ขอแบ่งปันเรื่องราวของโรคภัยที่คร่าชีวิตของคนที่เรารักอย่างไม่มีวันกลับมา โรคที่ไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่ *ไข้สมอง​อักเสบ*

วันนี้ครบ 1 ปี พอดีที่แม่จากไป เคยพิมพ์แล้ว แต่พิมพ์ไม่เคยจบ.. ตอนนี้พอจะเริ่มปรับตัว ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว เลยอยากมาเรียบเรียงอาการป่วยของแม่ให้ทุกคนฟัง และบังเอิญว่าวันนี้ได้ยินว่าเจ้าของร้านอาหารที่เคยไปทานเค้าเป็นโรคนี้เช่นกันและเสียชีวิตเหมือนกัน จึงตัดสินใจพิมพ์​ให้เสร็จเพื่อแบ่งปันเรื่องราวของแม่ตัวเอง เรื่องราวอาจจะยาวไปหน่อย แต่เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับบางคนและเพื่อเตือนใจให้ระมัดระวังด้วยค่ะ

แม่ของเราทำสวนยางค่ะ อยู่ทางภาคอิสาน  ซึ่งสวนยางมีลักษณะโปร่ง อากาศถ่ายเทและไม่มีนกพิราบเลยนะคะ แต่มีอีกาบ้างค่ะ ทำสวนยางมาเกือบ
10 ปี แม่แข็งแรงและปกติดี อายุ 66 ปี  อยู่มาวันนึงแกรู้สึกปวดหัว ปวดผิดปกติ เริ่มจากปวดไม่มากนัก น้องสาวพาไป ร.พ. ประจำอำเภอ หมอวินิจฉัยว่าความดันสูง เลยให้ยาลดความดันพร้อมกับพารามา  ก็กลับบ้านค่ะ อยู่บ้านได้อีก 2 -​ 3 วันอาการไม่ดีขึ้น ปวดมากกว่าเดิม น้องสาวเลยให้พ่อขับรถพาแม่มาหาเราที่โคราชเพื่อมาเจอหมอ ร.พ. ใหญ่ขึ้น  เราพาแม่ไปหาหมอ ก็ตรวจว่าความดันสูงผิดปกติ  หมอสแกนสมอง  คิดว่าเส้นเลือดอาจจะแตก  หรือเส้นเลือดตีบ(ปกติแม่รับยาประจำตัวที่โคราช มีโรคเก๊าท์​กับความดันสูงและไทรอยด์​ค่ะ)​ ปรากฏว่าปกติหมดเลย ไม่เป็นอะไร  เราคิดว่าแม่คงเครียดและกังวลไปเอง หมอจ่ายยาและให้กลับบ้านมาดูอาการ (บ้านเราห่างจาก รพ. 3 โลค่ะ เราเลยไม่กังวลใดๆ และไม่มีอาการบ่งชี้ร้ายแรง)

หลังจากกลับมาอยู่บ้าน แม่ปวดหัวมากขึ้นทุกวัน เราพาไป ร.พ.อีก รอบนี้ได้แอดมิท 3 คืน  หมอเจ้าของใครบอกประมาณว่า แม่เราน่าจะกังวลไปเอง
เพราะที่ผ่านมาหมอไม่เคยเจอเคสแบบแม่เราเลย  เราก็เลยพลอยเออ ออ กับหมอว่าแม่น่าจะกังวลไปเอง ไปนอน รพ. 3 คืน ระหว่างที่นอนกลางคืนแม่บ่นปวดหัวกับคนไข้ด้วยกันเตียงข้างๆ คงปวดมากเลยร้องกวนเค้าทั้งคืน ทั้ง 3 คืนเลย รายละเอียดดังนี้

คืนที่ 1 พยาบาลใส่แพมเพิสให้เพราะบอกว่าแม่ความดันสูง งดลงจากเตียงกลัวล้ม เราก็โอเครับทราบ

