หลายวันที่ผ่านมา เห็นมีคนโพสต์ถามเรื่อง แม่มาขออยู่คอนโดด้วย แล้วรู้สึกอึดอัด รวมถึงโพสอื่นๆมากมายที่เป็นประเด็นเกี่ยวกับครอบครัว รวมทั้งได้อ่านคอมเม้นท์มากมาย หลายมุมมอง โดยเฉพาะประเด็นที่ค่อนข้างเซนซิทีฟอย่างเรื่องของความกตัญญู เราเลยอยากมาแชร์เรื่องราวชีวิตของครอบครัวเราให้ทุกคนได้ลองเปิดใจอ่านดู เผื่อจะได้เห็นอีกมุมของคำว่า "ครอบครัว" ที่คุณอาจจะไม่เคยคิดว่ามีอยู่จริงค่ะ
เราเป็นลูกคนแรก ที่เกิดจากความไม่พร้อมของพ่อและแม่ ตอนตั้งท้องแม่เราพยายามกินยาจะเอาเราออกหลายครั้ง แต่เราก็ไม่ยอมหลุดออกมา จนสุดท้ายก็อยู่จนคลอดออกมาเป็นตัวตน หลังคลอดได้ไม่นานพ่อแม่เราก็แยกทางกันค่ะ ตอนนั้นเราน่าจะ 2-3เดือนเอง แม่เราก็เอาเราไปทิ้งไว้ที่บ้านต่างจังหวัดให้ยายและญาติเลี้ยง ส่วนแม่ก็กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่กรุงเทพ จนได้พบกับสามีคนใหม่ จนแต่งงานและมีครอบครัวใหม่มีลูกด้วยกัน 1คน และเค้าก็พากันย้ายกลับมาสร้างครอบครัวกันที่ต่างจังหวัด(ที่เดียวกับที่เราอยู่) โดยไม่มีใครรู้เรื่องการมีตัวตนอยู่ของเรา ทั้งแม่ ยาย ญาติ บอกกับทุกคนภายนอก รวมถึงตัวเราด้วยว่า เราคือน้องสาวของแม่
ชีวิตในวัยเด็กของเรา ตั้งแต่จำความได้ เราไม่เคยได้รับการกอด หอม ความใกล้ชิด หรือ ความอบอุ่นใดๆจากแม่ค่ะ แต่ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กและไม่รู้ความจริงอะไรเลยเราก็ใช้ชีวิตของเราไปตามประสาเท่าที่มี แต่ด้วยความที่อยู่ใกล้ชิดกันเราก็จะมีแอบอิจฉาน้อง(ลูกที่เกิดจากสามีใหม่) ที่ได้รับความรักความอบอุ่นตลอดเวลา ได้เรียนโรงเรียนดีๆ ได้มีของใช้ดีๆ เสื้อผ้าสวยๆ ของเล่นดีๆ ได้เงินค่าขนมเยอะๆ อยากกินอยากทำอยากไปไหนก็ได้ทุกอย่าง ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่เราได้รับอย่างสิ้นเชิง รวมถึงเวลาที่เล่นด้วยกันถ้ามีเรื่องทะเลาะกัน(ตามประสาเด็ก) เราก็จะเป็นคนที่ถูกด่า ถูกลงโทษเสมอ แต่ตอนนั้นเราก็คิดว่า เพราะเราไม่ใช่ลูกเค้าไง เค้าจะมาดูแลเราเหมือนลูกเค้าได้ยังไง เราก็ใช้ชีวิตของเราไป
จนวันที่เราโตขึ้นช่วงวัยรุ่น เราดันบังเอิญได้ไปเจอเอกสารบางอย่างที่ทำให้ความจริงถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด ตอนนั้นเราหน้าชา ตัวชามาก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เราไม่กล้าบอกใครเพราะเรากลัวแม่มาก(จากการที่เค้าชอบดุด่าเราทุกครั้งที่ทะเลาะกันกับน้อง) วินาทีที่เราเห็นว่าแม่ของเราจริงๆคือใคร ภาพเหตุการณ์ที่ผ่านมา ความรัก อ้อมกอด ความอบอุ่น ชีวิตที่เราเคยอยากได้อยากมีเวลาที่เห็นน้องมี มันเหมือนภาพแฟลชแบ๊คกลับมาหมดเลย เราได้แต่คิดว่าสิ่งเหล่านั้นเราก็สมควรได้รับมันบ้างเหมือนกันนี่นา เราเก็บความรู้สึกไว้ด้วยความอึดอัดมาอีกหลายปี