ผู้ชายแปลกหน้า
ล. วิลิศมาหรา
เช้าวันนี้ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ คงเพราะได้หลับเต็มอิ่มจากอากาศเย็นสบายหลังฝนตกเมื่อคืน ยังไม่อยากลุกจากที่นอนอันแสนสุขไปไหน ก็เลยนอนฟังเสียงนกกางเขนสองตัวผัวเมีย ร้องจุ๊ก ๆ จิ๊ก ๆ อยู่ข้างนอกหน้าต่างห้องนอน เจ้านกคู่รักสองตัวนี้ ท่าทางมันคงอยากจะสร้างรังรักอยู่แถวนี้เสียก็ไม่รู้...ไม่เอาน่า ฉันอิจฉาแกรู้ไหม
สักพักถึงชันตัวเอื้อมมือไปแง้มม่านหน้าต่างข้างหัวเตียงออกดู ก็พบว่าต้นเยอบีร่าในแปลงดอกไม้หน้าบ้าน พากันออกดอกชูช่อบานสะพรั่ง สวยจนอดใจไม่ไหว ต้องขอออกไปชื่นชมสักหน่อย
ลุกหาเสื้อคลุมมาสวมทับชุดนอน ฉันชอบใส่ชุดนี้นอน ชอบเนื้อผ้าที่เนียนนุ่ม พลิ้วเบา ใส่นอนสบาย รู้สึกประทับใจมันอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
ออกมานั่งชมดอกไม้ที่เก้าอี้หน้าบ้าน ดูเหมือนเมื่อวานตรงนี้มันเป็นแปลงดอกกุหลาบไม่ใช่เหรอ ฉันชอบดอกกุหลาบ แต่เยอบีร่าฉันก็ชอบเหมือนกัน นึกแปลกใจแปลงดอกไม้ที่คลับคล้ายว่าจะไม่คุ้นตา ขณะกำลังชื่นชมกับดอกไม้อยู่นั้น พลันฉันก็นึกเอะใจ
มีผู้ชายสูงอายุคนหนึ่งมายืนมองอยู่ที่ประตูรั้วบ้าน เห็นมายืนมองอยู่นานแล้วตั้งแต่ฉันเดินออกมา ทำหูตาแพรวพราวใส่ โบกไม้โบกมือทักทาย ทะลึ่งนักเชียว นี่คงเห็นฉันอยู่ตัวคนเดียวล่ะสิ
รู้สึกรำคาญปนอาย ก็เลยหันหน้าหนีไปทางประตูหน้าบ้าน เมื่อกี้ก่อนจะออกมานอกบ้าน ฉันแค่ล้างหน้าแปรงฟันลวก ๆ เช้านี้อากาศหนาวก็เลยยังไม่ได้เข้าไปอาบน้ำ...ลืมส่องกระจกหวีผมทาแป้งเสียหน่อยก็ดี ลิปสติกสีแดง ๆ ยังพอมีเหลือ เห็นวางอยู่หน้ากระจกอ่างล้างมือ
เฮ้อ...อายุปูนนี้แล้วดันมีผู้ชายมาแอบมอง แต่ฉันค่อนข้างระวังตัว ไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ ผู้ชายที่ไหนจะมาชอบคนแก่
อดเหลือบมองไปทางเขาอีกไม่ได้ เห็นว่าแต่งตัวเรียบร้อยดี สวมเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนกับกางเกงทรงสแล็คสีดำ เก็บชายเสื้อสอดในเอวกางเกงเรียบร้อย คาดเข็มขัดหนัง ดูไปก็เข้าที คิดว่าคงอ่อนแก่กว่าฉันไม่เท่าไหร่
ตายจริง...นี่ฉันเป็นอะไรไป รู้สึกอายตัวเองที่ไปสนใจผู้ชายแปลกหน้า เสียภาพพจน์ความเป็นกุลสตรีหมด
แต่ก็อดชำเลืองมองเขาอีกไม่ได้ ตกใจที่เห็นเขายิ้มให้ แล้วทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาหา ฉันลุกขึ้นยืนจ้องหน้า ไม่ยอมยิ้มตอบ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจในท่าทีไม่พอใจของฉัน เดินตรงเข้ามาจริง ๆ ฉันรีบมองหาคนแถวนี้ ที่ตอนนี้พากันปิดบ้านเงียบ ไม่รู้ไปไหนกันหมด ตั้งท่าพร้อมจะออกวิ่งทันที ถ้าเกิดมีอะไรไม่ชอบมาพากล
แต่พอเขาเข้ามาใกล้ เขากลับค้อมศีรษะลงให้ ทักทายเสียงสุภาพ ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเข้ามาข่มขู่คุกคาม รอยยิ้มบนใบหน้าดูจริงใจ ท่าทีเหมือนเป็นคนใจดี หรือว่าฉันจะลองคุยกับเขาดู
