เราทำงานเก็บเงินได้ก้อนนึงอยากออกรถเป็นของตัวเองคันแรก
แม่เราขอยืมเงินก้อนแรกที่เราเก็บได้สองแสนกลมๆไปทำบ้าน(เราเป็นลูกคนกลาง)น้องเราไม่ได้ให้เงิน พี่สาวเราให้หนึ่งแสน เราให้เยอะสุดเพราะเราเงินเดือนเยอะสุด
แต่บ้านทำเสร็จบ้านเป็นชื่อน้องสาวเรานะ
เราก็ให้ไปแม่บอกจะคืนให้ เราก็ไว้ใจเพราะแม่ทำธุรกิจหาเงินได้เป็นก้อนๆใหญ่แม่คงทะยอยคืน
ตลอดเวลาเราก็ส่งให้ที่บ้านเดือนละ3,000+ ไม่รวมเทศกาล และซื้อของส่งกลับบ้านตลอด
เราวางแผนจะแต่งงานกับแฟนแบบเรียบง่ายไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ โทรไปคุยกับพ่อแม่เราว่าขอจัดพิธีเล็กๆสู่ขอแล้วให้สินสอดไปได้ไหมไม่ต้องจัดงานจะได้เก็บเงินไว้สร้างอนาคตเพราะถ้าเราจัดงานจะเท่ากับเราเสียเงินเปล่าและเหนื่อยขาดทุนด้วย
แม่เราไม่ยอม พูดคำนี้ออกมาจากปาก ถ้าไม่มาแต่งไม่จัดงาน ก็ไม่ต้องมาขอ ให้หนีตามกันไปเลยเพราะที่บ้านยังไม่มีงานใดๆอยากให้ลูกสาวได้แต่งงานอยากมีหน้ามีตามีงานเลี้ยง เราปรึกษากันตกลงจัดงานแต่งเพราะเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่อยากให้ลูกสาวได้แต่งงาน
ก็เก็บตัวต่อไปสองคนแฟน
เวลาผ่านไปแม่บอกว่าเงินสองแสนที่ยืมไปแม่ขอไม่คืนนะ ให้เป็นค่าสินสอดแล้วกัน เราก็โอเคตกลง เพราะยังไงก็ต้องให้สินสอดแม่อยู่แล้ว
แม่ตกลงจัดงานให้เรา แม่จะลงทุนเต้นและอาหารเลี้ยงแขก ส่วนซองทั้งหมดแม่จะเอาไว้ เราก็โอเคตกลง แม่บอกว่าส่วนอย่างอื่น ถ่ายพรีเวดดิ้ง ชุดบ่าวสาว ซุ้ม ของชำร่วย ของรับขวัญ ช่างภาพ จิปาถะทุกอย่างที่เสียทิ้งเราเป็นคนออกไป เราก็โอเคตกลง เราเริ่มติดต่อ ออแกไนท์ เริ่มดิวทุกอย่าง แพลนเราแต่งคือ 20 กุมภาพันธ์ 2564 เราจ่ายทุกอย่างครบ90% เหลือบางอย่างที่แค่มัดจำไว้ รวมเป็นเงิน 200,000++
พอมกราคมยายเราเสียชีวิตเพราะโรคคนแก่
แม่และญาติๆเราบางส่วนเห็นพ่องต้องกันกว่าเก็บศพ วันนี้วันไม่ดีให้ไปเผาวันดี คือ 20 กุมภาพันธ์ 2564 คือฤกษ์แต่งงานของเรา เราก็ไม่คิดอะไรมากยายเสียก็เสียใจ เลยขอเลื่อนกับออแกไนท์งานแต่งออกไป เป็น 12 กรกฎาคม2564 เราก็อยากแต่งให้ไวเพราะเราอายุ30 ปีแล้ว เราวางแพลนกันไว้นานแล้วว่าอายุ30 เราจะแต่งงาน มีลูก สร้างครอบครัวกัน เราก็ตกลงกับแม่ ว่าโอเคเราเลื่อนงานไปวันนี้นะ แม่ตกลงโอเค เราก็พิมพ์การ์ดแต่งงานใหม่ เป็น12 กรกฎาคม 2564