จนถึงวันที่ระเบิดออกมาก็เพราะเราโดนด่าจากเหตุการณ์ที่เรากับน้องทำผิดด้วยกันแต่เป็นเราที่โดนด่าคนเดียว(เหมือนเดิม) หลังจากที่เราระเบิดไปว่าเรารู้ว่าใครคือแม่ เค้าก็ตกใจที่เรารู้ความจริง แล้วหลังจากนั้นเค้าก็ไม่คุยกับเราอีกเลย จนผ่านไปหลายปี ที่ต้องมีเหตุให้กลับมาคุยกัน หลังจากได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง เค้าก็ยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังเรียกแทนตัวเองว่าพี่ และปฏิบัติกับเราเหมือนเดิม ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
(แทรกข้อมูลเพิ่มเติม : ค่าเลี้ยงดูและค่าเล่าเรียนในการเลี้ยงดูเราตั้งแต่เกิด แม่และยายเป็นคนจัดการ ทุกอย่างคือหาร2แม่และยาย)
หลังเรียนจบ มีงานทำ เค้าคุยกับเราว่า ถ้าเราทำงานเราต้องส่งเงินให้ที่บ้านเป็นจำนวนเท่านี้ๆ เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณนะ เราก็ไม่มีปัญหาในส่วนนี้เพราะเราก็สำนึกบุญคุณที่เค้าเลี้ยงดูและส่งเสียให้เราได้เรียนหนังสือมา(แม้จะแตกต่างกับน้องราวฟ้ากับเหวในทุกเรื่อง)
จนวันนึงที่ชีวิตเราเจอวิกฤติถูกเลิกจ้างงานหลังทำงานได้แค่ปีเดียว ไม่มีเงินเดือน ไม่มีเงินเก็บ ตอนนั้นเรามืดแปดด้าน เราโทรไปเล่าปัญหาให้ที่บ้านเราฟัง ที่บ้านเราก็พูดแค่ว่าให้อดทน และหางานใหม่ ที่บ้านเองสถานะการเงินก็แย่เหมือนกัน(แต่เขาพาน้องไปเที่ยวต่างประเทศ ซื้อรถให้น้อง ซื้ออาคารพาณิชย์ใหม่) เราเองก็ได้แต่อดทนโชคดีที่ตอนนั้นแฟนเราช่วยซัพพอร์ตเรื่องค่ากินอยู่ให้พอผ่านไปได้ จนเราได้งานใหม่ ตอนนั้นเรารู้สึกเสียใจมากกับสิ่งที่เค้าตอบสนองเรามาในวันที่เราเจอปัญหาหนักแบบนี้ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ารับในสิ่งที่ครอบครัวพอใจจะให้มา
จนถึงวันที่เราแต่งงาน(สามารถอ่านรายละเอียดเรื่องแต่งงานในกระทู้เก่าของเราได้) ที่บ้านเราก็เรียกสินสอด 7หลัก ทอง 2หลัก ทางเจ้าบ่าวก็ต่อรองเหลือ 6หลัก(ปลายๆ) ทางบ้านเราก็โอเคแต่มีข้อแม้คือ สินสอดทั้งหมดเค้าจะเก็บไป ไม่ให้คืนบ่าวสาว และหลังแต่งงานเรายังต้องส่งเงินให้ที่บ้านเหมือนเดิม รวมทั้งการจัดงานหรือสิ่งที่เป็นภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดเค้าจะไม่ยุ่งไม่ช่วยใดๆ ฝั่งเจ้าบ่าวต้องเป็นคนรับผิดชอบจัดการเองทั้งหมด มีบ้างที่เค้าไถ่ถามว่าเป็นยังไง มีอะไรให้ช่วยมั้ย แต่พอเราบอกไปว่าจะช่วยอันนี้ได้มั้ย เค้าก็จะบอกว่าให้เอาเงินมาจำนวนเท่านี้แล้วจะจัดการให้ เราอึดอัดและเสียใจในการแสดงออกของเค้ามากๆ เรารู้ว่าแฟนเราและครอบครัวแฟนก็ไม่โอเคมากๆกับสิ่งที่ครอบครัวเราแสดงออกมา แต่ที่ผ่านมาระหว่างคบหาดูใจกันแฟนเราก็เห็นมาตลอดว่าครอบครัวปฏิบัติต่อเรายังไง จนเค้าสงสัยแล้วถามเรา เราก็ได้เล่าความจริงให้เค้าฟัง เค้าเลยสงสารเรามากและไม่พูดไม่ว่าอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น บอกแค่ว่าไม่เป็นไร เพราะไม่อยากให้เราคิดมาก
