ที่ผ่านมาทุกรัฐบาล เมื่ออัดฉีดเงินเข้าระบบ หุ้นจะพุ่งขึ้นพองโตสักพักเขาก็จะกดตลาดลง อย่างรวดเร็วเพื่อให้เงินที่อยู่ในตลาดถูกขัง
ไม่ให้มูลค่าออกมาเพิ่มปริมาณข้างนอกตลาด การทำแบบนั้นมันไม่ค่อย ส่งผลดีต่อการลงทุน อีกทั้งเมื่อพิมพ์เงินมามากๆ หุ้นมันมีมูลค่า
ในตัวมันเอง เจ้าของหรือเจ้ามือ ก็จะชิงขายก่อนเอาเงินออกมาอยู่ดี ทำให้วิธีนี้ ไม่ค่อยได้ผลในการกำจัดเงินเฟ้อ นอกเหนือจากเรื่อง
การกำกับอัตราดอกเบี้ยที่ทำเป็นปกติ
การที่เงินปั๊มเข้าระบบมามากๆ การออกกฎหมายให้เอาเงินไปเผาทิ้ง มันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเรื่องนี้มันจึงมาถึงของเงินคริปโต
เพราะเงินคริปโตไม่ได้ถูกกำกับจากรัฐบาล มันสามารถมีกฎการเผาเหรียญได้ นั่นก็หมายถึงการ เผาสกุลเงินกระดาษแบบทางอ้อม
วิธีการมันก็มีหลากหลายรูปแบบ เช่น เหรียญถูกปั่นจนราคาสูงแล้ว ร่วงลงอย่างรวดเร็วขังมูลค่าเงินกระดาษไว้ตลอดกาลเพราะ
การที่จะเอาเหรียญนั้นดันราคากลับมาใหม่มันต้องใส่เงินเข้าไป คำถามคือแล้วใครจะเป็นคนใส่เข้าไป แล้วจ้าวมือคือใคร จับมือ
ใครดมไม่ได้ คนของรัฐบาลเองหรือเปล่าที่เข้ามาปั่น เพื่อจะเผาเงินทิ้งหรือเรียกอีกอย่างว่าดูดลงหลุมblack holeที่ไม่มีวันกลับมาได้อีก
เพราะเหรียญมันไม่ใช่หุ้น มันไม่มีมูลค่าในตัวมันเองที่จะสามารถ กลับขึ้นมาเองได้ตามผลการดำเนินงานของธุรกิจนั้นๆ
ตลาดคริปโตสามารถถูกควบคุมได้เบ็ดเสร็จ
หลายคนบอกว่า ตลาดคริปโตคือตลาดที่ไม่มีศูนย์กลาง อันนี้ไม่ผิด แต่สิ่งที่เขาคิดว่ารัฐควบคุมไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด
การควบคุมตลาดคริปโตเขาไม่ได้ควบคุมเหรียญคริปโต แต่เขาควบคุมเหรียญที่เป็นstable coin หรือเหรียญที่ใช้แลก
เงินกระดาษ การเข้าออกของเงินกระดาษไปเหรียญคริปโต จะผ่านทางเหรียญstable coin เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นนั้นรัฐ
จึงไปดักทางช่องทางนี้ และนับเหรียญที่ออกไปฝั่งคริปโต ว่ามีปริมาณเท่าไรสามารถควบคุมการเข้าอออกได้ด้วย กฎหมายปกติ
วันนึงเมื่อปริมาณเหรียญ ที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ไหลออกไปฝั่งคริปเป็นปริมาณมากพอแล้ว กฎหมายอาจจะถูกใช้เพื่อไม่ให้เงินไหลกับ
เข้ามาในฝั่งเงินกระดาษ นั่นหมายถึงเรามีเหรียญแต่จะไม่สามารถ แลกเป็นเงินกระดาษได้แล้ว มันจึงเป็นการส่ง เงินเฟ้อ เงินQE
เงินปั๊มอัดฉีดทั้งหลาย ไปทิ้งในโลกคู่ขนานหรือหลุมดำ ของเงินสกุลกระดาษทั่วไป โดยมันจะไม่สามารถกลับมาได้แบบปกติ
