อายุ 30 ถ้าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ควรจะมีเงินสักเท่าไหร่ ให้อยู่อย่างสบายๆ

ขอเกริ่นก่อนว่า คิดนานมากๆ ในการจะตั้งกระทู้นี้ ถ้าใครอ่านกระทู้และคิดว่า ถ้ามีเงินขนาดนี้หรือหาเงินได้ขนาดนี้ น่าจะมีความสามารถในการลงทุน จัดการเงิน ที่ดีกว่ามาถามในพันทิป  เราขอบอกว่า เงินที่บอกทั้งหมด เป็นเงินของครอบครัว ซึ่งเราเป็นลูกคนเดียว เพราะงั้น ทุกอย่างก็จะเป็นของเรา [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

และเราไม่ได้จบบัญชี ไม่ค่อยรู้เรื่องการลงทุน เทรดหุ้นนั่นนี่ และก็กลัวว่า ถ้าผ่านไป 10-20 ปี เงินที่มีจะหดหายไป

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
1. อยากลองทุนในหุ้น หรือbitcoin แต่ยังไม่กล้าเสี่ยง + ตอนนี้เงินทั้งหมดยังเป็นเงินในนิติบุคคล ไม่อยากเอามาใช้ เราควรจะลงทุนทางนี้ดีไหม??
@ไม่แนะนำบิทคอย ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีอะไรนะครับ แต่มันเกินความสามารถคุณไปมาก(ในตอนนี้) เพราะประเมินมูลค่ายากมาก แนะนำว่าหากต้องลงทุนจริงๆ ให้ศึกษาเรื่องลงทุนในหุ้นก่อน เน้นลงทุนแบบพื้นฐาน โดยไปเรียนจากคนที่เก่งจริงๆ ลงทุนจริงๆ มีพอร์ตจริงๆ ไม่ใช่กูรูที่จำขี้ปากคนอื่นมาสอนแต่ตัวเองไม่เปิดเผยพอร์ต ให้คุณเข้าใจระบบการลงทุนก่อน จากนั้นหากจะไปทางด้านเทคนิค ก็ฝึกเทรดแนวเทคนิคในหุ้นที่เน้นการดูกราฟ ก็ค่อยเอาเทคนิคการดูกราฟซึ่งฝึกมาแล้วในหุ้น เอาเทคนิคแนวนี้ไปลงทุนในบิทคอย ถ้าตอนนั้นยังสนใจอยู่

2. ในการกันเงินมารักษาตัว เราควรจะกังวลไหม?? เพราะไม่มีบริษัทผระกันไหนรับทำประกันเลย
@ผมคิดว่าเรื่องนี้ หมอจะตอบคำถามดีสุดว่าหากคุณใช้ชีวิตแบบไหน จะไม่ทำให้โรคกำเริบ และสอบถามเรื่องค่ารักษาด้วยว่าการรักษาต่อครั้งเท่าไร แล้วดูจากสถิติที่ผ่านมาว่าในเวลาหนึ่งปีคุณกำเริบบ่อยกี่ครั้ง เอาแบบเฉลี่ยยาวๆหลายปีเลย

สมมุติว่าสิบปีที่ผ่านมา คุณจะชักปีละ 1 ครั้ง ค่ารักษาแต่ละครั้งอยู่ที่ 1 แสนบาท นั้นก็แปลว่า คุณมีภาระที่จะต้องหาเงินให้ได้ปีนึงไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาทเพื่อรักษาตัวอย่างเดียว

ซึ่งหากคุณรวยอยู่แล้วก็ไม่น่ากังวล ถ้าเป็นผมนั้นจะตั้งธุรกิจที่มีเงินเข้าประจำเป็นการสะสมค่ารักษา เช่นทำห้องเช่า หรือซื้อหุ้นพื้นฐานดีๆที่ปันผลแบบรับได้ โดยกำหนดว่าเงินที่ได้จากการลงทุนตรงนี้นี้คือเงินรักษาตัว เก็บเข้าบัญชีรักษาตัว หากแต่ละปีปรากฎว่าคุณไม่ป่วยอะไรเลย ก็ให้เอาเงินก้อนนั้นทบต้นไปลงทุนต่อในบัญชีรักษาตัว โดยห้ามแตะเลย

เช่นหุ้นนั้น มันจะมีหุ้นประเภทเน้นปันผล อย่าไปหวังส่วนต่างราคา ข้อดีคือปันผลค่อนข้างแน่นอนแต่ละปี คุณก็เอาเงินไปลงหุ้นตรงนี้เพื่อเอาปันผลอย่างเดียว โดยกระจายไปหลายๆกิจการ ให้ได้ปันผลปีละแสนเพื่อเอาไว้รักษาตัวคุณโดยเฉพาะ