หลังแต่งงาน เรายังคงส่งเงินให้ที่บ้านทุกเดือน มากบ้าง น้อยบ้าง ตามอัตภาพ แต่แฟนเราก็แนะนำว่า ไม่ควรให้แล้วเพราะเค้าได้เงินทั้งก้อนไปแล้ว ละเรากับแฟนก็ต้องเก็บเงินสร้างครอบครัว(เงินที่เอามาจัดงานแต่งคือเงินทั้งหมดของแฟนเรา เพราะตอนแรกเค้าคิดว่าครอบครัวเราคงจะแบ่งมาให้สร้างตัวกันบ้าง)
รวมทั้งยังมีภาระหนี้สินต่างๆที่ต้องผ่อนอยู่ทุกเดือน ซึ่งในส่วนนี้ที่บ้านเราไม่เคยถามถึง หรือ เสนอตัวช่วยอะไรเลย และไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไรในชีวิต ถ้าเราเล่าให้ที่บ้านฟัง ที่บ้านก็จะเอาปัญหาของที่บ้านมาทับถมใส่เราต่อ ว่าเค้าก็มีปัญหาเหมือนกัน และเงียบจากเราไป จนเค้ารู้ว่าปัญหาเราถูกแก้แล้วมีคนช่วยแล้ว เค้าถึงจะมาเสนอตัวช่วย หรือช่วงใกล้สิ้นเดือนที่เราต้องโอนเงินให้เค้า เค้าถึงจะกลับมาพูดคุย ไถ่ถามเรา
นี่คือ อีกมุม ของคำว่า "ครอบครัว" ที่มีอยู่ในโลกของความเป็นจริง ถ้าถามเราตอนนี้ความรู้สึกของเราที่มีต่อครอบครัวคือ มีแต่ความหดหู่ ผิดหวัง รังเกียจ เสียใจ และมันคือความล้มเหลวที่สุดในชีวิตเรา ซึ่งถ้าคนทั่วไปที่มีความคิดฝังรากในสมองถึงความกตัญญูแบบไม่มีที่สิ้นสุดที่ไม่รับรู้รายละเอียดก็คงจะคิดว่า เราอกตัญญูมากที่มีความรู้สึกแบบนี้กับครอบครัวตัวเอง เราเชื่อว่าคนส่วนใหญ่(อาจจะไม่ทุกคน) วาดฝันอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น เป็นที่พึ่งพิง ไม่มีใครอยากเป็นคนอกตัญญู แต่ก็คงไม่ทุกคนที่จะสามารถทำใจคิดบวกแสนดีได้เสมอตลอดเวลาแม้ชีวิตจะไม่เคยได้รับความยุติธรรมเลยก็ตาม
เห็นดราม่าโพสครอบครัว อยากแชร์ประสบการณ์อีกมุมของครอบครัวในโลกความจริงที่มีอยู่จริง
เราเป็นลูกคนแรก ที่เกิดจากความไม่พร้อมของพ่อและแม่ ตอนตั้งท้องแม่เราพยายามกินยาจะเอาเราออกหลายครั้ง แต่เราก็ไม่ยอมหลุดออกมา จนสุดท้ายก็อยู่จนคลอดออกมาเป็นตัวตน หลังคลอดได้ไม่นานพ่อแม่เราก็แยกทางกันค่ะ ตอนนั้นเราน่าจะ 2-3เดือนเอง แม่เราก็เอาเราไปทิ้งไว้ที่บ้านต่างจังหวัดให้ยายและญาติเลี้ยง ส่วนแม่ก็กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่กรุงเทพ จนได้พบกับสามีคนใหม่ จนแต่งงานและมีครอบครัวใหม่มีลูกด้วยกัน 1คน และเค้าก็พากันย้ายกลับมาสร้างครอบครัวกันที่ต่างจังหวัด(ที่เดียวกับที่เราอยู่) โดยไม่มีใครรู้เรื่องการมีตัวตนอยู่ของเรา ทั้งแม่ ยาย ญาติ บอกกับทุกคนภายนอก รวมถึงตัวเราด้วยว่า เราคือน้องสาวของแม่