คืนที่ 2 แม่ปวดหัวมากขึ้น ได้ยินเสียงกุกกัก นู่นนี่ข้างหูบ้าง บางทีก็บอกมีคนมาทำกับข้าวข้างๆ หูและบ่นว่าตามัวๆ มองไม่ค่อยเห็น  (ขอแทรกนิดค่ะ  ระหว่างที่แม่มาอยู่กับเราแรก หมอประจำแนะนำให้ไปตรวจตาเพราะแม่ไม่เคยตรวจ หมอบอกแม่อาจเป็นต้อทำให้ต้องใช้สายตาเพ่งมาก ทำให้ปวดหัวได้ เราเลยพาแม่ไปตรวจ ปรากฏว่ามีแนวโน้มจะเป็นต้อหิน หมอตาเลยยิงเลเซอร์​ให้  เราเลยคิดว่าเพราะสาเหตุนี้มั้ยทำให้แม่ตามัว)

คืนที่ 3 ตาเห็นน้อยลงอีกและเวลาคุยกันแม่บอก แม่ไม่ได้ยิน พูดดังๆ  และแม่ก็พูดกับเราดังผิดปกติเพราะไม่ได้ยินเสียงตัวเอง

ระหว่างหาอาการปวดหัวแม่มีอาการเมื่อยเนื้อ เมื่อยตัวตลอด ต้องคอยบีบนวด  และวันที่ 3 เมื่อหาสาเหตุไม่ได้หมอประจำวอร์ดก็ได้แต่บอกว่าหมอรักษาให้ตามอาการนะ เพราะคุณยายไม่มีโรคบ่งชี้ชัดๆ สักโรคเลย ประกอบกับแม่ปวดหัว ตาไม่ค่อยเห็น และหูไม่ค่อยได้ยิน  และขาเริ่มไม่มีแรง (เราเข้าใจว่าแม่นอนบนเตียงจนไม่ได้เดินไปไหนทำให้ไม่มีแรง แต่ลึกๆ เราคิดว่าหรือแม่จะเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉียบพลัน)  ทำให้แม่เหมือนกวนคนไข้ข้างๆ เตียงเพราะแกไม่ได้ยิน และไม่ค่อยเห็นแล้ว  หมอเลยแนะนำให้กลับบ้าน เราก็อือกลับก็กลับ เพราะอยู่ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ ตอนย้ายแม่จากเตียงเปลขึ้นรถ แม่ไม่มีแรงเดินหรือพยุงตัวเองแล้ว เราเลยยิ่งคิดว่าหรือจะกล้ามเนื้ออ่อนแรงจริงๆ

วันรุ่งขึ้นตัวเราเองไปปรึกษาหมอตาที่เลเซอร์​ให้แม่ ว่าเป็นไปได้มั้ยที่แม่มองไม่เห็นเพราะเลเซอร์​ หมอบอกจากการทำตาของหมอ คนไข้ 100%  ไม่เคยมีประวัติอย่างแม่เรา หมอบอกว่าหมอคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับสมองแล้วหละ เราบอกเรา MRI มาแล้วไม่เจออะไร  หมอบอกมันมีโรคบางโรคที่สแกนก็ไม่เจอนะ  เราเลยคิดว่าชัวร์น่าจะมีอะไรที่สมองแน่นอน  เราเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายแฟนรู้จักคุณหมอท่านนึงอยู่ กทม. เลยยกหูหาพี่ชายแฟนให้ถามหมอให้หน่อยพร้อมกับส่งคลิปแม่ให้หมอดูด้วย สรุปพี่ชายยกหูหาหมอ หมอซักไทม์ไลน์ว่าเริ่มเป็นเมื่อไหร่ยังไง  พี่ชายแฟนอธิบายได้ไม่หมด เลยแปะเบอร์​หมอให้เราคุยเอง พอได้คุยกับหมอ หมอทราบไทม์ไลน์​เรียบร้อย  หมอบอกว่าผมคิดว่าน่าจะเป็นเยื่อหุ้มสมอง​อักเสบ​นะครับ เพราะอาการเลวลงเร็วมากๆ   สแกนอีกกี่ครั้งก็ไม่เจอ วันนั้นวันอาทิตย์​ จริงๆ มีนัดอีกทีวันอังคาร แต่คุณหมอที่ให้คำแนะนำบอก รอไม่ได้นะครับต้องไปเลย บอกหมอฉุกเฉินไปเลยว่าขอเจาะตรวจน้ำไขสันหลังนะครับ

