- ด้วยความจำไม่ดี และพยายามทำความเข้าใจในแต่ละประเด็นที่อาจารย์สอน เมื่อเข้าใจในประเด็นนี้แล้ว ก็ฟังและทำความเข้าใจในประเด็นต่อไป ถ้าประเด็นต่อไปเข้าใจแล้วก็ผ่านไปประเด็นต่อไป ๆ ๆ ถ้าไม่เข้าใจประเด็นอีก ก็ฟังซ้ำจนกระทั่งเข้าใจ
- แม้ว่าจะจดจำไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะเนื้อหาของพระธรรมที่มากมาย แต่อาจารย์ท่านกล่าวไว้ว่า ให้เสพอารมณ์เข้าใจไว้ก็พอแล้ว และเมื่อใดที่ต้องการเข้าใจอีกครั้งก็มาทบทวนใหม่อีก
- มาถึงวันนี้ วันที่ทบทวนคัมภีร์ปัฏฐาน ด้วยยูตู๊บ บวกกับ การจดบันทึกทุกคำในการเรียนคัมภีร์ปัฏฐานเมื่อครั้งก่อน แล้วพอตอนกำลังเรียนปฏิสัมภิทามรรค เกิดสงสัยในปัจจัย 24 ก็เลยต้องกลับมาทบทวนคัมภีร์ปัฏฐาน จนกว่าจะจบ แล้วค่อยกลับไปต่อ ปฏิสัมภิทามรรค บทที่ 30 ใน 71 ต่อไป
- การเรียนก็คือการเรียน ไม่ได้ว่าเรียนแล้วจะบรรลุดวงตาเห็นธรรม ยังไงๆก็ยังโลกิยะอยู่วันยังค่ำ เพียงแต่ว่า เริ่มมีสติตามรู้จิตที่เกิดขึ้น ว่าเป็นมหากุศล ตัวไหน เป็น อกุศลจิตตัวไหน แต่ก็ไม่ได้มีสติตามรู้ในทันที ต้องใช้เวลาหน่อยถึงจะมีสติพอจะโยนิโสมนสิการได้เพราะมีความรู้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีสติระเบิดได้ แต่พิจารณาดูแล้ว ดีกว่าเดิมเยอะ เมื่อก่อน ก่อนที่ศึกษาอย่างจริงจังก็ทำอะไรไปเยอะแยะ แล้วยังนึกว่าจะไปสวรรค์พรหมโลก แต่พอศึกษาแล้วรู้ว่าน่าจะไปอบายภูมิมากกว่า ตอนนี้ศึกษาแล้ว แต่การปฏิบัติก็ดีขึ้น ยัง 50 50 ยังอนุมานไม่ได้ว่าจะไปไหน แต่ถ้าให้เดาน่าจะยังคงไปอบายภูมิ นอกเสียจากว่า รักษาศีลครบ และสมถะภาวนาจนสำเร็จฌาน นั่นแหละจึงจะฟันธงได้อย่างแน่นอนว่าชาติหน้าไปเกิดเป็นพรหมแน่นอน
- การเรียนการศึกษาพระธรรมไม่ได้เสียหาย ไม่ได้ทิ้งชีวิต ที่นึกว่ามีค่ามากกว่าที่จะมาเรียนพระธรรม ตรงกันข้าม ชีวิตที่หมดไปกับการศึกษาพระธรรม แม้จะเรียนจากยูตู๊บ จากอาจารย์ทั้งพระ(ที่เป็นอาจารย์สอนพระอภิธรรม) ทั้งฆราวาส(ที่เป็นอาจารย์สอนพระอภิธรรม) กลับมีคุณค่ายิ่งกับเวลาของชีวิตที่เสียไป และไม่ได้รู้สึกเสียดายเลย
- ผลงานดีและไม่ดีของชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเริ่มเรียนพระธรรม ลืมไปหมดแล้ว ความรู้ทางโลกมากมายที่สั่งสมไว้ด้วยความอยากรู้ตอนก่อนเรียนพระอภิธรรม ทิ้งหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามความรู้ทางโลกก็เป็นพื้นฐานด้วยวิธีคิดแบบสังเคราะห์ออกมาใช้ในการศึกษาพระธรรมอย่างไม่รู้ตัว แต่รู้ด้วยตนเองว่าจะไม่อ้างทฤษฎีหลักการดีๆต่างๆจากบุคคลทางโลกเข้ามาปะปนกับ ปัจจัย ปัจจยุบัน และปัจจนิก ในการศึกษาพระธรรมอย่างเด็ดขาด ในโอกาสต่อๆไป