พองานยายเราเผาเสร็จ 20 กุมภาพันธ์ 2564 เราก็ไปที่บ้านลาญาติทุกคนกลับ กทม แล้วญาติก็ถกเถียงกันสนั่น ว่าจะแต่งได้ยังไงยายเพิ่งเสีย ญาติพี่น้องก็เสียงแตกเป็นสองฝ่าย เราก็ร้องไห้พูดไม่ออกว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ แฟนเราก็ถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงแต่งไม่ได้ เขาก็บอกโบราณถือ แฟนบอกขอเหตุผลเพราะงานแต่งเป็นเรื่องของสองฝ่าย ฝ่ายเขาก็เตรียมงานกันแล้วเหมือนกันถึงสองรอบแล้วจะได้ไปบอกผู้ใหญ่ทางเขาถูกว่ายังไง ป้าๆและแม่ก็ได้แต่พูดว่าโบราณเขาถือเขาไม่ให้แต่ง เราก็บอกว่าเราเสียค่าจัดงานไปแล้วสองแสนกว่าบาทซึ่งบางอย่างเขาไม่ได้ให้เราเลื่อนโดนไม่มีเหตุผลแล้ว เพราะเราเลื่อนมาแล้วครั้งนึง เขาไม่ได้มีลูกค้าแค่เรานะ เขาก็ต้องแพลนงานของเขาเหมือนกัน ถ้ายืนยันจะไม่ให้แต่งที่เราเสียทิ้งไปมีใครช่วยเราออกบ้างไหมป้าๆ ทุกคนก็เงียบ มีลุงเราที่เป็นตำรวจแกเป็นคนมีหน้ามีตาฟังเหตุผล แกเลยตัดสินว่าโอเคถ้าเราจ่ายทุกอย่างไปแล้วเลื่อนไม่ได้จริงๆก็แต่งเพราะมันเป็นเรื่องน่ายินดีงานแต่งทำไมทุกคนถึงไม่ยินดีกัน ลุงเป็นคนตัดสินให้เราได้แต่งงานเราก็ขับรถกลับ กทม โดยคิดว่าทุกคนโอเคยินยอมให้เราแต่งแล้ว
พอเวลาผ่านไปเราก็เตรียมงานเพิ่มกับฝั่งญาติแฟนและแฟน ถึงกลางเดือนมิถุนาแม่เราก็พิมพ์เฟสมาหาเราว่าไม่ให้แต่งงานแล้วนะ ไม่มีคนคนยอมแต่งไม่ได้ไม่ให้แต่ง พูดแต่แบบนี้ว่าไม่ให้แต่ง เราบอกทำไมๆเรากับแฟนก็งงไปหมดทั้งที่ตกลงกันชัดเจน เราร้องไห้จนแทบจะเป็นบ้า ว่าทำไมคนเป็นแม่ถึงทำกับเราขนาดนี้ เราก็ไม่รู้จะทำยังไงพยายามติดต่อพ่อ พ่อเราไม่ค่อยใช้โทรศัพท์ เราติดต่อพ่อได้ พ่อบอกว่าแม่ไปเล่าให้ลุงคนที่บอกให้เราแต่งงานได้ว่า เราอะบังคับให้แม่จัดงานให้ แล้วเอาซองแต่งงานทั้งหมด แล้วก็ขอเงินที่ให้ค่าสินสอดคืน ลุงเลยบอกว่าไม่ต้องไปจัดให้มันถ้ามันทำแบบนี้ เราทรุดลงกับพื้นร้องไห้ฟูมฟาย คนเป็นแม่ทำกับเราได้ขนาดนี้เลยเหรอเพื่อที่จะเอาชนะเรา เราไม่ใช่ลูกเหรอ มีคำถามเกิดขึ้นในหัวมากมาย เราร้องไห้ทั้งวันทั้งคืนพูดกับใครแทบไม่ได้ร้องไห้กับแฟนสองคนจุกอยู่ในอกจะไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้ว่าทำไมแม่เราถึงเป็นแบบนี้ หลังจากนั้นมา เราค่อยๆคุยกับแม่แฟนญาติแฟนให้เข้าใจว่าญาติเราบางคนเขาไม่ยอมจริงๆ เราโกหกเขาว่าแม่เราคุยเต็มที่แล้วแต่พี่ๆแม่เขาไม่ยอมเพื่อจะให้แม่กับแม่มองหน้ากันได้ถ้าดองกัน
