกว่าแบบที่ลากผ้าเปียกไปเรื่อยๆ มีแบตฯใหญ่สุด แต่มีแรงดูดผฝุ่นน้อยกว่า2C พื้นที่ 80 ตร.ม. ใช้เวลาทำงาน 180 นาที ด้วย Professional Mopping Mode Mode (ถูขยี้) ต้องหยุดชาร์ทแบตระหว่างทำงาน1ครั้ง แต่ถ้าใช้ Standard Mopping Mode (ลากไปเรื่อยๆ) ก็ใช้เวลาประมาณ 1นาที/ตร.ม.
ข้อดี ถูขยี้พื้นได้ ฟังก์ชั้นเยอะ ทำงานที่แม่นยำ
ข้อเสีย ต้องจ่ายแพงขึ้นอีกนิด ตัวสูงมุดเข้าใต้ชั้นวางของ/โซฟาเตี้ยๆไม่ได้
ความเหมาะสมกับพื้นที่
G1 = คอนโด ห้องไม่ใหญ่มาก ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องใช้แผนที่นำทาง ดูดฝุ่นได้ เช็ดพื้นได้ พื้นที่ใหนไม่ต้องให้เข้าต้องปิดประตูเอาเอง
2C = ห้องนอน เน้นดูดฝุ่นเก็บฝุ่น เช็ดพื้นได้ เวลาเรานอนเครื่องจะต้องไม่ทำงาน
Mop2 = บ้านมีห้องที่เปิดถึงกันได้หลายห้อง พื้นที่ซับซ้อนมีข้อจำกัดต้องการการนำทางที่แม่ยำ จะต้องถูขยี้พื้น สั่งการทำงานที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ทำงานทั้งกลางวันกลางคืน
สรุป
ถ้าต้องเลือกซื้อตัวใหนดีถ้าต้องการซื้อแค่ตัวเดียว = 2C ราคากลมๆ6พันบาท ได้ฟังก์ชั่นพอสมควร ทำงานแม่นยำ ดูดฝุ่นดี ถูพื้นได้ เพียงพอที่จะทำงานได้แล้ว จบครบในตัวเดียว
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้