ส.ธนาคารไทย เผย ภาคการเงินแม้มั่นคง แต่แบกรับความเสี่ยงยอดหนี้ กว่า 2 ล้านล้านบาท
https://www.matichon.co.th/economy/news_3047091
สมาคมธนาคารไทย เผย ภาคการเงินไทย แม้มั่นคง แต่แบกรับความเสี่ยงยอดหนี้ กว่า 2 ล้านล้านบาท วางโรดแมป 3 ปี เพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้ธุรกิจ
วันที่ 18 พฤศจิกายน นาย
ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยในงานสัมมนา Thailand next move ในหัวข้อ “วิกฤตโควิด-19 จุดเปลี่ยนสู่อนาคตธุรกิจการเงินไทย” ว่า เศรษฐกิจโลกเริ่มพลิกกลับมาฟื้นแล้ว แต่ประเทศไทยยังกังวลการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ซึ่ง Global competitive index (GCI) จัดอันดับให้อยู่ในลำดับที่ 87 จากทั้งหมด 180 เขตเศรษฐกิจ และสำนักวิจัยต่างๆ ในประเทศก็ได้ประเมินจีดีพีไทย 2565 ขยายตัว 4.5% เกือบรั้งท้ายในอาเซียน มีแนวโน้มฟื้นตัวก่อนระดับโควิดได้ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านเกือบทุกประเทศ
ขณะที่มิติภาคการเงินธนาคารก็เผชิญกับความท้าทายมากเช่นเดียวกัน แม้จะมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนอยู่ในระดับสูง คิดเป็นอัตราส่วนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ 20% และมีเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพสูงถึง 152% แต่ก็แบกรับความเสี่ยงก้อนใหญ่กว่า 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นยอดสินเชื่อที่ขอรับความช่วยเหลือ โดยเข้าสู่การปรับโครงสร้างหนี้
ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับโอกาสและความท้าทายของโลกใบใหม่ โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จึงมองว่าสถาบันการเงินจะต้องปรับเปลี่ยนเข้าสู่ทิศทาง 4 ทิศทาง ได้แก่
1. full scale digital ซึ่งการเดินทางของระบบดิจิทัลการเงินจะยังดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น เป็นไปตามนวัตกรรมเทคโนโลยีที่มีการพัฒนารวดเร็ว รวมถึงการใช้ชีวิตของคนที่อยู่บนออนไลน์มากขึ้น ทำให้ธุรกรรมการเงินผ่านระบบดิจิทัลกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ ของธุรกรรมการเงิน
2. Fueled by Data จะเห็นทิศทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เข้มข้นขึ้น และครอบคลุมประเภทที่หลากหลายมากขึ้น สถาบันการเงินขับเคลื่อนธุรกิจด้วย Big data มุ่งสู่การเป็น cognitive banking โดยใช้ AI และ machine learning ช่วยวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์และกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งบล็อกเชนจะช่วยให้สถาบันการเงินเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจพิจารณาเงินทุนให้กับภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. For a better world การที่สถาบันการเงินจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในการส่งเสริมทิศทางการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจ ให้สอดคล้องประเด็นด้านการยั่งยืน ยุดหลักการดำเนินธุรกิจตามกรอบสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล และประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุธุรกิจการเงินก็จะปรับตัวให้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น นอกจากนี้ สถาบันการเงินจะมีบทบาทในการผลักดันการแข่งขันที่เป็นธรรมให้กับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก ให้ได้มีโอกาสในการเติบโตได้อย่างมั่นคง
และ 4. Fast moving หรือการที่สถาบันการเงินต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับดิสรัปชั่นและการแข่งขันกับผู้เล่นหน้าใหม่ บทบาทการเป็นสถาบันการเงินจะลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากการเข้ามาของระบบบริการทางการเงินแบบไร้ตัวกลาง ทำให้ตลาดดิจิทัลเรนนิ่งทั่วโลกเติบโตเป็นเท่าตัวภายในอีก 5 ปีข้างหน้า สถาบันการเงินจึงต้องเร่งสร้างนวัตกรรมและมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ครบวงจร
ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทยได้วางโรดแมป 3 ปีไว้แบบมุ่งตอบโจทย์ดังกล่าว ได้แก่
1. Enabling country competitiveness คือการเป็นกลไกที่สำคัญในการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ด้วยการเอื้ออำนวยให้เอกชนสามารถทำธุรกรรม และให้ธุรกิจดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. Regional championing สนับสนุนให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนสามารถทำกิจกรรมทางการค้า การซื้อขายออนไลน์ และการลงทุนระหว่างประเทศ รวมถึงการชำระเงินของนักท่องเที่ยวในภูมิภาคได้อย่างไหลลื่นในต้นทุนต่ำ
3. Sustainability การดำเนินงานของธนาคารเอง การมีส่วนผลักดันในการดำเนินธุรกิจของประชาชนที่คำนึงถึงการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดปัญหาหนี้ครัวเรือน
และ 4. Human capital การสร้าง Pool of Talent ให้มีทักษะตอบโจทย์โลกอนาคต ปรับตัวรองรับกระแสดิสรัปชั่นต่างๆ ให้ได้
“ประเด็นที่มีความสำคัญจะเริ่มพัฒนาตั้งแต่ปีนี้ เช่น การพัฒนาบริการที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัดด้วยการลดต้นทนกิจกรรมที่ซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น การจัดทำ ESG แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ส่วนมาตรการอื่นๆ จะทยอยผลักดันในปี 2565 เป็นต้นไป สมาคมธนาคารคาดว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่สำคัญ เช่น การเผยแพร่แนวทาง Open banking แนวทางบริหารจัดการความเสี่ยง แนวทางลดหนี้ครัวเรือน เป็นต้น” นาย
ผยง กล่าว
ผลประกอบการ 9 เดือน 36 อสังหาฯจดทะเบียน พบส่วนใหญ่รายได้-กำไร ลดฮวบ
https://www.matichon.co.th/economy/news_3047059
ผลประกอบการ 9 เดือน 36 อสังหาฯจดทะเบียน พบส่วนใหญ่รายได้-กำไร ลดฮวบ
รายงานข่าวจาก บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด เปิดเผยว่า จากการเก็บรวบรวมผลการดำเนินงานของ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในช่วงไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2564 พบว่า รายได้ และกําไรลดลง โดยแบ่งได้ดังนี้
โดยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 ของ 36 บริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนใน ตลท.พบว่ามีรายได้รวม 66,609.86 ล้านบาท และ กําไรสุทธิ 7,595.91 ล้านบาท ลดลง 17.98% และ 29.54% จากระยะเดียวกันปี 2563 ตามลําดับ ความสามารถในการทํากําไรโดยเฉลี่ย 11.40%
ลดลงจาก 11.57% ในไตรมาสสองของปี 2564
ส่วนผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2564 ของ 36 บริษัทอสังหาฯ มีรายได้รวม 214,491.94 ล้านบาท และกําไรสุทธิ 23,628.54 ล้านบาท ลดลง 1.56% และ 8.42 % เทียบกับระยะเดียวกัน ของปี 2563 ตามลําดับ ความสามารถในการทํากําไรเฉลี่ย 11.01% ลดลงจาก 11.85% ในครึ่งแรกของปี 2564
รายงานข่าวระบุอีกว่า สำหรับสินค้าคงเหลือและที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ลดลง 1.65% โดยสินค้าคงเหลือ บวกกับสินค้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของบริษัทอสังหาฯ ทั้ง 36 บริษัทอยู่ที่ 555,755.18 ล้านบาท ลดลง 1.65 % เทียบกับ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 นอกจากนี้ยังพบว่าที่อยู่อาศัยแนวราบยังมาแรง ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาโครงการบ้านพักอาศัยเป็นส่วนใหญ่ มีความสามารถในการทํารายได้และกําไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบ้านพักอาศัยระดับราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท
ทั้งนี้สำหรับผลประกอบการ 9 เดือน ของปี 2564 ของบริษัทที่มีผลประกอบการหรือรายได้สูงที่สุด 10 อันดับแรก ประกอบด้วย 1.บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 24,770.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.68% กำไรสุทธิ 4,919.78 บาทเพิ่มขึ้ 3.19% 2. บริษัท เอ พี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 24,459.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.21% กำไรสุทธิ 3,548.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.09% 3.บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 22,097.99 ล้านบาท ลดลง 15.92% กำไรสุทธิ 1,631.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น75.44% 4.บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 19,379.99 ล้านบาท ลดลง 2.12% กำไรสุทธิ 1,394.69 ล้านบาท ลดลง 29.60% 5.บริษท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 18,521.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.85% กำไรสุทธิ 4,234.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.70%
6.บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (งบปี 2563/2564) รายได้รวม 15,721.01 ล้านบาท ลดลง 23.34% กำไรสุทธิ 1,606.99 ล้านบาท ลดล 45.38% 7.บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 13,445.53 ล้านบาท ลดลง 0.96% กำไรสุทธิ 1,529.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.89% 8.บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 11,793.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.13% กำไรสุทธิ 2,536.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.50% 9.บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 7,098.10 ล้านบาท ลดลง 23.66% 10. บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 5,909.10 ล้านบาท ลดลง 14.27% กำไรสุทธิ 1,175.74 ล้านบาท ลดลง 23.83%
เปิดประเทศ 17 วัน คนบินเข้าไทย 6.3 หมื่นคน จาก ‘สหรัฐ-เยอรมนี-อังกฤษ’ มากสุด
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3047440
เปิดประเทศ 17 วัน คนบินเข้าไทย 6.3 หมื่นคน จาก ‘สหรัฐ-เยอรมนี-อังกฤษ’ มากสุด
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.) รายงานผลการดำเนินงานการรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง สนามบินเชียงใหม่ สนามบินหัวหิน สนามบินภูเก็ต และสนามบินสมุย ตั้งแต่วันที่ 1-17 พฤศจิกายน 2564 มียอดสะสม 63,659 คน มีผู้ติดเชื้อ 81 ราย มีอัตราการติดเชื้ออยู่ที่ 0.13%
แยกเป็น กลุ่ม Test&Go 47,308 คน ติดเชื้อ 40 ราย, แซนด์บ็อกซ์ 13,368 คน ติดเชื้อ 22 ราย, อยู่ระหว่างกักตัว (Quarantine) 2,983 คน ติดเชื้อ 19 ราย
เปิด 10 ประเทศต้นทางบินเข้าไทย
โดย 10 ประเทศต้นทางที่เดินทางเข้าราชอาณาจักรทางอากาศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 9,032 คน เยอรมนี 6,737 คน สหราชอาณาจักร 3,208 คน ญี่ปุ่น 2,921 คน รัสเซีย 2,326 คน ฝรั่งเศส 2,301 คน
เกาหลีใต้ 2,190 คน สวิตเซอร์แลนด์ 1,721 คน สวีเดน 1,645 คน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1,618 คน
สำหรับอัตราการติดเชื้อของผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักรทางอากาศ จำแนกตามประเทศต้นทาง 10 อันดับ ตั้งแต่วันที่ 1-17 พฤศจิกายน 2564 ได้แก่ ไนจีเรีย 69 คน มีผู้ติดเชื้อ 2 คน, ซาอุดิอาระเบีย 182 คน มีผู้ติดเชื้อ 2 คน, อียิปต์ 101 คน มีผู้ติดเชื้อ 1 คน
ศรีลังกา 138 คน มีผู้ติดเชื้อ 1 คน, ตุรกี 158 คน มีผู้ติดเชื้อ 1 คน, รัสเซีย 2,326 คน มีผู้ติดเชื้อ 12 คน, กาตาร์ 704 คน มีผู้ติดเชื้อ 3 คน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1,618 คน มีผู้ติดเชื้อ 6 คน, สหราชอาณาจักร 3,208 คน มีผู้ติดเชื้อ 12 คน, เบลเยียม 851 คน มีผู้ติดเชื้อ 3 คน และอื่นๆ 54,304 คน มีผู้ติดเชื้อ 38 คน
นอกจากนี้ ศบค.ได้เผยแพร่ข้อมูลกรุงวอชิงตันเล็งยกเลิกข้อบังคับสวมหน้ากากอนามัยในอาคาร ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป และนิวซีแลนด์เตรียมผ่อนคลายมาตรการควบคุมพรมแดนเมืองโอ๊คแลนด์