- ตราบใดที่ยังไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม ตราบนั้นก็ยังมี มิจฉาทิฏฐิ ครอบงำอยู่
- สมมุติว่ามิจฉาทิฏฐิของผมมี 100 ส่วน การศึกษาพระธรรมของผมก็ทำให้ มิจฉาทิฏฐิ ลดลงไปหลายส่วน คิดไม่ออกว่าตัวเลขกี่ส่วน เลยบอกว่าลดไปหลายส่วน ถ้ามิจฉาหมดไปทั้ง 100 ส่วนก็คงได้ดวงตาเห็นธรรม
- เมื่อศึกษาก็จะได้เห็น พระสัพพัญญุตาของพระพุทธเจ้า และเห็นสติปัญญาของพระอรรถกถาจารย์ เห็นปัญญาของอาจารย์ ซึ่งที่ผ่านมามัวไปหลงเชื่อพระเกจิอาจารย์ เก่าๆมามากมาย เมื่อเรียนแล้ว ปลดความเชื่อนั้นหมด แต่เชื่อในพระธรรม พระธรรมในพระไตรปิฎก พระอรรถกถาจารย์ในพระไตรปิฎก และอาจารย์ท่านนี้ พระอาจารย์ท่านนี้ที่สอน แล้วผมฟังเข้าใจ
- ก็นับว่า ช่างโชคดีอย่างยิ่งที่ได้เจอท่านกัลยาณมิตรเหล่านี้ เพราะไม่ยังงั้น คงหลงทางไปจนตายตายไปแล้วกี่ชาติต่อกี่ชาติก็ยังไม่รู้ตัวว่ามีมิจฉาทิฏฐิ แต่วันนี้รู้แล้ว มิจฉาทิฏฐิที่ยังคงมีเหลือ ก็คงค่อยๆพิจารณาไตร่ตรองตามความรู้แห่งพระธรรมที่มีและเข้าใจในโอกาสต่อๆไป
- ความทุกข์ ก็คงยังมี แม้จะนับว่าสบายๆแล้วในตอนนี้ โดยเฉพาะ ชรามรณะ ตั้งแต่จำความได้ ความทุกข์ก็มีมาตลอดๆในรูปแบบแตกต่างจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
- แต่ ความทุกข์ในปัจจุบัน ก็ทำให้ได้สติ ไตร่ตรอง ตามรู้ทุกข์นั้น จนกระทั่ง เห็น เหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ เกิดเบื่อหน่าย เกิดรังเกียจ และเข้าใจได้ตลอดสาย ในความทุกข์เรื่องย่อยๆเรื่องหนึ่ง ซึ่งได้หลายเรื่องแล้ว แต่ไม่หมดจด ยังมีทุกข์เข้ามาเรื่อยๆและยังไม่มีความสามารถที่จะตามรู้ทุกข์หลายๆเรื่องนั้นได้ เพราะยังขาดสติที่ดีกว่า ขาดความรู้ในการไตร่ตรองที่ดีกว่าปัจจุบัน แต่เรื่องไหนที่ไตร่ตรองได้จนหมดจดแล้วก็จบไปแบบไม่มีวันเกิดอีก
- ถามว่า เรียนแล้วสามารถตอบคำถามได้ไหม จริงๆแล้วจะไม่ค่อยกล้าตอบ เพราะพระธรรมยิ่งเรียนยิ่งลึกซึ้ง ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็จะใช้คำสอนเช่นพระสูตร หรือ ของอาจารย์หรือพระอาจารย์มาแปะแทน ถ้าคำถามนั้นพิจารณาแล้วน่าจะมีคำตอบแบบนี้ และอาจารย์ตอบแบบนี้ ส่วนจะคิดตอบเองถ้าวันไหนตอบไปก็คงจะมั่วเกินร้อยละ 80 ไม่ตอบดีกว่า สำรวมกายวาจาใจไม่เป็นสังขารต่อไปด้วยปัจจัยคืออวิชชา