นอกจากมันจะทำได้แค่ดำเนิน กิจกรรมในโลกเงินคริปโต คู่ขนานไปกับสกุลกระดาษเท่านั้น
นับแต่ปี19-21ปริมาณเงินที่ปั๊มเข้าระบบ มีมูลค่าเท่าไรเราก็คอยไปรวบรวม market cap ของสกุลเงิน stable coin รวมกันถ้ามันมีสัก
50%ของเงินที่อัดฉีดเข้าระบบ เราก็น่าจะคาดได้ว่า เงินมันออกไปมากแล้ว เหรียญคริปโตกำลังจะไม่มีมูลค่าอีกแล้ว ถึงตรงนั้น
ก็ตัวใครตัวมัน
จีนแบบคริปโตเพราะกลัวนักลงทุน เอาเงินหยวนไปช่วยซื้อดอลลาร์มามาเผาทิ้ง
จีนฉลาด ที่แบบคริปโตเพราะเห็นสิ่งที่รัฐบาล สหรัฐกำลังหลอกชาวโลก ให้ช่วยกันซื้อเหรียญดอลลลาร์ มาเผาในสกุลเงินคริปโต
เพราะเหรียญที่มีมูลค่าส่วนใหญ่ คือเหรียญที่สร้างโดยตลาดจ้าวอย่างสหรัฐ การที่เราจะซื้อเหรียญจึงต้องเอาเงินสกุลท้องถิ่น แลกเป็น
เงินสกุล stable coin อย่างเช่น USDT BUSD เป็นต้น นั่นมันก็คือการช่วยซื้อเงินสกุลดอลลาร์ที่จะเป็นกระดาษชำระ มาช่วยกันเผาทิ้ง
ในตลาดคริปโต
เล่ามาทั้งหมด ก็เป็นเรื่องวิธีการกำจัดเงินที่มันล้นระบบทางอ้อม โดยใช้ตลาดและเหรียญคริปเป็นตัว กักเก็บเงินเฟ้อหรือเงินปั๊มอัดฉีด
จนล้นเกินในระบบ ให้กลับมาสมดุลย์อีกครั้ง หรือ สกุลเงินดอลลาร์กลับมาผงาดอีกครั้ง
สรุปเล่ามาสั้นๆ เน้นอ่านเข้าใจง่ายๆ แบบไม่ต้องมีพื้นฐาน
(.......บางทีเงินอาจไม่เฟ้ออย่างที่คาด เพราะโลกมีวิธีกำจัดเงินส่วนเกิน แบบเบ็ดเสร็จ........)
ไม่ให้มูลค่าออกมาเพิ่มปริมาณข้างนอกตลาด การทำแบบนั้นมันไม่ค่อย ส่งผลดีต่อการลงทุน อีกทั้งเมื่อพิมพ์เงินมามากๆ หุ้นมันมีมูลค่า
ในตัวมันเอง เจ้าของหรือเจ้ามือ ก็จะชิงขายก่อนเอาเงินออกมาอยู่ดี ทำให้วิธีนี้ ไม่ค่อยได้ผลในการกำจัดเงินเฟ้อ นอกเหนือจากเรื่อง
การกำกับอัตราดอกเบี้ยที่ทำเป็นปกติ
การที่เงินปั๊มเข้าระบบมามากๆ การออกกฎหมายให้เอาเงินไปเผาทิ้ง มันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเรื่องนี้มันจึงมาถึงของเงินคริปโต
เพราะเงินคริปโตไม่ได้ถูกกำกับจากรัฐบาล มันสามารถมีกฎการเผาเหรียญได้ นั่นก็หมายถึงการ เผาสกุลเงินกระดาษแบบทางอ้อม
วิธีการมันก็มีหลากหลายรูปแบบ เช่น เหรียญถูกปั่นจนราคาสูงแล้ว ร่วงลงอย่างรวดเร็วขังมูลค่าเงินกระดาษไว้ตลอดกาลเพราะ
การที่จะเอาเหรียญนั้นดันราคากลับมาใหม่มันต้องใส่เงินเข้าไป คำถามคือแล้วใครจะเป็นคนใส่เข้าไป แล้วจ้าวมือคือใคร จับมือ
ใครดมไม่ได้ คนของรัฐบาลเองหรือเปล่าที่เข้ามาปั่น เพื่อจะเผาเงินทิ้งหรือเรียกอีกอย่างว่าดูดลงหลุมblack holeที่ไม่มีวันกลับมาได้อีก