ตอนนั้นจะ 1 ทุ่มเรารีบพาแม่ไป ตอนนั้นแกไม่มีสติแล้ว ต้องหิ้วปีกอุ้มกันไปเลย  ถึง ร.พ. แกดันมีสติตอนพยาบาลซักประวัติ  แกตอบชื่อ นามสกุล​แกได้  ตอนไปถึงห้องฉุกเฉิน พยาบาลแยกแกอยู่ในหมวดต้องช่วยชีวิตภายใน 10 นาที  เข็นเข้าห้องฉุกเฉินเรียบร้อย หมอสแกนสมองอีกรอบไม่เจออะไรเหมือนเดิม และแจ้งเราว่าความดันแกสูงให้ยาฉีดเข้าเส้นแล้ว ความดันลงแล้ว ให้แอดมิทนะ เราเลยแจ้งเรื่องเจาะน้ำไขสันหลัง​ไป หมอบอกต้องเป็นพรุ่งนี้ให้หมอประจำวอร์ดเป็นคนดูให้ และตอนนั้นก็เที่ยงคืนแล้ว หลังจากส่งแม่ขึ้นวอร์ดเรียบร้อย วันรุ่งขึ้นเวลาเยี่ยมคือ 11 โมงเช้า เรารีบเข้าไปเยี่ยม เห็นหมอกำลังเจาะและดูดน้ำไขสันหลัง​ไป หมอบอกว่ารอผลนะ และให้งดน้ำงดอาหาร

ผลตรวจน้ำไขสันหลัง​ออกบ่าย 2 หมอแจ้งว่า เจอว่าแม่ติดเชื้อราขึ้นสมอง และเชื้อรามาจากนกพิราบ
ใช่ค่ะ มาจากนกพิราบ  หมอถามต่อว่าปกติคุณยายทำอะไร สวนยางมีนกพิราบเยอะมั้ย หรือคุณยายเข้าถ้ำชื้นๆ ที่มีค้างคาวมั้ย หรือคุณยาย ลงน้ำหาปลามั้ย  เราบอกไม่ค่ะ แม่ไม่ชอบน้ำคลองและไม่กินปลาค่ะ  หมอบอกเชื้อราตัวนี้มันจะโจมตีในกลุ่มคนที่เป็นภูมิคุ้มกัน​บกพร้อง HIV  แต่หมอแปลกใจว่าทำไมมาเกิดในคนที่แข็งเรง  แนวทางการรักษาให้ยาปฏิชีวนะ​ 14 วันเป็นอย่างน้อยและเจาะน้ำไขสันหลัง​ไปเพาะเชื้อตรวจทุกวัน และต้องหาสาเหตุด้วยว่าทำไมถึงมาเกิดในร่างกายคนแข็งแรงปกติ เราก็ค่ะๆ

หมอก็ฉีดยาเข็มแรกให้
หมอแจ้งผลเวลา 14:00 นิดหน่อย
หลังจากฉีดยา  ก็ถึงมื้ออาหารเย็น เวลา 15:30
ลูกสาวถาม แม่ๆ ยายยังไม่ได้กินข้าวเลย  หนูป้อนยายได้มั้ย เราเลยถามพยาบาล สรุปกินได้ เราออกมานั่งรอที่ระเบียงเพราะญาติคนไข้อื่นๆ ก็เยอะมากๆ  ผ่านไป 30 นาที ลูกสาววิ่งมาบอก แม่ๆ หลังจากหนูป้อนข้าว ป้อนยายายแล้ว ยายก็นิ่งไป  เราเลยถามยายสำลักม้ย ลูกว่าไม่ ลูกบอกหัวใจยายเต๊นเร็วมาก หน้าอกกระเพื้อมเลย และเหงื่อแตกเสื้อเปียกเลย เรารีบวิ่งไปดูแม่ ปรากฏ​เรียกก็ไม่ได้ยินแล้ว หน้าอกกระเพื่อมแรงมาก เราเรียกพยาบาล พยาบาลมารุมๆ กัน หัวใจแม่เต้นเร็ว 200 กว่าๆ สรุปคือแม่ช็อค พยาบาลบอกญาติต้องใส่ท่อช่วยหายใจนะ เราก็บอกใส่เลยค่ะ ผ่านไป 10 นาที ทุกอย่างดูสงบนิ่ง  แม่นอนนิ่งไปเพราะยาน่าจะทำปฏิกิริยา​แล้ว  ขณะนั้นเวลา 16:30​ น.เราก็นั่งเฝ้าแม่  พอหมดเวลาเยี่ยม 18:00​ น. เราต้องกลับแล้ว