- ผมได้อ่านหัวข้อกระทู้ของเพื่อนสมาชิก ก็เป็นคำถามที่เมื่อก่อนเรียนผมก็ชอบสงสัยเป็นอย่างเดียวกัน วันนี้ไม่สงสัยแบบนั้นแล้ว แต่ก็ไปสงสัยอย่างอื่นต่อ
- แค่เรื่องราวในพระสูตร ยังอ่านไม่จบ ใครอ้างอะไรมาในพระสูตรก็ยังไม่รู้ว่ามีเลย นับว่าตัวผมนั้นอีกยาวไกล
- ปุคคลทิษฐาน กับ ธัมมาทิษฐาน ถ้ามีความเข้าใจ พิจารณาไตร่ตรองแล้วก็ไม่มีอะไร แต่หากเป็นฝ่ายปุคคลาทิษฐานอย่างเดียวไม่มีความเข้าใจในธัมมาทิษฐาน ก็เถึยงกันทั้งวัน
- พวกมโนคิดเอาเองเออเองนึกว่าเป็นโน่นเป็นนี่เอาเองว่ามีสุตตะกับจินตายอดเยี่ยม กับ พวกจินตามยปัญญาเพราะมีสุตตมยปัญญาตามสมควรแก่ธรรมและพร้อมมีสัมมาทิฏฐิในระดับหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งเถียง ฝ่ายหนึ่งถ้ามีสติก็วิริยะให้อรรถาธิบายกันไม่จบซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยจิตเป็นมหากุศลอย่างยอดเยี่ยม
- ผมก็กดไลค์ให้เพราะเห็นในวิริยะและสติที่พยายามอธิบายให้พวกมโนคิดเองเออเองนึกว่าเป็นโน่นเป็นนี่เอง ได้มีวันที่จะเข้าใจได้ตรงทางตามพระไตรปิฎก
- ยังไงๆผมก็ไม่เข้าใจว่า ถ้าไม่ศึกษาพระอรรถกถา แล้วจะเอาพระธรรมที่ไหนมาว่าได้ พระดำรัสของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายๆ มีตัวอย่างมากมายในพระสูตร ที่พระฟังพระพุทธเจ้ากล่าวแล้วไม่เข้าใจ ต้องไปหาพระธรรมกถึกมีชื่อกราบเรียนถาม แล้วต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าท่านทราบท่านก็กล่าวอนุโมทนาว่าถูกต้องแล้วตามที่พระธรรมกถึกกล่าว
- ถ้าคนบางพวกเรียนพระอภิธรรมเข้าใจแล้ว มากล่าวว่า พระอภิธรรมไม่ดี ผมก็จะฟังและพิจารณานะครับ
- แต่ถ้าไม่มีปัญญาเรียนพระอภิธรรม ตัวเองก็ไม่เคยลองเรียน แล้วมากล่าวว่าไม่ควรเรียน อันนี้เจอเมื่อไหร่ ขอห่างไกลทันที
- สำหรับผมถ้าเจอคนที่บอกว่าไม่เอาอรรถกถา เมื่อไหร่ ผมจะคิดในใจของผมว่า พวกนี้เป็นพวกเนรคุณคุณพระสงฆสาวก นะครับ จะไม่ขอยุ่งเกียวกับพวกนี้เลย คนพวกนี้คงสวดมนต์แค่ พระพุทธคุณ กับ พระธรรมคุณ เท่านั้น
- อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ อ่านแล้วเกิดมหากุศลจิต ก็ขออนุโมทนาสาธุนะครับ อ่านแล้วเกิดอกุศลจิต/มหากุศลจิต ก็ขอให้มีสติพิจารณาอกุศลจิตที่เกิด มหากุศลที่เกิด ให้ได้ทันอย่างเนืองๆให้ได้นะครับ