หลังจากนั้นเราก็ไม่ติดต่อกับแม่อีกเลย เราคิดว่าเราคงไม่แต่งแล้วแหละเพราะเราเหนื่อยเราหมดแรง เราพยายามทำหน้าที่ลูกคนนึงแล้วแต่มันทำไม่สำเร็จ เงินเรากับแฟนก็หมดสองคนรวมกันประมาณ 500,000 กลมๆ ค่าจัดงานและสินสอดที่ให้แม่ไปทำบ้าน เราก็ไม่คิดอะไรมากที่ให้แม่ไปแต่เราเสียดายเงินที่เสียไปฟรีๆค่าจัดงาน สองแสนกว่าสำหรับเรามันเยอะมากๆนะ เราเป็นมนุษย์เงินเดือนกันทั้ง2คน
เราคิดว่างั้นแต่งปีหน้าก็ได้เลื่อนมาอีกปีเป็น
แต่ตุลาคมที่ผ่านมานี้เรามีเรื่องน่ายินดี คือเรามีน้อง ตอนนี้ น้องอายุครรภ์ประมาณ 7 สัปดาห์แล้ว เราดีใจมากที่น้องมา เราเลยทักไปบอกแม่ แม่เราบอกว่ามาแต่งสิ มกราคมก็ได้ แต่ใจเราอะไม่อยากแต่งแล้วเพราะเราไม่กล้าไปสู้พี่ป้าน้าอา ที่เขามองเราและแฟนเสียหมดแล้วจากคำพูดแม่ที่ไปพูดใส่เรา เรายังสมควรไปแต่งอยู่ไหม ถ้าเราไปแต่งเราต้องเสียเพิ่มอีกค่าเดินทาง ค่าบางอย่างที่ยังไม่จ่าย100% ค่าซองประตูเงินประตูทอง จิปาถะ อีกประมาณ 50,000 คร่าวๆได้
รึเราจะเก็บเงินส่วนนี้ไว้คลอดลูกเลี้ยงลูกดีกว่ากับการที่ไปเสียเพิ่มค่าแต่งงานที่ใครๆไม่ได้เห็นค่าเห็นความหมายกับสิ่งที่เราทำเลย
ครอบครัวไม่ใช่เซฟโซนที่ดีที่สุดสำหรับเราจริงๆใช่ไหม
แม่เราขอยืมเงินก้อนแรกที่เราเก็บได้สองแสนกลมๆไปทำบ้าน(เราเป็นลูกคนกลาง)น้องเราไม่ได้ให้เงิน พี่สาวเราให้หนึ่งแสน เราให้เยอะสุดเพราะเราเงินเดือนเยอะสุด
แต่บ้านทำเสร็จบ้านเป็นชื่อน้องสาวเรานะ
เราก็ให้ไปแม่บอกจะคืนให้ เราก็ไว้ใจเพราะแม่ทำธุรกิจหาเงินได้เป็นก้อนๆใหญ่แม่คงทะยอยคืน
ตลอดเวลาเราก็ส่งให้ที่บ้านเดือนละ3,000+ ไม่รวมเทศกาล และซื้อของส่งกลับบ้านตลอด
เราวางแผนจะแต่งงานกับแฟนแบบเรียบง่ายไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ โทรไปคุยกับพ่อแม่เราว่าขอจัดพิธีเล็กๆสู่ขอแล้วให้สินสอดไปได้ไหมไม่ต้องจัดงานจะได้เก็บเงินไว้สร้างอนาคตเพราะถ้าเราจัดงานจะเท่ากับเราเสียเงินเปล่าและเหนื่อยขาดทุนด้วย
แม่เราไม่ยอม พูดคำนี้ออกมาจากปาก ถ้าไม่มาแต่งไม่จัดงาน ก็ไม่ต้องมาขอ ให้หนีตามกันไปเลยเพราะที่บ้านยังไม่มีงานใดๆอยากให้ลูกสาวได้แต่งงานอยากมีหน้ามีตามีงานเลี้ยง เราปรึกษากันตกลงจัดงานแต่งเพราะเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่อยากให้ลูกสาวได้แต่งงาน
ก็เก็บตัวต่อไปสองคนแฟน