เพราะเหรียญมันไม่ใช่หุ้น มันไม่มีมูลค่าในตัวมันเองที่จะสามารถ กลับขึ้นมาเองได้ตามผลการดำเนินงานของธุรกิจนั้นๆ
ตลาดคริปโตสามารถถูกควบคุมได้เบ็ดเสร็จ
หลายคนบอกว่า ตลาดคริปโตคือตลาดที่ไม่มีศูนย์กลาง อันนี้ไม่ผิด แต่สิ่งที่เขาคิดว่ารัฐควบคุมไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด
การควบคุมตลาดคริปโตเขาไม่ได้ควบคุมเหรียญคริปโต แต่เขาควบคุมเหรียญที่เป็นstable coin หรือเหรียญที่ใช้แลก
เงินกระดาษ การเข้าออกของเงินกระดาษไปเหรียญคริปโต จะผ่านทางเหรียญstable coin เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นนั้นรัฐ
จึงไปดักทางช่องทางนี้ และนับเหรียญที่ออกไปฝั่งคริปโต ว่ามีปริมาณเท่าไรสามารถควบคุมการเข้าอออกได้ด้วย กฎหมายปกติ
วันนึงเมื่อปริมาณเหรียญ ที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ไหลออกไปฝั่งคริปเป็นปริมาณมากพอแล้ว กฎหมายอาจจะถูกใช้เพื่อไม่ให้เงินไหลกับ
เข้ามาในฝั่งเงินกระดาษ นั่นหมายถึงเรามีเหรียญแต่จะไม่สามารถ แลกเป็นเงินกระดาษได้แล้ว มันจึงเป็นการส่ง เงินเฟ้อ เงินQE
เงินปั๊มอัดฉีดทั้งหลาย ไปทิ้งในโลกคู่ขนานหรือหลุมดำ ของเงินสกุลกระดาษทั่วไป โดยมันจะไม่สามารถกลับมาได้แบบปกติ
นอกจากมันจะทำได้แค่ดำเนิน กิจกรรมในโลกเงินคริปโต คู่ขนานไปกับสกุลกระดาษเท่านั้น
นับแต่ปี19-21ปริมาณเงินที่ปั๊มเข้าระบบ มีมูลค่าเท่าไรเราก็คอยไปรวบรวม market cap ของสกุลเงิน stable coin รวมกันถ้ามันมีสัก
50%ของเงินที่อัดฉีดเข้าระบบ เราก็น่าจะคาดได้ว่า เงินมันออกไปมากแล้ว เหรียญคริปโตกำลังจะไม่มีมูลค่าอีกแล้ว ถึงตรงนั้น
ก็ตัวใครตัวมัน
จีนแบบคริปโตเพราะกลัวนักลงทุน เอาเงินหยวนไปช่วยซื้อดอลลาร์มามาเผาทิ้ง
จีนฉลาด ที่แบบคริปโตเพราะเห็นสิ่งที่รัฐบาล สหรัฐกำลังหลอกชาวโลก ให้ช่วยกันซื้อเหรียญดอลลลาร์ มาเผาในสกุลเงินคริปโต
เพราะเหรียญที่มีมูลค่าส่วนใหญ่ คือเหรียญที่สร้างโดยตลาดจ้าวอย่างสหรัฐ การที่เราจะซื้อเหรียญจึงต้องเอาเงินสกุลท้องถิ่น แลกเป็น
เงินสกุล stable coin อย่างเช่น USDT BUSD เป็นต้น นั่นมันก็คือการช่วยซื้อเงินสกุลดอลลาร์ที่จะเป็นกระดาษชำระ มาช่วยกันเผาทิ้ง
ในตลาดคริปโต
เล่ามาทั้งหมด ก็เป็นเรื่องวิธีการกำจัดเงินที่มันล้นระบบทางอ้อม โดยใช้ตลาดและเหรียญคริปเป็นตัว กักเก็บเงินเฟ้อหรือเงินปั๊มอัดฉีด
จนล้นเกินในระบบ ให้กลับมาสมดุลย์อีกครั้ง หรือ สกุลเงินดอลลาร์กลับมาผงาดอีกครั้ง
สรุปเล่ามาสั้นๆ เน้นอ่านเข้าใจง่ายๆ แบบไม่ต้องมีพื้นฐาน