การศึกษาธรรมแบบที่ผมทำ ผมว่าได้ผลคือความรู้ทางพระธรรมอย่างดี นะครับ
- แม้ว่าจะจดจำไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะเนื้อหาของพระธรรมที่มากมาย แต่อาจารย์ท่านกล่าวไว้ว่า ให้เสพอารมณ์เข้าใจไว้ก็พอแล้ว และเมื่อใดที่ต้องการเข้าใจอีกครั้งก็มาทบทวนใหม่อีก
- มาถึงวันนี้ วันที่ทบทวนคัมภีร์ปัฏฐาน ด้วยยูตู๊บ บวกกับ การจดบันทึกทุกคำในการเรียนคัมภีร์ปัฏฐานเมื่อครั้งก่อน แล้วพอตอนกำลังเรียนปฏิสัมภิทามรรค เกิดสงสัยในปัจจัย 24 ก็เลยต้องกลับมาทบทวนคัมภีร์ปัฏฐาน จนกว่าจะจบ แล้วค่อยกลับไปต่อ ปฏิสัมภิทามรรค บทที่ 30 ใน 71 ต่อไป
- การเรียนก็คือการเรียน ไม่ได้ว่าเรียนแล้วจะบรรลุดวงตาเห็นธรรม ยังไงๆก็ยังโลกิยะอยู่วันยังค่ำ เพียงแต่ว่า เริ่มมีสติตามรู้จิตที่เกิดขึ้น ว่าเป็นมหากุศล ตัวไหน เป็น อกุศลจิตตัวไหน แต่ก็ไม่ได้มีสติตามรู้ในทันที ต้องใช้เวลาหน่อยถึงจะมีสติพอจะโยนิโสมนสิการได้เพราะมีความรู้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีสติระเบิดได้ แต่พิจารณาดูแล้ว ดีกว่าเดิมเยอะ เมื่อก่อน ก่อนที่ศึกษาอย่างจริงจังก็ทำอะไรไปเยอะแยะ แล้วยังนึกว่าจะไปสวรรค์พรหมโลก แต่พอศึกษาแล้วรู้ว่าน่าจะไปอบายภูมิมากกว่า ตอนนี้ศึกษาแล้ว แต่การปฏิบัติก็ดีขึ้น ยัง 50 50 ยังอนุมานไม่ได้ว่าจะไปไหน แต่ถ้าให้เดาน่าจะยังคงไปอบายภูมิ นอกเสียจากว่า รักษาศีลครบ และสมถะภาวนาจนสำเร็จฌาน นั่นแหละจึงจะฟันธงได้อย่างแน่นอนว่าชาติหน้าไปเกิดเป็นพรหมแน่นอน
- การเรียนการศึกษาพระธรรมไม่ได้เสียหาย ไม่ได้ทิ้งชีวิต ที่นึกว่ามีค่ามากกว่าที่จะมาเรียนพระธรรม ตรงกันข้าม ชีวิตที่หมดไปกับการศึกษาพระธรรม แม้จะเรียนจากยูตู๊บ จากอาจารย์ทั้งพระ(ที่เป็นอาจารย์สอนพระอภิธรรม) ทั้งฆราวาส(ที่เป็นอาจารย์สอนพระอภิธรรม) กลับมีคุณค่ายิ่งกับเวลาของชีวิตที่เสียไป และไม่ได้รู้สึกเสียดายเลย
- ผลงานดีและไม่ดีของชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเริ่มเรียนพระธรรม ลืมไปหมดแล้ว ความรู้ทางโลกมากมายที่สั่งสมไว้ด้วยความอยากรู้ตอนก่อนเรียนพระอภิธรรม ทิ้งหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามความรู้ทางโลกก็เป็นพื้นฐานด้วยวิธีคิดแบบสังเคราะห์ออกมาใช้ในการศึกษาพระธรรมอย่างไม่รู้ตัว แต่รู้ด้วยตนเองว่าจะไม่อ้างทฤษฎีหลักการดีๆต่างๆจากบุคคลทางโลกเข้ามาปะปนกับ ปัจจัย ปัจจยุบัน และปัจจนิก ในการศึกษาพระธรรมอย่างเด็ดขาด ในโอกาสต่อๆไป