เวลาผ่านไปแม่บอกว่าเงินสองแสนที่ยืมไปแม่ขอไม่คืนนะ ให้เป็นค่าสินสอดแล้วกัน เราก็โอเคตกลง เพราะยังไงก็ต้องให้สินสอดแม่อยู่แล้ว
แม่ตกลงจัดงานให้เรา แม่จะลงทุนเต้นและอาหารเลี้ยงแขก ส่วนซองทั้งหมดแม่จะเอาไว้ เราก็โอเคตกลง แม่บอกว่าส่วนอย่างอื่น ถ่ายพรีเวดดิ้ง ชุดบ่าวสาว ซุ้ม ของชำร่วย ของรับขวัญ ช่างภาพ จิปาถะทุกอย่างที่เสียทิ้งเราเป็นคนออกไป เราก็โอเคตกลง เราเริ่มติดต่อ ออแกไนท์ เริ่มดิวทุกอย่าง แพลนเราแต่งคือ 20 กุมภาพันธ์ 2564 เราจ่ายทุกอย่างครบ90% เหลือบางอย่างที่แค่มัดจำไว้ รวมเป็นเงิน 200,000++
พอมกราคมยายเราเสียชีวิตเพราะโรคคนแก่
แม่และญาติๆเราบางส่วนเห็นพ่องต้องกันกว่าเก็บศพ วันนี้วันไม่ดีให้ไปเผาวันดี คือ 20 กุมภาพันธ์ 2564 คือฤกษ์แต่งงานของเรา เราก็ไม่คิดอะไรมากยายเสียก็เสียใจ เลยขอเลื่อนกับออแกไนท์งานแต่งออกไป เป็น 12 กรกฎาคม2564 เราก็อยากแต่งให้ไวเพราะเราอายุ30 ปีแล้ว เราวางแพลนกันไว้นานแล้วว่าอายุ30 เราจะแต่งงาน มีลูก สร้างครอบครัวกัน เราก็ตกลงกับแม่ ว่าโอเคเราเลื่อนงานไปวันนี้นะ แม่ตกลงโอเค เราก็พิมพ์การ์ดแต่งงานใหม่ เป็น12 กรกฎาคม 2564
พองานยายเราเผาเสร็จ 20 กุมภาพันธ์ 2564 เราก็ไปที่บ้านลาญาติทุกคนกลับ กทม แล้วญาติก็ถกเถียงกันสนั่น ว่าจะแต่งได้ยังไงยายเพิ่งเสีย ญาติพี่น้องก็เสียงแตกเป็นสองฝ่าย เราก็ร้องไห้พูดไม่ออกว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ แฟนเราก็ถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงแต่งไม่ได้ เขาก็บอกโบราณถือ แฟนบอกขอเหตุผลเพราะงานแต่งเป็นเรื่องของสองฝ่าย ฝ่ายเขาก็เตรียมงานกันแล้วเหมือนกันถึงสองรอบแล้วจะได้ไปบอกผู้ใหญ่ทางเขาถูกว่ายังไง ป้าๆและแม่ก็ได้แต่พูดว่าโบราณเขาถือเขาไม่ให้แต่ง เราก็บอกว่าเราเสียค่าจัดงานไปแล้วสองแสนกว่าบาทซึ่งบางอย่างเขาไม่ได้ให้เราเลื่อนโดนไม่มีเหตุผลแล้ว เพราะเราเลื่อนมาแล้วครั้งนึง เขาไม่ได้มีลูกค้าแค่เรานะ เขาก็ต้องแพลนงานของเขาเหมือนกัน ถ้ายืนยันจะไม่ให้แต่งที่เราเสียทิ้งไปมีใครช่วยเราออกบ้างไหมป้าๆ ทุกคนก็เงียบ มีลุงเราที่เป็นตำรวจแกเป็นคนมีหน้ามีตาฟังเหตุผล แกเลยตัดสินว่าโอเคถ้าเราจ่ายทุกอย่างไปแล้วเลื่อนไม่ได้จริงๆก็แต่งเพราะมันเป็นเรื่องน่ายินดีงานแต่งทำไมทุกคนถึงไม่ยินดีกัน ลุงเป็นคนตัดสินให้เราได้แต่งงานเราก็ขับรถกลับ กทม โดยคิดว่าทุกคนโอเคยินยอมให้เราแต่งแล้ว