ชีวิตในวัยเด็กของเรา ตั้งแต่จำความได้ เราไม่เคยได้รับการกอด หอม ความใกล้ชิด หรือ ความอบอุ่นใดๆจากแม่ค่ะ แต่ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กและไม่รู้ความจริงอะไรเลยเราก็ใช้ชีวิตของเราไปตามประสาเท่าที่มี แต่ด้วยความที่อยู่ใกล้ชิดกันเราก็จะมีแอบอิจฉาน้อง(ลูกที่เกิดจากสามีใหม่) ที่ได้รับความรักความอบอุ่นตลอดเวลา ได้เรียนโรงเรียนดีๆ ได้มีของใช้ดีๆ เสื้อผ้าสวยๆ ของเล่นดีๆ ได้เงินค่าขนมเยอะๆ อยากกินอยากทำอยากไปไหนก็ได้ทุกอย่าง ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่เราได้รับอย่างสิ้นเชิง รวมถึงเวลาที่เล่นด้วยกันถ้ามีเรื่องทะเลาะกัน(ตามประสาเด็ก) เราก็จะเป็นคนที่ถูกด่า ถูกลงโทษเสมอ แต่ตอนนั้นเราก็คิดว่า เพราะเราไม่ใช่ลูกเค้าไง เค้าจะมาดูแลเราเหมือนลูกเค้าได้ยังไง เราก็ใช้ชีวิตของเราไป
จนวันที่เราโตขึ้นช่วงวัยรุ่น เราดันบังเอิญได้ไปเจอเอกสารบางอย่างที่ทำให้ความจริงถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด ตอนนั้นเราหน้าชา ตัวชามาก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เราไม่กล้าบอกใครเพราะเรากลัวแม่มาก(จากการที่เค้าชอบดุด่าเราทุกครั้งที่ทะเลาะกันกับน้อง) วินาทีที่เราเห็นว่าแม่ของเราจริงๆคือใคร ภาพเหตุการณ์ที่ผ่านมา ความรัก อ้อมกอด ความอบอุ่น ชีวิตที่เราเคยอยากได้อยากมีเวลาที่เห็นน้องมี มันเหมือนภาพแฟลชแบ๊คกลับมาหมดเลย เราได้แต่คิดว่าสิ่งเหล่านั้นเราก็สมควรได้รับมันบ้างเหมือนกันนี่นา เราเก็บความรู้สึกไว้ด้วยความอึดอัดมาอีกหลายปี จนถึงวันที่ระเบิดออกมาก็เพราะเราโดนด่าจากเหตุการณ์ที่เรากับน้องทำผิดด้วยกันแต่เป็นเราที่โดนด่าคนเดียว(เหมือนเดิม) หลังจากที่เราระเบิดไปว่าเรารู้ว่าใครคือแม่ เค้าก็ตกใจที่เรารู้ความจริง แล้วหลังจากนั้นเค้าก็ไม่คุยกับเราอีกเลย จนผ่านไปหลายปี ที่ต้องมีเหตุให้กลับมาคุยกัน หลังจากได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง เค้าก็ยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังเรียกแทนตัวเองว่าพี่ และปฏิบัติกับเราเหมือนเดิม ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
(แทรกข้อมูลเพิ่มเติม : ค่าเลี้ยงดูและค่าเล่าเรียนในการเลี้ยงดูเราตั้งแต่เกิด แม่และยายเป็นคนจัดการ ทุกอย่างคือหาร2แม่และยาย)
หลังเรียนจบ มีงานทำ เค้าคุยกับเราว่า ถ้าเราทำงานเราต้องส่งเงินให้ที่บ้านเป็นจำนวนเท่านี้ๆ เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณนะ เราก็ไม่มีปัญหาในส่วนนี้เพราะเราก็สำนึกบุญคุณที่เค้าเลี้ยงดูและส่งเสียให้เราได้เรียนหนังสือมา(แม้จะแตกต่างกับน้องราวฟ้ากับเหวในทุกเรื่อง)
จนวันนึงที่ชีวิตเราเจอวิกฤติถูกเลิกจ้างงานหลังทำงานได้แค่ปีเดียว ไม่มีเงินเดือน ไม่มีเงินเก็บ ตอนนั้นเรามืดแปดด้าน เราโทรไปเล่าปัญหาให้ที่บ้านเราฟัง ที่บ้านเราก็พูดแค่ว่าให้อดทน และหางานใหม่ ที่บ้านเองสถานะการเงินก็แย่เหมือนกัน(แต่เขาพาน้องไปเที่ยวต่างประเทศ ซื้อรถให้น้อง ซื้ออาคารพาณิชย์ใหม่) เราเองก็ได้แต่อดทนโชคดีที่ตอนนั้นแฟนเราช่วยซัพพอร์ตเรื่องค่ากินอยู่ให้พอผ่านไปได้ จนเราได้งานใหม่ ตอนนั้นเรารู้สึกเสียใจมากกับสิ่งที่เค้าตอบสนองเรามาในวันที่เราเจอปัญหาหนักแบบนี้ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ารับในสิ่งที่ครอบครัวพอใจจะให้มา