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณชมพู” เอ๊ะ! เขาเรียกชื่อฉันเหรอ เรียกชื่อฉันว่าชมพู แสดงว่าจะต้องมาแอบสืบเรื่องของฉันก่อนแล้วอย่างแน่นอน
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ตัดสินใจจะลองคุยด้วยก็ได้ อย่างน้อยท่าทีเขาก็ดูสุภาพดีอยู่
“วันนี้คุณสวยสดชื่นแจ่มใสดีจังเลยนะครับ ผมมีดอกไม้มาฝาก”
สวย...เขาชมป้าแก่หน้าตาซีดเซียว สวมเสื้อคลุมเก่า ๆ น้ำไม่ได้อาบ ผมไม่ได้หวี หน้าไม่ได้ผัดแป้งว่าสวย ฉันนิ่วหน้ามองเขาอย่างเคลือบแคลง เขาคิดจะมาไม้ไหนกับฉันกันแน่
ทันใดนั้นเอง เขาก็งัดช่อดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ออกมาจากทางด้านหลัง ยื่นมันให้ตรงหน้า ฉันอ้าปากหวอ ตายแล้ว อกอีแป้นจะแตก...มีผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ มาให้ดอกกุหลาบถึงบ้าน ฉันยืนนิ่งขึงตะลึงลาน เพราะความคาดไม่ถึง อ้ำอึ้งพูดไม่ออก ไม่ยอมยื่นมือออกไปรับ
“สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ”
กรี๊ด...อยากร้องออกมาดัง ๆ ฉันได้ดอกกุหลาบแดงวันวาเลนไทน์กับเขาหรือนี่
อ้อ ใช่แล้ว วันนี้คือวันที่สิบสี่กุมภาพันธ์ ฉันเห็นใครวงหมึกสีแดงลงในปฏิทินตั้งโต๊ะเมื่อกี้นี้ ฉันไม่ได้สนใจวันวาเลนไทน์มากนักหรอก พ้นจากความรู้สึกแบบนั้นมานานมากแล้ว แต่ขณะนี้ผู้ชายตรงหน้ากำลังทำให้หัวใจของฉันเต้นแรง รู้สึกตัวลอย ๆ คล้ายกำลังตกอยู่ในความฝัน ฉันยื่นมือไปรับเอาช่อดอกไม้นั้นมา แอบหยิกหลังมือตัวเองดู ซึ่งก็รู้สึกเจ็บ มันช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นเรื่องจริง
เหลือบมองสบตาเขา โอ้ย...อย่านะ อย่ามาสารภาพรัก
“ชมพูครับ ผมรักคุณ”
ว่าแล้วไหมล่ะ อาย...ฉันอายหนักมาก ผู้หญิงแก่หน้าตาเชย ๆ อย่างฉัน มีคนมาบอกรักในวันวาเลนไทน์
แต่ เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน ทำไมมันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ความสงสัยแล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ นั่นสิ เขาเป็นใครกัน มาบอกรักฉันได้ยังไง ในเมื่อเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“เอ้อ คุณคะ เดี๋ยวก่อนนะ ฉันไม่รู้จักคุณ ทำไมคุณถึงมาบอกรักฉันแบบนี้ คุณเป็นใครกัน”
“นั่งคุยกับผมสักครู่ได้ไหมครับ” เขาไม่ตอบ แต่กลับขอร้องให้ฉันนั่งคุยกันก่อน แถมยังนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทีที่มุ่งมั่น ฉันยืนชั่งใจ ก้มลงมองช่อกุหลาบในมือตัวเองแล้วก็เกิดใจอ่อน ยอมนั่งลงคุยด้วยแต่โดยดี ดูซิว่าเขาจะพูดอะไร
แน่ะ...เขายิ้มใส่ตาฉันอีกแล้ว
“ผมมีอะไรให้คุณดู”