JJNY : การเงินเสี่ยงยอดหนี้กว่า2ล.ล.│อสังหาฯส่วนใหญ่รายได้-กำไร ลดฮวบ│เปิดปท.17วัน เข้าไทย 6.3 หมื่น│ทูตดังฉะ'ดอน'
https://www.matichon.co.th/economy/news_3047091
สมาคมธนาคารไทย เผย ภาคการเงินไทย แม้มั่นคง แต่แบกรับความเสี่ยงยอดหนี้ กว่า 2 ล้านล้านบาท วางโรดแมป 3 ปี เพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้ธุรกิจ
วันที่ 18 พฤศจิกายน นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยในงานสัมมนา Thailand next move ในหัวข้อ “วิกฤตโควิด-19 จุดเปลี่ยนสู่อนาคตธุรกิจการเงินไทย” ว่า เศรษฐกิจโลกเริ่มพลิกกลับมาฟื้นแล้ว แต่ประเทศไทยยังกังวลการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ซึ่ง Global competitive index (GCI) จัดอันดับให้อยู่ในลำดับที่ 87 จากทั้งหมด 180 เขตเศรษฐกิจ และสำนักวิจัยต่างๆ ในประเทศก็ได้ประเมินจีดีพีไทย 2565 ขยายตัว 4.5% เกือบรั้งท้ายในอาเซียน มีแนวโน้มฟื้นตัวก่อนระดับโควิดได้ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านเกือบทุกประเทศ
ขณะที่มิติภาคการเงินธนาคารก็เผชิญกับความท้าทายมากเช่นเดียวกัน แม้จะมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนอยู่ในระดับสูง คิดเป็นอัตราส่วนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ 20% และมีเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพสูงถึง 152% แต่ก็แบกรับความเสี่ยงก้อนใหญ่กว่า 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นยอดสินเชื่อที่ขอรับความช่วยเหลือ โดยเข้าสู่การปรับโครงสร้างหนี้
ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับโอกาสและความท้าทายของโลกใบใหม่ โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จึงมองว่าสถาบันการเงินจะต้องปรับเปลี่ยนเข้าสู่ทิศทาง 4 ทิศทาง ได้แก่
1. full scale digital ซึ่งการเดินทางของระบบดิจิทัลการเงินจะยังดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น เป็นไปตามนวัตกรรมเทคโนโลยีที่มีการพัฒนารวดเร็ว รวมถึงการใช้ชีวิตของคนที่อยู่บนออนไลน์มากขึ้น ทำให้ธุรกรรมการเงินผ่านระบบดิจิทัลกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ ของธุรกรรมการเงิน
2. Fueled by Data จะเห็นทิศทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เข้มข้นขึ้น และครอบคลุมประเภทที่หลากหลายมากขึ้น สถาบันการเงินขับเคลื่อนธุรกิจด้วย Big data มุ่งสู่การเป็น cognitive banking โดยใช้ AI และ machine learning ช่วยวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์และกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งบล็อกเชนจะช่วยให้สถาบันการเงินเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจพิจารณาเงินทุนให้กับภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. For a better world การที่สถาบันการเงินจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในการส่งเสริมทิศทางการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจ ให้สอดคล้องประเด็นด้านการยั่งยืน ยุดหลักการดำเนินธุรกิจตามกรอบสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล และประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุธุรกิจการเงินก็จะปรับตัวให้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น นอกจากนี้ สถาบันการเงินจะมีบทบาทในการผลักดันการแข่งขันที่เป็นธรรมให้กับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก ให้ได้มีโอกาสในการเติบโตได้อย่างมั่นคง
และ 4. Fast moving หรือการที่สถาบันการเงินต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับดิสรัปชั่นและการแข่งขันกับผู้เล่นหน้าใหม่ บทบาทการเป็นสถาบันการเงินจะลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากการเข้ามาของระบบบริการทางการเงินแบบไร้ตัวกลาง ทำให้ตลาดดิจิทัลเรนนิ่งทั่วโลกเติบโตเป็นเท่าตัวภายในอีก 5 ปีข้างหน้า สถาบันการเงินจึงต้องเร่งสร้างนวัตกรรมและมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ครบวงจร
ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทยได้วางโรดแมป 3 ปีไว้แบบมุ่งตอบโจทย์ดังกล่าว ได้แก่
1. Enabling country competitiveness คือการเป็นกลไกที่สำคัญในการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ด้วยการเอื้ออำนวยให้เอกชนสามารถทำธุรกรรม และให้ธุรกิจดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. Regional championing สนับสนุนให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนสามารถทำกิจกรรมทางการค้า การซื้อขายออนไลน์ และการลงทุนระหว่างประเทศ รวมถึงการชำระเงินของนักท่องเที่ยวในภูมิภาคได้อย่างไหลลื่นในต้นทุนต่ำ
3. Sustainability การดำเนินงานของธนาคารเอง การมีส่วนผลักดันในการดำเนินธุรกิจของประชาชนที่คำนึงถึงการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดปัญหาหนี้ครัวเรือน
และ 4. Human capital การสร้าง Pool of Talent ให้มีทักษะตอบโจทย์โลกอนาคต ปรับตัวรองรับกระแสดิสรัปชั่นต่างๆ ให้ได้
“ประเด็นที่มีความสำคัญจะเริ่มพัฒนาตั้งแต่ปีนี้ เช่น การพัฒนาบริการที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัดด้วยการลดต้นทนกิจกรรมที่ซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น การจัดทำ ESG แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ส่วนมาตรการอื่นๆ จะทยอยผลักดันในปี 2565 เป็นต้นไป สมาคมธนาคารคาดว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่สำคัญ เช่น การเผยแพร่แนวทาง Open banking แนวทางบริหารจัดการความเสี่ยง แนวทางลดหนี้ครัวเรือน เป็นต้น” นายผยง กล่าว
ผลประกอบการ 9 เดือน 36 อสังหาฯจดทะเบียน พบส่วนใหญ่รายได้-กำไร ลดฮวบ
https://www.matichon.co.th/economy/news_3047059
ผลประกอบการ 9 เดือน 36 อสังหาฯจดทะเบียน พบส่วนใหญ่รายได้-กำไร ลดฮวบ
รายงานข่าวจาก บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด เปิดเผยว่า จากการเก็บรวบรวมผลการดำเนินงานของ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในช่วงไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2564 พบว่า รายได้ และกําไรลดลง โดยแบ่งได้ดังนี้
โดยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 ของ 36 บริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนใน ตลท.พบว่ามีรายได้รวม 66,609.86 ล้านบาท และ กําไรสุทธิ 7,595.91 ล้านบาท ลดลง 17.98% และ 29.54% จากระยะเดียวกันปี 2563 ตามลําดับ ความสามารถในการทํากําไรโดยเฉลี่ย 11.40%
ลดลงจาก 11.57% ในไตรมาสสองของปี 2564
ส่วนผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2564 ของ 36 บริษัทอสังหาฯ มีรายได้รวม 214,491.94 ล้านบาท และกําไรสุทธิ 23,628.54 ล้านบาท ลดลง 1.56% และ 8.42 % เทียบกับระยะเดียวกัน ของปี 2563 ตามลําดับ ความสามารถในการทํากําไรเฉลี่ย 11.01% ลดลงจาก 11.85% ในครึ่งแรกของปี 2564
รายงานข่าวระบุอีกว่า สำหรับสินค้าคงเหลือและที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ลดลง 1.65% โดยสินค้าคงเหลือ บวกกับสินค้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของบริษัทอสังหาฯ ทั้ง 36 บริษัทอยู่ที่ 555,755.18 ล้านบาท ลดลง 1.65 % เทียบกับ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 นอกจากนี้ยังพบว่าที่อยู่อาศัยแนวราบยังมาแรง ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาโครงการบ้านพักอาศัยเป็นส่วนใหญ่ มีความสามารถในการทํารายได้และกําไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบ้านพักอาศัยระดับราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท
ทั้งนี้สำหรับผลประกอบการ 9 เดือน ของปี 2564 ของบริษัทที่มีผลประกอบการหรือรายได้สูงที่สุด 10 อันดับแรก ประกอบด้วย 1.บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 24,770.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.68% กำไรสุทธิ 4,919.78 บาทเพิ่มขึ้ 3.19% 2. บริษัท เอ พี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 24,459.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.21% กำไรสุทธิ 3,548.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.09% 3.บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 22,097.99 ล้านบาท ลดลง 15.92% กำไรสุทธิ 1,631.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น75.44% 4.บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 19,379.99 ล้านบาท ลดลง 2.12% กำไรสุทธิ 1,394.69 ล้านบาท ลดลง 29.60% 5.บริษท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 18,521.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.85% กำไรสุทธิ 4,234.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.70%
6.บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (งบปี 2563/2564) รายได้รวม 15,721.01 ล้านบาท ลดลง 23.34% กำไรสุทธิ 1,606.99 ล้านบาท ลดล 45.38% 7.บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 13,445.53 ล้านบาท ลดลง 0.96% กำไรสุทธิ 1,529.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.89% 8.บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 11,793.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.13% กำไรสุทธิ 2,536.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.50% 9.บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 7,098.10 ล้านบาท ลดลง 23.66% 10. บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) รายได้รวม 5,909.10 ล้านบาท ลดลง 14.27% กำไรสุทธิ 1,175.74 ล้านบาท ลดลง 23.83%
เปิดประเทศ 17 วัน คนบินเข้าไทย 6.3 หมื่นคน จาก ‘สหรัฐ-เยอรมนี-อังกฤษ’ มากสุด
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3047440
เปิดประเทศ 17 วัน คนบินเข้าไทย 6.3 หมื่นคน จาก ‘สหรัฐ-เยอรมนี-อังกฤษ’ มากสุด
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.) รายงานผลการดำเนินงานการรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง สนามบินเชียงใหม่ สนามบินหัวหิน สนามบินภูเก็ต และสนามบินสมุย ตั้งแต่วันที่ 1-17 พฤศจิกายน 2564 มียอดสะสม 63,659 คน มีผู้ติดเชื้อ 81 ราย มีอัตราการติดเชื้ออยู่ที่ 0.13%
แยกเป็น กลุ่ม Test&Go 47,308 คน ติดเชื้อ 40 ราย, แซนด์บ็อกซ์ 13,368 คน ติดเชื้อ 22 ราย, อยู่ระหว่างกักตัว (Quarantine) 2,983 คน ติดเชื้อ 19 ราย
เปิด 10 ประเทศต้นทางบินเข้าไทย
โดย 10 ประเทศต้นทางที่เดินทางเข้าราชอาณาจักรทางอากาศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 9,032 คน เยอรมนี 6,737 คน สหราชอาณาจักร 3,208 คน ญี่ปุ่น 2,921 คน รัสเซีย 2,326 คน ฝรั่งเศส 2,301 คน
เกาหลีใต้ 2,190 คน สวิตเซอร์แลนด์ 1,721 คน สวีเดน 1,645 คน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1,618 คน
สำหรับอัตราการติดเชื้อของผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักรทางอากาศ จำแนกตามประเทศต้นทาง 10 อันดับ ตั้งแต่วันที่ 1-17 พฤศจิกายน 2564 ได้แก่ ไนจีเรีย 69 คน มีผู้ติดเชื้อ 2 คน, ซาอุดิอาระเบีย 182 คน มีผู้ติดเชื้อ 2 คน, อียิปต์ 101 คน มีผู้ติดเชื้อ 1 คน
ศรีลังกา 138 คน มีผู้ติดเชื้อ 1 คน, ตุรกี 158 คน มีผู้ติดเชื้อ 1 คน, รัสเซีย 2,326 คน มีผู้ติดเชื้อ 12 คน, กาตาร์ 704 คน มีผู้ติดเชื้อ 3 คน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1,618 คน มีผู้ติดเชื้อ 6 คน, สหราชอาณาจักร 3,208 คน มีผู้ติดเชื้อ 12 คน, เบลเยียม 851 คน มีผู้ติดเชื้อ 3 คน และอื่นๆ 54,304 คน มีผู้ติดเชื้อ 38 คน
นอกจากนี้ ศบค.ได้เผยแพร่ข้อมูลกรุงวอชิงตันเล็งยกเลิกข้อบังคับสวมหน้ากากอนามัยในอาคาร ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป และนิวซีแลนด์เตรียมผ่อนคลายมาตรการควบคุมพรมแดนเมืองโอ๊คแลนด์