จนถึงวันที่เราแต่งงาน(สามารถอ่านรายละเอียดเรื่องแต่งงานในกระทู้เก่าของเราได้) ที่บ้านเราก็เรียกสินสอด 7หลัก ทอง 2หลัก ทางเจ้าบ่าวก็ต่อรองเหลือ 6หลัก(ปลายๆ) ทางบ้านเราก็โอเคแต่มีข้อแม้คือ สินสอดทั้งหมดเค้าจะเก็บไป ไม่ให้คืนบ่าวสาว และหลังแต่งงานเรายังต้องส่งเงินให้ที่บ้านเหมือนเดิม รวมทั้งการจัดงานหรือสิ่งที่เป็นภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดเค้าจะไม่ยุ่งไม่ช่วยใดๆ ฝั่งเจ้าบ่าวต้องเป็นคนรับผิดชอบจัดการเองทั้งหมด มีบ้างที่เค้าไถ่ถามว่าเป็นยังไง มีอะไรให้ช่วยมั้ย แต่พอเราบอกไปว่าจะช่วยอันนี้ได้มั้ย เค้าก็จะบอกว่าให้เอาเงินมาจำนวนเท่านี้แล้วจะจัดการให้ เราอึดอัดและเสียใจในการแสดงออกของเค้ามากๆ เรารู้ว่าแฟนเราและครอบครัวแฟนก็ไม่โอเคมากๆกับสิ่งที่ครอบครัวเราแสดงออกมา แต่ที่ผ่านมาระหว่างคบหาดูใจกันแฟนเราก็เห็นมาตลอดว่าครอบครัวปฏิบัติต่อเรายังไง จนเค้าสงสัยแล้วถามเรา เราก็ได้เล่าความจริงให้เค้าฟัง เค้าเลยสงสารเรามากและไม่พูดไม่ว่าอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น บอกแค่ว่าไม่เป็นไร เพราะไม่อยากให้เราคิดมาก
หลังแต่งงาน เรายังคงส่งเงินให้ที่บ้านทุกเดือน มากบ้าง น้อยบ้าง ตามอัตภาพ แต่แฟนเราก็แนะนำว่า ไม่ควรให้แล้วเพราะเค้าได้เงินทั้งก้อนไปแล้ว ละเรากับแฟนก็ต้องเก็บเงินสร้างครอบครัว(เงินที่เอามาจัดงานแต่งคือเงินทั้งหมดของแฟนเรา เพราะตอนแรกเค้าคิดว่าครอบครัวเราคงจะแบ่งมาให้สร้างตัวกันบ้าง)
รวมทั้งยังมีภาระหนี้สินต่างๆที่ต้องผ่อนอยู่ทุกเดือน ซึ่งในส่วนนี้ที่บ้านเราไม่เคยถามถึง หรือ เสนอตัวช่วยอะไรเลย และไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไรในชีวิต ถ้าเราเล่าให้ที่บ้านฟัง ที่บ้านก็จะเอาปัญหาของที่บ้านมาทับถมใส่เราต่อ ว่าเค้าก็มีปัญหาเหมือนกัน และเงียบจากเราไป จนเค้ารู้ว่าปัญหาเราถูกแก้แล้วมีคนช่วยแล้ว เค้าถึงจะมาเสนอตัวช่วย หรือช่วงใกล้สิ้นเดือนที่เราต้องโอนเงินให้เค้า เค้าถึงจะกลับมาพูดคุย ไถ่ถามเรา
นี่คือ อีกมุม ของคำว่า "ครอบครัว" ที่มีอยู่ในโลกของความเป็นจริง ถ้าถามเราตอนนี้ความรู้สึกของเราที่มีต่อครอบครัวคือ มีแต่ความหดหู่ ผิดหวัง รังเกียจ เสียใจ และมันคือความล้มเหลวที่สุดในชีวิตเรา ซึ่งถ้าคนทั่วไปที่มีความคิดฝังรากในสมองถึงความกตัญญูแบบไม่มีที่สิ้นสุดที่ไม่รับรู้รายละเอียดก็คงจะคิดว่า เราอกตัญญูมากที่มีความรู้สึกแบบนี้กับครอบครัวตัวเอง เราเชื่อว่าคนส่วนใหญ่(อาจจะไม่ทุกคน) วาดฝันอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น เป็นที่พึ่งพิง ไม่มีใครอยากเป็นคนอกตัญญู แต่ก็คงไม่ทุกคนที่จะสามารถทำใจคิดบวกแสนดีได้เสมอตลอดเวลาแม้ชีวิตจะไม่เคยได้รับความยุติธรรมเลยก็ตาม