เขาดึงรูปภาพขนาดโปสการ์ดแผ่นหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อส่งให้ฉันดู ฉันรับมาดูด้วยความงุนงง มันเป็นรูปถ่ายงานแต่งงานของบ่าวสาวคู่หนึ่ง อยู่ในชุดวิวาห์ กำลังยืนยิ้มกุมมือกันอยู่บนเวทีของสถานที่จัดงาน รอยยิ้มเบิกบานของเจ้าบ่าวบอกถึงความสุขสมใจเป็นที่สุด ป้ายผ้าข้างหลังติดตัวอักษรอ่านว่า
“สมรสสมรัก นพคุณ-พวงชมพู สิบสี่กุมภาพันธ์ 2529”
“ที่รัก”
ฉันครางเรียกเขาเสียงแผ่ว ความทรงจำแล่นวาบเข้ามาในสมองราวกับสายฟ้าแลบ
“นพ...ชมพูจำคุณได้แล้ว ที่รัก คุณนั่นเอง”
ฉันจำเขาได้แล้วจริง ๆ ผู้ชายคนนี้คือสามีสุดที่รักของฉันเอง ทำไมฉันถึงลืมเขาได้ลงคอ วันนี้คือวันครบรอบแต่งงานปีที่สามสิบของเรา เขาถึงมีช่อดอกกุหลาบมาให้
นพคุณมองมาด้วยสายตาอ่อนโยน ลุกเดินอ้อมโต๊ะมาหา ดึงตัวฉันให้ลุกขึ้นตาม ก่อนโอบกอดฉันไว้ในวงแขน ได้ยินเสียงสะอื้นและรู้สึกถึงอาการสั่นสะท้านของตัวเขา ฉันเองก็ร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ
“ดีใจเหลือเกินที่คุณจำผมได้ รู้มั้ยคุณลืมผม ลืมลูก มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่คุณจำความหลังได้สั้น ๆ ครั้งละไม่เกินสิบนาที คุณไม่ยอมให้ผมอยู่ด้วย เพราะคิดว่าผมเป็นคนแปลกหน้า จนผมต้องซื้อบ้านไว้อีกหลังข้าง ๆ บ้านเรา เอาไว้เฝ้าดูแลคุณ ผมเพียรมาหาคุณทุกวัน รอให้คุณจำผมได้ แม้แค่เวลาสั้น ๆ ก็ตาม ดูสิ ถึงคุณจำผมไม่ได้ แต่คุณก็ใส่แต่ชุดนอนตัวนี้ที่ผมซื้อให้”
เขาพูดพลางยิ้มทั้งน้ำตา เกลี่ยนิ้วเช็ดหยดน้ำตาบนพวงแก้มให้ฉัน
“ชมพูครับ ผมอยากให้คุณจำไว้เสมอว่าผมรักคุณ รักเหลือเกิน ลูก ๆ ทุกคนสบายดี เต้ยเรียนจบได้ทำงานแล้ว ตองกำลังจะรับปริญญาปีหน้า ดีใจไหมครับ”
ฉันพยักหน้า น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย เจ็บปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เวรกรรมอะไรหนอ ที่ทำให้เราสองคนต้องทนทุกข์ทรมานใจถึงปานนี้...ที่แท้ฉันป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม ลืมเรื่องราวระยะยาวที่เคยเกิดขึ้น นึกได้เป็นครั้งคราว ฉันลืมแม้กระทั่งตัวเองเป็นใคร ลืมผู้ชายคนที่เคยรัก ที่นี่เป็นบ้านของเราเอง แต่เขากลับอยู่ด้วยไม่ได้ ต้องคอยแอบดูฉันอยู่ห่าง ๆ เพราะฉันจะตกใจกลัวเขาทุกครั้ง เวลาฉันมีอาการหลงลืมขึ้นมา
เราสองคนยืนกอดกันร้องไห้ เขาเฝ้าพร่ำพูดบอกว่ารักฉัน ส่วนฉันก็กอดเขาแน่น เหมือนกลัวเขาจะหลุดหายไปจากความทรงจำอีก
“ชมพูรักคุณค่ะ บอกลูกด้วยว่าแม่รักลูกทุกคน รักมาก ชมพูจะไม่มีวันลืมคุณกับลูกอีกเป็นอันขาด...ไม่มีวัน...เอ๊ะ! ตายแล้ว...”
ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีด อะไรกัน...ฉันถึงกับกอดผู้ชายแปลกหน้า...ฉันไปหลงใหลได้ปลื้มเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ รีบผลักเขาออกห่างอย่างแรง...บ้าจริงเชียว ไอ้ผู้ชายชอบฉวยโอกาส!