พอเวลาผ่านไปเราก็เตรียมงานเพิ่มกับฝั่งญาติแฟนและแฟน ถึงกลางเดือนมิถุนาแม่เราก็พิมพ์เฟสมาหาเราว่าไม่ให้แต่งงานแล้วนะ ไม่มีคนคนยอมแต่งไม่ได้ไม่ให้แต่ง พูดแต่แบบนี้ว่าไม่ให้แต่ง เราบอกทำไมๆเรากับแฟนก็งงไปหมดทั้งที่ตกลงกันชัดเจน เราร้องไห้จนแทบจะเป็นบ้า ว่าทำไมคนเป็นแม่ถึงทำกับเราขนาดนี้ เราก็ไม่รู้จะทำยังไงพยายามติดต่อพ่อ พ่อเราไม่ค่อยใช้โทรศัพท์ เราติดต่อพ่อได้ พ่อบอกว่าแม่ไปเล่าให้ลุงคนที่บอกให้เราแต่งงานได้ว่า เราอะบังคับให้แม่จัดงานให้ แล้วเอาซองแต่งงานทั้งหมด แล้วก็ขอเงินที่ให้ค่าสินสอดคืน ลุงเลยบอกว่าไม่ต้องไปจัดให้มันถ้ามันทำแบบนี้ เราทรุดลงกับพื้นร้องไห้ฟูมฟาย คนเป็นแม่ทำกับเราได้ขนาดนี้เลยเหรอเพื่อที่จะเอาชนะเรา เราไม่ใช่ลูกเหรอ มีคำถามเกิดขึ้นในหัวมากมาย เราร้องไห้ทั้งวันทั้งคืนพูดกับใครแทบไม่ได้ร้องไห้กับแฟนสองคนจุกอยู่ในอกจะไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้ว่าทำไมแม่เราถึงเป็นแบบนี้ หลังจากนั้นมา เราค่อยๆคุยกับแม่แฟนญาติแฟนให้เข้าใจว่าญาติเราบางคนเขาไม่ยอมจริงๆ เราโกหกเขาว่าแม่เราคุยเต็มที่แล้วแต่พี่ๆแม่เขาไม่ยอมเพื่อจะให้แม่กับแม่มองหน้ากันได้ถ้าดองกัน
หลังจากนั้นเราก็ไม่ติดต่อกับแม่อีกเลย เราคิดว่าเราคงไม่แต่งแล้วแหละเพราะเราเหนื่อยเราหมดแรง เราพยายามทำหน้าที่ลูกคนนึงแล้วแต่มันทำไม่สำเร็จ เงินเรากับแฟนก็หมดสองคนรวมกันประมาณ 500,000 กลมๆ ค่าจัดงานและสินสอดที่ให้แม่ไปทำบ้าน เราก็ไม่คิดอะไรมากที่ให้แม่ไปแต่เราเสียดายเงินที่เสียไปฟรีๆค่าจัดงาน สองแสนกว่าสำหรับเรามันเยอะมากๆนะ เราเป็นมนุษย์เงินเดือนกันทั้ง2คน
เราคิดว่างั้นแต่งปีหน้าก็ได้เลื่อนมาอีกปีเป็น
แต่ตุลาคมที่ผ่านมานี้เรามีเรื่องน่ายินดี คือเรามีน้อง ตอนนี้ น้องอายุครรภ์ประมาณ 7 สัปดาห์แล้ว เราดีใจมากที่น้องมา เราเลยทักไปบอกแม่ แม่เราบอกว่ามาแต่งสิ มกราคมก็ได้ แต่ใจเราอะไม่อยากแต่งแล้วเพราะเราไม่กล้าไปสู้พี่ป้าน้าอา ที่เขามองเราและแฟนเสียหมดแล้วจากคำพูดแม่ที่ไปพูดใส่เรา เรายังสมควรไปแต่งอยู่ไหม ถ้าเราไปแต่งเราต้องเสียเพิ่มอีกค่าเดินทาง ค่าบางอย่างที่ยังไม่จ่าย100% ค่าซองประตูเงินประตูทอง จิปาถะ อีกประมาณ 50,000 คร่าวๆได้
รึเราจะเก็บเงินส่วนนี้ไว้คลอดลูกเลี้ยงลูกดีกว่ากับการที่ไปเสียเพิ่มค่าแต่งงานที่ใครๆไม่ได้เห็นค่าเห็นความหมายกับสิ่งที่เราทำเลย