แทบจะเรียกว่า สถานการณ์กลับมาปกติแล้วในการใช้ชีวิตประจำวัน
เหลือแต่ปรับตัวให้เข้ากับ new normal เช่น ฉีดวัคซีน ใส่หน้ากาก
(สารภาพตอนนี้การ์ดตกนิดนึงตรงที่กลับบ้านบางทีลืมล้างมืออะไรแบบนั้น)
กลับมารู้สึกดีกับสภาพรถติด ต่อคิวกินข้าว เดินในห้างที่คนเต็มห้าง หาที่จอดรถยาก
ตื่นเช้าพาลูกไปโรงเรียน (ดีใจมากๆเพราะรู้เลยว่า เด็กเรียน online แล้ว ประสิทธิภาพลดลง ไม่โทษใครนะ เรื่องนี้ ทุกคนทำดีที่สุดแล้ว)
ปีหน้าหวังว่า เศรษฐกิจในประเทศจะดีขึ้นเรื่อยๆอย่างช้าๆก็ยังดี
แม้จะดูทางภาพใหญ่ในโลกการเงินจะเจอปัจจัยลบภายนอก เช่น เลิก QE ขึ้นดอก
cost push ทำให้ค่าครองชีพสูง เจอเฟ้อปนฝืด แต่ก็คิดว่า ปีนี้กลุ่มที่กระทบตรงๆจากโควิด น่าจะแย่สุดแล้ว
ปัจจัยลบที่โอกาสเกิดต่ำ แต่จะสร้างผลกระทบหนักมากๆพอๆกับโควิด ก็จะเป็น สงคราม
ทำได้แค่กังวลแต่จะให้มีผลถึงขนาดหยุดลงทุนเลยคงเป็นไปไม่ได้ ถึงตอนนั้นทำได้แค่บอกว่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
เกิดก่อนแล้วค่อยแก้ ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น
เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆกับบรรยากาศรอบๆตัว
เหลือแต่ปรับตัวให้เข้ากับ new normal เช่น ฉีดวัคซีน ใส่หน้ากาก
(สารภาพตอนนี้การ์ดตกนิดนึงตรงที่กลับบ้านบางทีลืมล้างมืออะไรแบบนั้น)
กลับมารู้สึกดีกับสภาพรถติด ต่อคิวกินข้าว เดินในห้างที่คนเต็มห้าง หาที่จอดรถยาก
ตื่นเช้าพาลูกไปโรงเรียน (ดีใจมากๆเพราะรู้เลยว่า เด็กเรียน online แล้ว ประสิทธิภาพลดลง ไม่โทษใครนะ เรื่องนี้ ทุกคนทำดีที่สุดแล้ว)
ปีหน้าหวังว่า เศรษฐกิจในประเทศจะดีขึ้นเรื่อยๆอย่างช้าๆก็ยังดี
แม้จะดูทางภาพใหญ่ในโลกการเงินจะเจอปัจจัยลบภายนอก เช่น เลิก QE ขึ้นดอก
cost push ทำให้ค่าครองชีพสูง เจอเฟ้อปนฝืด แต่ก็คิดว่า ปีนี้กลุ่มที่กระทบตรงๆจากโควิด น่าจะแย่สุดแล้ว
ปัจจัยลบที่โอกาสเกิดต่ำ แต่จะสร้างผลกระทบหนักมากๆพอๆกับโควิด ก็จะเป็น สงคราม
ทำได้แค่กังวลแต่จะให้มีผลถึงขนาดหยุดลงทุนเลยคงเป็นไปไม่ได้ ถึงตอนนั้นทำได้แค่บอกว่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
เกิดก่อนแล้วค่อยแก้ ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น