จบ
ผู้ชายแปลกหน้า
ล. วิลิศมาหรา
เช้าวันนี้ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ คงเพราะได้หลับเต็มอิ่มจากอากาศเย็นสบายหลังฝนตกเมื่อคืน ยังไม่อยากลุกจากที่นอนอันแสนสุขไปไหน ก็เลยนอนฟังเสียงนกกางเขนสองตัวผัวเมีย ร้องจุ๊ก ๆ จิ๊ก ๆ อยู่ข้างนอกหน้าต่างห้องนอน เจ้านกคู่รักสองตัวนี้ ท่าทางมันคงอยากจะสร้างรังรักอยู่แถวนี้เสียก็ไม่รู้...ไม่เอาน่า ฉันอิจฉาแกรู้ไหม
สักพักถึงชันตัวเอื้อมมือไปแง้มม่านหน้าต่างข้างหัวเตียงออกดู ก็พบว่าต้นเยอบีร่าในแปลงดอกไม้หน้าบ้าน พากันออกดอกชูช่อบานสะพรั่ง สวยจนอดใจไม่ไหว ต้องขอออกไปชื่นชมสักหน่อย
ลุกหาเสื้อคลุมมาสวมทับชุดนอน ฉันชอบใส่ชุดนี้นอน ชอบเนื้อผ้าที่เนียนนุ่ม พลิ้วเบา ใส่นอนสบาย รู้สึกประทับใจมันอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
ออกมานั่งชมดอกไม้ที่เก้าอี้หน้าบ้าน ดูเหมือนเมื่อวานตรงนี้มันเป็นแปลงดอกกุหลาบไม่ใช่เหรอ ฉันชอบดอกกุหลาบ แต่เยอบีร่าฉันก็ชอบเหมือนกัน นึกแปลกใจแปลงดอกไม้ที่คลับคล้ายว่าจะไม่คุ้นตา ขณะกำลังชื่นชมกับดอกไม้อยู่นั้น พลันฉันก็นึกเอะใจ
มีผู้ชายสูงอายุคนหนึ่งมายืนมองอยู่ที่ประตูรั้วบ้าน เห็นมายืนมองอยู่นานแล้วตั้งแต่ฉันเดินออกมา ทำหูตาแพรวพราวใส่ โบกไม้โบกมือทักทาย ทะลึ่งนักเชียว นี่คงเห็นฉันอยู่ตัวคนเดียวล่ะสิ
รู้สึกรำคาญปนอาย ก็เลยหันหน้าหนีไปทางประตูหน้าบ้าน เมื่อกี้ก่อนจะออกมานอกบ้าน ฉันแค่ล้างหน้าแปรงฟันลวก ๆ เช้านี้อากาศหนาวก็เลยยังไม่ได้เข้าไปอาบน้ำ...ลืมส่องกระจกหวีผมทาแป้งเสียหน่อยก็ดี ลิปสติกสีแดง ๆ ยังพอมีเหลือ เห็นวางอยู่หน้ากระจกอ่างล้างมือ
เฮ้อ...อายุปูนนี้แล้วดันมีผู้ชายมาแอบมอง แต่ฉันค่อนข้างระวังตัว ไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ ผู้ชายที่ไหนจะมาชอบคนแก่
อดเหลือบมองไปทางเขาอีกไม่ได้ เห็นว่าแต่งตัวเรียบร้อยดี สวมเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนกับกางเกงทรงสแล็คสีดำ เก็บชายเสื้อสอดในเอวกางเกงเรียบร้อย คาดเข็มขัดหนัง ดูไปก็เข้าที คิดว่าคงอ่อนแก่กว่าฉันไม่เท่าไหร่
ตายจริง...นี่ฉันเป็นอะไรไป รู้สึกอายตัวเองที่ไปสนใจผู้ชายแปลกหน้า เสียภาพพจน์ความเป็นกุลสตรีหมด
แต่ก็อดชำเลืองมองเขาอีกไม่ได้ ตกใจที่เห็นเขายิ้มให้ แล้วทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาหา ฉันลุกขึ้นยืนจ้องหน้า ไม่ยอมยิ้มตอบ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจในท่าทีไม่พอใจของฉัน เดินตรงเข้ามาจริง ๆ ฉันรีบมองหาคนแถวนี้ ที่ตอนนี้พากันปิดบ้านเงียบ ไม่รู้ไปไหนกันหมด ตั้งท่าพร้อมจะออกวิ่งทันที ถ้าเกิดมีอะไรไม่ชอบมาพากล
แต่พอเขาเข้ามาใกล้ เขากลับค้อมศีรษะลงให้ ทักทายเสียงสุภาพ ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเข้ามาข่มขู่คุกคาม รอยยิ้มบนใบหน้าดูจริงใจ ท่าทีเหมือนเป็นคนใจดี หรือว่าฉันจะลองคุยกับเขาดู
