ไว้ใจลูกและให้โอกาส : เรื่องเล่าจากการพาลูกออกไปทำงานด้วย

สืบเนื่องจากกระทู้เก่าที่ถามเพื่อนสมาชิกเรื่องการทิ้งลูกเอาไว้ที่บ้านเพาะต้องเดินทางไปประชุมหลายวัน หลายจังหวัด และได้รับคำแนะนำ ไอเดียเจ๋งๆว่า ให้ลองพาลูกไปด้วยดู จึงได้โอกาสทดลอง พาลูกสาวอายุ 13 ปี ออกทริปทำงานกับพ่อเป็นครั้งแรก
(เนื่องมาจากเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว อยู่กันสองคน ลูกสาวอยากให้วางใจทิ้งไว้อยู่บ้าน 5 วัน แต่ลงท้าย ได้ไปด้วยกันแทน)

ตั้งแต่เตรียมตัว
นางก็ตื่นเต้นจนเตรียมตัวอย่างล้นๆเกินๆครับ คุณพ่อไปประชุมหลายจังหวัด เกี่ยวกับการจัดงานอีเว้นท์ ไ่ได้ไปประชุมสภาพ หรือประชุมผู้ถือหุ้นสองแสนล้าน นางเล่นเตรียมสูท กะโปรงสั้นมาจากแม่ แอบเห็นว่าไปนั่งดูการแต่งตัวแนวสาวออฟฟิศไว้เต็มเลย จึงได้จับมาคุยว่า นี่ไปประชุมงานแบบไม่ทางการขนาดนั้น หนูใส่กางเกงได้ ขอให้เรียบร้อย แต่งตัวทะมัดทะแมง เพราะเราต้องลงพื้นที่ไปวัดพื้นที่ ไปลงชุมชนประสานหัวหน้าชุมชนและ จนท ราชการ มีประชุมกับผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้ทางการขนาดนั้น
จึงเปลี่ยนการจัดเตรียมของ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องกำชือ การเตรียมของให้คอมแพ็ค สำหรับการเดินทางแบบนี้ เพราะก่อนเดินทาง คุณพ่อแทบลมจับ เพราะคุณเธอเล่นเอาของมากองไว้ กับกระเป๋าเดินทางราวกับจะไปยุโรป แบบทัวร์แสนสบายสักครึ่งเดือน ประกอบกับอากาศเย็นๆในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นางเตรียมเสื้อผ้าเผื่อหนาวเอาไว้แบบ ไปเดินเกาหลีเดือนคุลาคมได้เลย รองเท้าก็เตรียมไป 4 คู่ ทั้งผ้าใบทางการ ผ้าใบลำลอง แตะรัดส้น และ แตะสบายๆ ยังไม่นับ เสื้อยืด เสื้อกล้าม เสื้อเชิ้ต เสื้อทับ เสื้อคลุม เสื้อไหมพรม 
ที่สำคัญคือ เครื่องเรียนที่ แทบจะโกยทั้งโต๊ะเรียนไปเพื่อเตรียมเรียนออนไลน์นอกสถานที่แค่ 3 วัน

สรุปสุดท้าย จบลงที่ เป้หนึ่งใบ กับกระเป๋าเดินทางขนาดพอเหมาะที่เค้าจะลากได้เองหนึ่งใบ เพราะงานนี้ ทุกคนต้องดูแลตัวเอง ยกเอง ลากเอง จะไปเป็นเด็กน้อยให้คนอื่นในทีมอีกเกือบสิบชีวิตคอยดูแลไม่ได้ เสื้อผ้าเหลือแค่ชุดแต่ละวันทั้งกลางวันและชุดนอน ซึ่งชุดนอน 4 คืน ก็เป็นกางเกงนอนสองตัว และเสื้อยืดใส่นอนสองตัวใส่ซ้ำกันก็พอแล้ว มีเสื้อเรียบร้อยเกือบๆทางการนิดๆเป็นเสื้อคลุมติดไป กางเกงยีนส์สีดำ และยีนส์ขายาว แค่นี้เอาอยู่ จะมีแถมก็ ขาสั้นจุ๊สำหรับวิ่งและออกกำลังกายสองตัว กับขาสั้นลำลองแบบเดินเล่นตลาดได้ไม่โดนฉุดอีกตัว
เครื่องเรียนก็เอาไปแค่ โน้ตบุ๊คเครื่องเดียว ดินสอ ปากกา สมุดโน้ต และ หนังสือเรียนตามวิชาที่มีในสองวันนั้น เท่าที่จำเป็น วิชาไหนถ่ายลงไปในแท็บเล็ตได้ก็ถ่ายไป ไม่ต้องแบกไปทั้งหมด ซึ่งเมื่อขอประสานกับครูที่โรงเรียน ก็ได้ข้อมุลมาว่าวิชาไหนจะเรียนหน้าอะไรบ้างในสองวันนั้น ทำการถ่ายลงไปเป็น PDF   ทำให้สุดท้ายหนังสือเรียนติดไปแค่เล่มเดียว กับสมุดโน้ตคู่ใจเท่านั้นเอง