- ตราบใดที่ยังไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม ตราบนั้นก็ยังมี มิจฉาทิฏฐิ ครอบงำอยู่
- สมมุติว่ามิจฉาทิฏฐิของผมมี 100 ส่วน การศึกษาพระธรรมของผมก็ทำให้ มิจฉาทิฏฐิ ลดลงไปหลายส่วน คิดไม่ออกว่าตัวเลขกี่ส่วน เลยบอกว่าลดไปหลายส่วน ถ้ามิจฉาหมดไปทั้ง 100 ส่วนก็คงได้ดวงตาเห็นธรรม
- เมื่อศึกษาก็จะได้เห็น พระสัพพัญญุตาของพระพุทธเจ้า และเห็นสติปัญญาของพระอรรถกถาจารย์ เห็นปัญญาของอาจารย์ ซึ่งที่ผ่านมามัวไปหลงเชื่อพระเกจิอาจารย์ เก่าๆมามากมาย เมื่อเรียนแล้ว ปลดความเชื่อนั้นหมด แต่เชื่อในพระธรรม พระธรรมในพระไตรปิฎก พระอรรถกถาจารย์ในพระไตรปิฎก และอาจารย์ท่านนี้ พระอาจารย์ท่านนี้ที่สอน แล้วผมฟังเข้าใจ
- ก็นับว่า ช่างโชคดีอย่างยิ่งที่ได้เจอท่านกัลยาณมิตรเหล่านี้ เพราะไม่ยังงั้น คงหลงทางไปจนตายตายไปแล้วกี่ชาติต่อกี่ชาติก็ยังไม่รู้ตัวว่ามีมิจฉาทิฏฐิ แต่วันนี้รู้แล้ว มิจฉาทิฏฐิที่ยังคงมีเหลือ ก็คงค่อยๆพิจารณาไตร่ตรองตามความรู้แห่งพระธรรมที่มีและเข้าใจในโอกาสต่อๆไป
- ความทุกข์ ก็คงยังมี แม้จะนับว่าสบายๆแล้วในตอนนี้ โดยเฉพาะ ชรามรณะ ตั้งแต่จำความได้ ความทุกข์ก็มีมาตลอดๆในรูปแบบแตกต่างจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
- แต่ ความทุกข์ในปัจจุบัน ก็ทำให้ได้สติ ไตร่ตรอง ตามรู้ทุกข์นั้น จนกระทั่ง เห็น เหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ เกิดเบื่อหน่าย เกิดรังเกียจ และเข้าใจได้ตลอดสาย ในความทุกข์เรื่องย่อยๆเรื่องหนึ่ง ซึ่งได้หลายเรื่องแล้ว แต่ไม่หมดจด ยังมีทุกข์เข้ามาเรื่อยๆและยังไม่มีความสามารถที่จะตามรู้ทุกข์หลายๆเรื่องนั้นได้ เพราะยังขาดสติที่ดีกว่า ขาดความรู้ในการไตร่ตรองที่ดีกว่าปัจจุบัน แต่เรื่องไหนที่ไตร่ตรองได้จนหมดจดแล้วก็จบไปแบบไม่มีวันเกิดอีก
- ถามว่า เรียนแล้วสามารถตอบคำถามได้ไหม จริงๆแล้วจะไม่ค่อยกล้าตอบ เพราะพระธรรมยิ่งเรียนยิ่งลึกซึ้ง ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็จะใช้คำสอนเช่นพระสูตร หรือ ของอาจารย์หรือพระอาจารย์มาแปะแทน ถ้าคำถามนั้นพิจารณาแล้วน่าจะมีคำตอบแบบนี้ และอาจารย์ตอบแบบนี้ ส่วนจะคิดตอบเองถ้าวันไหนตอบไปก็คงจะมั่วเกินร้อยละ 80 ไม่ตอบดีกว่า สำรวมกายวาจาใจไม่เป็นสังขารต่อไปด้วยปัจจัยคืออวิชชา