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณชมพู” เอ๊ะ! เขาเรียกชื่อฉันเหรอ เรียกชื่อฉันว่าชมพู แสดงว่าจะต้องมาแอบสืบเรื่องของฉันก่อนแล้วอย่างแน่นอน
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ตัดสินใจจะลองคุยด้วยก็ได้ อย่างน้อยท่าทีเขาก็ดูสุภาพดีอยู่
“วันนี้คุณสวยสดชื่นแจ่มใสดีจังเลยนะครับ ผมมีดอกไม้มาฝาก”
สวย...เขาชมป้าแก่หน้าตาซีดเซียว สวมเสื้อคลุมเก่า ๆ น้ำไม่ได้อาบ ผมไม่ได้หวี หน้าไม่ได้ผัดแป้งว่าสวย ฉันนิ่วหน้ามองเขาอย่างเคลือบแคลง เขาคิดจะมาไม้ไหนกับฉันกันแน่
ทันใดนั้นเอง เขาก็งัดช่อดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ออกมาจากทางด้านหลัง ยื่นมันให้ตรงหน้า ฉันอ้าปากหวอ ตายแล้ว อกอีแป้นจะแตก...มีผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ มาให้ดอกกุหลาบถึงบ้าน ฉันยืนนิ่งขึงตะลึงลาน เพราะความคาดไม่ถึง อ้ำอึ้งพูดไม่ออก ไม่ยอมยื่นมือออกไปรับ
“สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ”
กรี๊ด...อยากร้องออกมาดัง ๆ ฉันได้ดอกกุหลาบแดงวันวาเลนไทน์กับเขาหรือนี่
อ้อ ใช่แล้ว วันนี้คือวันที่สิบสี่กุมภาพันธ์ ฉันเห็นใครวงหมึกสีแดงลงในปฏิทินตั้งโต๊ะเมื่อกี้นี้ ฉันไม่ได้สนใจวันวาเลนไทน์มากนักหรอก พ้นจากความรู้สึกแบบนั้นมานานมากแล้ว แต่ขณะนี้ผู้ชายตรงหน้ากำลังทำให้หัวใจของฉันเต้นแรง รู้สึกตัวลอย ๆ คล้ายกำลังตกอยู่ในความฝัน ฉันยื่นมือไปรับเอาช่อดอกไม้นั้นมา แอบหยิกหลังมือตัวเองดู ซึ่งก็รู้สึกเจ็บ มันช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นเรื่องจริง
เหลือบมองสบตาเขา โอ้ย...อย่านะ อย่ามาสารภาพรัก
“ชมพูครับ ผมรักคุณ”
ว่าแล้วไหมล่ะ อาย...ฉันอายหนักมาก ผู้หญิงแก่หน้าตาเชย ๆ อย่างฉัน มีคนมาบอกรักในวันวาเลนไทน์
แต่ เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน ทำไมมันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ความสงสัยแล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ นั่นสิ เขาเป็นใครกัน มาบอกรักฉันได้ยังไง ในเมื่อเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“เอ้อ คุณคะ เดี๋ยวก่อนนะ ฉันไม่รู้จักคุณ ทำไมคุณถึงมาบอกรักฉันแบบนี้ คุณเป็นใครกัน”
“นั่งคุยกับผมสักครู่ได้ไหมครับ” เขาไม่ตอบ แต่กลับขอร้องให้ฉันนั่งคุยกันก่อน แถมยังนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทีที่มุ่งมั่น ฉันยืนชั่งใจ ก้มลงมองช่อกุหลาบในมือตัวเองแล้วก็เกิดใจอ่อน ยอมนั่งลงคุยด้วยแต่โดยดี ดูซิว่าเขาจะพูดอะไร
แน่ะ...เขายิ้มใส่ตาฉันอีกแล้ว
“ผมมีอะไรให้คุณดู”