บอกเลยว่า พออยู่กับพ่อสองคน การจัดของไปถือว่า "บอย" มากครับ เปลี่ยนแนวจากที่นางคิดไว้เลย แต่ก็อธิบายกันจนเข้าใจ ในวินาทีสุดท้าย ก็เห็นว่าเค้ามีเพิ่มเคิมเองเช่น แว่นกันแดด ที่คาดผม ยางมัดผมสำรอง หูฟังแมวชมพู และยังเหลือที่ยัดตุ๊กตาแตงโมตัวโปรดไปได้ ในเมื่อจัดการได้ มนุษย์พ่อก็โอเคตามนั้น มีเถียงกันเบาๆคือ ชุดว่ายน้ำ เพราะคุณเธอมองว่า ไปพักโรงแรม ถ้ามีสระน้ำจะได้มีชุดใส่ลง ซึ่งผมบอกไปว่า ไม่มีโอกาสลงหรอก ถึงมีเวลาว่าง ก็คงไม่เล่นน้ำกันหรอกนะ มันดูไปเที่ยวมากเกินไป นางก็ยืนยันว่า จะเอาไป ดีกวาถึงเวลาอยากมีแล้วไม่มี (อ้ะๆๆ ยอมก็ยอม)

=======================
วันแรกของการเดินทาง
ผมกับลูกสาว ไม่เคยขึ้นเคืร่องกันลำพังสองคนเลยครับ เคยไปเที่ยวกันก็สมัยภรรยายังอยู่และตอนนั้นเค้ายังเล็ก ดังนั้น  นี่คือการเดินทางแบบเด็กโตครั้งแรกของเค้า ระหว่างที่นั่งรถไป ก็นึกได้ตอนนั้นล่ะครับ เลยถามไปว่า "สมมุติหลงกัน รู้มั้ยว่าขึ้นเรื่องบินต้องทำอะไรบ้าง" นางหันหน้ามาทำตาโตแล้วบอกว่า ...."ทำไงอ่ะ" .... เอ้อ เอาล่ะเว้ยยย เตรียมทุกอย่าง แล้วดันลืมสอนว่าขึ้นเครื่องทำอะไรยังไงบ้าง แถมเวลาที่เผื่อไว้ก็เผื่อแบบพอดิบพอดีเสียด้วย งานนี้ ได้สอนกันง่ายๆในเวลาไม่นาน ซึ่งเค้าก็หยิบสมุดโน้ตมาลิสต์ลำดับของการเดินทางไว้เรียบร้อย พับเก็บใส่เป้แล้วบอกว่า "โอเค! พร้อมล่ะ" จริงๆก็ไม่ได้จะหลงกันหรอกครับ แต่ เผื่อไว้เท่านั้นเอง

เมื่อถึงสนามบิน ก็ไปรวมตัวกับกลุ่มคณะเดินทางที่โดยมากเพิ่งรู้จักกันวันนั้นเลยครับ เป็นทีมรวมตัวกันเพื่องานนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่ร่วมงานกันมายาวนาน ซึ่งผมก็เกรงใจว่าจะมีเด็กไปร่วมคณะด้วย จึงยังเกร็งๆ วางตัวกับคณะและลูกไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ครับ  ตามประสาทีมใหญ่ที่จะไปทำงาน พอเจอกันก็ทักทายและพูดคุยเร่องงานในวันข้างหน้าที่ต้องเจอกันเป็นหลัก ในขณะที่กำลังผ่านกระบวนการสนามบินไปเรื่อยๆนั่นเอง จู่ๆก็มองไปรอบตัว อ้าว แย่ละ ลูกหาย....  ใช่แล้วครับ ลูกสาวตัวดีทำให้ตกใจตั้งแต่วันแรกเลย ผมก็ถามๆคนในทีมว่าเห็นนางบ้างมั้ย ก็บอกว่าเห็นแว๊บๆนะ ไม่รู้หายไปไหนแล้ว ว่าแล้วก็เลยโทรหาตัวไปด้วย เดินไปที่เกทไปด้วย "ฮัลโหลววว หนูมานั่งรอที่เกทแล้วค่ะ ทำไมมาช้ากันจัง"

คือ นางเห็นผมเดินคุยกับคนอื่นๆ เช็คอินแล้วก็รอคณะกันไป  นางก็เลยมุ่งหน้าจัดการตัวเองผ่านเข้าส่วนผู้โดยสาร เดินตามป้าย ผ่านการตรวจความปลอดภัยมุ่งหน้ามาที่เกทเอง พร้อมกับนั่งดูดโค้กรออย่างสบายใจ ลุงๆ อาๆ ต่างก็ชื่นชมว่าเก่ง แต่พ่อเนี่ย ต้องกระซิบว่า "รอบหน้า จะมาก่อน ก็ต้องบอกก่อนนะ" (นางไม่ตอบเพราะปากคาบหลอดดูด ยกนิ้วขึ้นมา "โอเค")

 
 
=======================
จริงๆเรื่องนี้ มานึกย้อนไป เด็กวัยนี้ สามารถเดินทางแบบนี้ได้โดยที่เราไม่ต้องกังวลมากนัก หากเค้ารู้กระบวนการ และจัดการเวลาเองได้ บางที เราอาจจะคิดว่าเค้าเป็นเด็กจนกังวลไปเอง ถ้าพ่อแม่ มีโอกาส สอนและเตรียมตัวให้เค้า ปล่อยให้เค้าจัดการตัวเองได้ น่าจะดีที่สุด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่