- ผมได้อ่านหัวข้อกระทู้ของเพื่อนสมาชิก ก็เป็นคำถามที่เมื่อก่อนเรียนผมก็ชอบสงสัยเป็นอย่างเดียวกัน วันนี้ไม่สงสัยแบบนั้นแล้ว แต่ก็ไปสงสัยอย่างอื่นต่อ
- แค่เรื่องราวในพระสูตร ยังอ่านไม่จบ ใครอ้างอะไรมาในพระสูตรก็ยังไม่รู้ว่ามีเลย นับว่าตัวผมนั้นอีกยาวไกล
- ปุคคลทิษฐาน กับ ธัมมาทิษฐาน ถ้ามีความเข้าใจ พิจารณาไตร่ตรองแล้วก็ไม่มีอะไร แต่หากเป็นฝ่ายปุคคลาทิษฐานอย่างเดียวไม่มีความเข้าใจในธัมมาทิษฐาน ก็เถึยงกันทั้งวัน
- พวกมโนคิดเอาเองเออเองนึกว่าเป็นโน่นเป็นนี่เอาเองว่ามีสุตตะกับจินตายอดเยี่ยม กับ พวกจินตามยปัญญาเพราะมีสุตตมยปัญญาตามสมควรแก่ธรรมและพร้อมมีสัมมาทิฏฐิในระดับหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งเถียง ฝ่ายหนึ่งถ้ามีสติก็วิริยะให้อรรถาธิบายกันไม่จบซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยจิตเป็นมหากุศลอย่างยอดเยี่ยม
- ผมก็กดไลค์ให้เพราะเห็นในวิริยะและสติที่พยายามอธิบายให้พวกมโนคิดเองเออเองนึกว่าเป็นโน่นเป็นนี่เอง ได้มีวันที่จะเข้าใจได้ตรงทางตามพระไตรปิฎก
- ยังไงๆผมก็ไม่เข้าใจว่า ถ้าไม่ศึกษาพระอรรถกถา แล้วจะเอาพระธรรมที่ไหนมาว่าได้ พระดำรัสของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายๆ มีตัวอย่างมากมายในพระสูตร ที่พระฟังพระพุทธเจ้ากล่าวแล้วไม่เข้าใจ ต้องไปหาพระธรรมกถึกมีชื่อกราบเรียนถาม แล้วต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าท่านทราบท่านก็กล่าวอนุโมทนาว่าถูกต้องแล้วตามที่พระธรรมกถึกกล่าว
- ถ้าคนบางพวกเรียนพระอภิธรรมเข้าใจแล้ว มากล่าวว่า พระอภิธรรมไม่ดี ผมก็จะฟังและพิจารณานะครับ
- แต่ถ้าไม่มีปัญญาเรียนพระอภิธรรม ตัวเองก็ไม่เคยลองเรียน แล้วมากล่าวว่าไม่ควรเรียน อันนี้เจอเมื่อไหร่ ขอห่างไกลทันที
- สำหรับผมถ้าเจอคนที่บอกว่าไม่เอาอรรถกถา เมื่อไหร่ ผมจะคิดในใจของผมว่า พวกนี้เป็นพวกเนรคุณคุณพระสงฆสาวก นะครับ จะไม่ขอยุ่งเกียวกับพวกนี้เลย คนพวกนี้คงสวดมนต์แค่ พระพุทธคุณ กับ พระธรรมคุณ เท่านั้น
- อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ อ่านแล้วเกิดมหากุศลจิต ก็ขออนุโมทนาสาธุนะครับ อ่านแล้วเกิดอกุศลจิต/มหากุศลจิต ก็ขอให้มีสติพิจารณาอกุศลจิตที่เกิด มหากุศลที่เกิด ให้ได้ทันอย่างเนืองๆให้ได้นะครับ