เขาดึงรูปภาพขนาดโปสการ์ดแผ่นหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อส่งให้ฉันดู ฉันรับมาดูด้วยความงุนงง มันเป็นรูปถ่ายงานแต่งงานของบ่าวสาวคู่หนึ่ง อยู่ในชุดวิวาห์ กำลังยืนยิ้มกุมมือกันอยู่บนเวทีของสถานที่จัดงาน รอยยิ้มเบิกบานของเจ้าบ่าวบอกถึงความสุขสมใจเป็นที่สุด ป้ายผ้าข้างหลังติดตัวอักษรอ่านว่า
“สมรสสมรัก นพคุณ-พวงชมพู สิบสี่กุมภาพันธ์ 2529”
“ที่รัก”
ฉันครางเรียกเขาเสียงแผ่ว ความทรงจำแล่นวาบเข้ามาในสมองราวกับสายฟ้าแลบ
“นพ...ชมพูจำคุณได้แล้ว ที่รัก คุณนั่นเอง”
ฉันจำเขาได้แล้วจริง ๆ ผู้ชายคนนี้คือสามีสุดที่รักของฉันเอง ทำไมฉันถึงลืมเขาได้ลงคอ วันนี้คือวันครบรอบแต่งงานปีที่สามสิบของเรา เขาถึงมีช่อดอกกุหลาบมาให้
นพคุณมองมาด้วยสายตาอ่อนโยน ลุกเดินอ้อมโต๊ะมาหา ดึงตัวฉันให้ลุกขึ้นตาม ก่อนโอบกอดฉันไว้ในวงแขน ได้ยินเสียงสะอื้นและรู้สึกถึงอาการสั่นสะท้านของตัวเขา ฉันเองก็ร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ
“ดีใจเหลือเกินที่คุณจำผมได้ รู้มั้ยคุณลืมผม ลืมลูก มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่คุณจำความหลังได้สั้น ๆ ครั้งละไม่เกินสิบนาที คุณไม่ยอมให้ผมอยู่ด้วย เพราะคิดว่าผมเป็นคนแปลกหน้า จนผมต้องซื้อบ้านไว้อีกหลังข้าง ๆ บ้านเรา เอาไว้เฝ้าดูแลคุณ ผมเพียรมาหาคุณทุกวัน รอให้คุณจำผมได้ แม้แค่เวลาสั้น ๆ ก็ตาม ดูสิ ถึงคุณจำผมไม่ได้ แต่คุณก็ใส่แต่ชุดนอนตัวนี้ที่ผมซื้อให้”
เขาพูดพลางยิ้มทั้งน้ำตา เกลี่ยนิ้วเช็ดหยดน้ำตาบนพวงแก้มให้ฉัน
“ชมพูครับ ผมอยากให้คุณจำไว้เสมอว่าผมรักคุณ รักเหลือเกิน ลูก ๆ ทุกคนสบายดี เต้ยเรียนจบได้ทำงานแล้ว ตองกำลังจะรับปริญญาปีหน้า ดีใจไหมครับ”
ฉันพยักหน้า น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย เจ็บปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เวรกรรมอะไรหนอ ที่ทำให้เราสองคนต้องทนทุกข์ทรมานใจถึงปานนี้...ที่แท้ฉันป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม ลืมเรื่องราวระยะยาวที่เคยเกิดขึ้น นึกได้เป็นครั้งคราว ฉันลืมแม้กระทั่งตัวเองเป็นใคร ลืมผู้ชายคนที่เคยรัก ที่นี่เป็นบ้านของเราเอง แต่เขากลับอยู่ด้วยไม่ได้ ต้องคอยแอบดูฉันอยู่ห่าง ๆ เพราะฉันจะตกใจกลัวเขาทุกครั้ง เวลาฉันมีอาการหลงลืมขึ้นมา
เราสองคนยืนกอดกันร้องไห้ เขาเฝ้าพร่ำพูดบอกว่ารักฉัน ส่วนฉันก็กอดเขาแน่น เหมือนกลัวเขาจะหลุดหายไปจากความทรงจำอีก
“ชมพูรักคุณค่ะ บอกลูกด้วยว่าแม่รักลูกทุกคน รักมาก ชมพูจะไม่มีวันลืมคุณกับลูกอีกเป็นอันขาด...ไม่มีวัน...เอ๊ะ! ตายแล้ว...”
ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีด อะไรกัน...ฉันถึงกับกอดผู้ชายแปลกหน้า...ฉันไปหลงใหลได้ปลื้มเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ รีบผลักเขาออกห่างอย่างแรง...บ้าจริงเชียว ไอ้ผู้ชายชอบฉวยโอกาส!