เช่น หุ้นXXX จำนวน 5 ตัว ทุกตัวปันผลตอนนี้ 5 เปอร์เซ็นต์ ต่อเนื่องกันหลายปี เป็นหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง และดูแล้วน่าจะคงอยู่ไปอีกหลายสิบปีก็ไม่น่าจะเจ๊งแน่ๆ หรือถ้าจะเจ๊งก็คงจะเจ๊งหลังคุณตาย นั้นก็แปลว่าคุณต้องซื้อหุ้น ด้วยเงินสองล้าน เฉลี่ยซื้อหุ้นทั้ง 5 ตัวนี้ ทีนี้คุณก็มั่นใจแล้วว่าเงินสองล้านนี้คือหลักประกันสุขภาพของคุณ และหากปันผลปีนั้นได้มาแต่คุณไม่ชักเลย ก็เอาเงินหนึ่งแสนเก็บพักในบัญชีก่อนอย่าพึ่งทำอะไร ไว้รอปีที่สองก่อนว่าเกิดอาการชักเปล่า ถ้าเกิดก็จะได้มีเงินรักษาเลย แต่ถ้าไม่เกินในปีที่สอง คุณก็จะมีเงินเก็บเพิ่มอีก 1 แสนเป็ฯ 2 แสนบาท ก็ค่อยเอาเงินสัก 1 แสนไปลงทุนในหุ้นซ้ำ โดยเหลือเงินสดในบัญชีไว้เผื่อฉุกเฉินใช้รักษา 1 แสนเหมือนเดิม และทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ อย่าถอนมาใช้

หรือถ้าจะทำบ้านเช่าก็ลองคำนวนว่าต้องลงทุนเท่าไร ห้องเช่าจะว่างกี่เดือนต่อปี เอากรณีคนเช่าน้อยสุดมาคำนวน หักค่าใช้จ่ายแล้วให้เหลือพอรักษาตัวแบบนี้ก็ได้ แต่วิธีนี้ต้องปวดหัวกับคนเช่า ดังนั้นต้องคำนวนเผื่อไว้ว่าหากคนดูแลแทนเราด้วย ให้เขารับภาระปวดหัวไป จัดการบริหารทุกอย่างแทนเราไป เงินให้คนโอนเข้าบัญชีเท่านั้นพอป้องกันทุจริต เรารับแค่เงินก็พอน่าจะดีกว่า

คุณอย่าลืมว่า อย่างน้อยรัฐยังมีบัตรทองให้ ถ้าคุณหมดตัวยังไงก็ยังมีรัฐช่วยรักษาอยู่ แต่ที่ผมแนะนำให้คุณเก็บเงินก็เพราะบัตรทองก็ต้องทำใจเรื่องบริการ แต่อย่างน้อยก็มีหลักประกันว่าไม่ต้องป่วยตายครับ เอาไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย เงินบัญชีรักษามีไว้เพื่อให้ได้รับบริการที่ดีเท่านั้นก็พอ

3. เราจะลงทุนแบบไหน ชนิดไหน ที่จะทำให้ ไม่กระทบต่อเงินในการรักษาตัวเอง + การกินอยู่ ตั้งแต่ตอนนี้ จนอายุ 60-70 ปี

@ก็ตามที่บอกไปข้อ 2 เป็นการลงทุนที่ค่อนข้างปลอดภัยพอสมควรแล้ว ส่วนเรื่องเงินค่ากินอันนี้คำนวนง่ายหน่อย เพราะคุณต้องรู้ว่าคุณใช้ชีวิตยังไง กินยังไงแต่ละเดือน ค่าน้ำไฟเท่าไร ซื้อของเท่าไร ลองคำนวนโดยคิดถึงอัตราเงินเฟ้อประกอบไปด้วยจนกว่าคุณจะตาย คุณก็จะรู้เองว่าคุณต้องลงทุนธุรกิจอะไรยังไงให้ได้เงินแค่ไหนมาซัพพอร์ตพอให้คุณใช้ชีวิตแบบที่คุณไม่ต้องทำงาน

ผมคงต้องบอกว่าไม่มีการลงทุนแบบไหนไม่มีความเสี่ยง ขนาดฝากธนาคารยังเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อเลย เพราะงั้นคุณทำได้แค่ลงทุนในธุรกิจที่เสี่ยงน้อยสุด สามารถตัดความเสี่ยงได้มากสุด

สุดท้ายข้อแนะนำที่อยากให้คุณเอาไปคิดมากๆคือ

1.ธุรกิจที่บ้านถ้าอยากเลิก อย่าเลิกโดยไม่มีอะไรติดมือไป เพราะกว่าจะมาได้ขนาดนี้ต้องเสียเวลาในการสร้าง ถือว่ามันมีมูลค่าในตัวเองมาก ผมแนะนำว่าแทนที่จะเลิกเอาดื้อๆ สู้คุณเอาไปขายธุรกิจต่อให้กับคนที่สนใจจะดีกว่า คุณจะได้เงินก้อนใหญ่กลับมาด้วยจากการขายธุรกิจของคุณ ผมยังเสียดายแทนเลยว่าของพวกนี้ ใช่ว่ามีเงินจะซื้อโอกาสทางธุรกิจได้ แล้วทำไมคุณจะทิ้งมันไปแบบไร้ราคาแบบนั้นล่ะ ไม่ทำเงินกับมันครั้งสุดท้าย ซึ่งมันน่าจะได้เงินเพิ่มกลับมาอีกหลายล้านบาทเลยทีเดียว

2.เรื่องชีวิตคู่ ถ้าเป็นไปได้ค่อยๆคิดครับ อย่าพึ่งตัดโอกาสตัวเองไป ผมพูดแค่นี้พอดีกว่าเพราะออกจะก้าวล่วงแนวคิดเรื่องการมีชีวิตคู่ของคุณมากไปครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่