ขากลับเราแวะกินข้าวห่างจาก รพ. 1 กิโล
กว่าๆ   ลูกสาวคนเล็กก็บ่นหนูภาวนา รพ. อย่าโทรมานะ
เราได้แต่ปลอบใจลูก ไม่ต้องห่วงหรอก
ยายปลอดภัยแล้ว  สั่งข้าวกินได้ 3 คำ ร.พ.โทรมา
บอกคุณยายหัวใจหยุด​เต้น​ไป 2 ครั้งแล้วให้ญาติรีบมา  เรานี่บอกตัวเองเลยถ้าอีกครั้งจะไม่ปั๊มแล้ว เราเดาว่าเชื้อรามันน่าจะลามทั่วแล้วล่ะ แม่ถึงแย่ลงเร็วมากๆ ขนาดนี้ ไปถึง ร.พ. ตกใจและขวัญเสียกันทุกคนไม่คิดว่ามันจะปุปปับขนาดนี้ พ่อก็ร้องไห้ออกมา  พอสักครู่หัวใจหยุดเต้นเป็นครั้งที่ 3 เราบอกพ่อว่าไม่ปั๊มละนะ แต่พ่อไม่ยอม พ่อบอกทำไงก็ได้ให้แม่อยู่ก่อน เรานี่สะเทือนใจมากๆ ยิ่งมาเห็นหมอปั๊มหัวใจแม่ยิ่งสงสาร เลยต้องไปกระซิบหมอให้หมอมาคุยกับพ่อให้  หมอเลยมาคุยให้บอกคุณตา คุณยายตอนมาตรวจแล้วเจอเชื้อรา เชื้อรามันกระจายไปทั่วร่างกายแล้ว คุณตาอย่ายื้อคุณยายเลยเนอะ คุณยายยังรู้สึกอยู่นะ  คุณยายเจ็บนะ พ่อปล่อยโฮเลย และยอมรับที่คุณหมอบอก  สรุปแม่เสียตอน 19:45 น. ค่ะ  วันเดียวเลยค่ะ เจาะตรวจหาเชื้อ ผลออก และเสียชีวิต

ระยะเวลาดำเนินโรคที่ชัดเจนเริ่มจากปวดหัวเล็กๆ ไม่ถึง 1 เดือนค่ะ หลังจากเรามีเวลาทบทวนเราคิดว่าแม่น่าจะเป็นจากการใส่ปุ๋ย ซึ่งมีกากอ้อย มูลสัตว์ แต่ทั้งหมดแห้งนะคะ แต่คงจะเป็นฝุ่นประกอบช่วงนั้นแม่อาจจะร่างกายอ่อนด้วยล่ะมั้งคะ แต่ไม่โทษหมอเลยนะคะ ที่รักษาไม่ทันท่วงที เพราะอาการของแม่ไม่บ่งชี้ชัดเจนด้วยหละค่ะ ปกติต้องมีไข้สูงต่ำสลับกัน แต่ของแม่ไม่มีเลย และจากที่คุยๆ และหาข้อมูลโรคนี้โดยมากจะรู้ก็ตอนที่เป็นเยอะแล้ว ถึงรักษาทันแต่เชื้อราจะทำลายสมองจนสูญเสีย​การมองเห็นหรือการได้ยินไปแล้วค่ะ (ระยะเวลาดำเนินของโรค
แม่เริ่มปวดหัวทนไม่ได้ไป รพ. 18 ต.ค 64
แม่มาหาเราที่โคราช  21 ต.ค. 64 หลังจากแม่มาหาเราๆ พาเทียวไปเจอหมอหลายรอบ
สุดท้ายเจาะไขสันหลัง เพาะเชื้อ ผลออก ช็อค
และเสียเลยภายใน 1 วัน)

วันนี้ครบ 1 ปี ที่แม่จากไปแล้ว แต่ยังจำเหตุการณ์​วันนั้นได้ไม่ลืมเลยค่ะ  เยื่อหุ้มสมองอักเสบแยกการติดเชื้อได้อีกหลายประเภทนะคะ ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูค่ะ แต่ที่แน่ๆ มูลสัตว์ต่างๆ เลี่ยงได้ ควรเลี่ยง และหลังจากนั้นมาเราเห็นนกพิราบนี่ เราหนีไกลๆ เลยค่ะ

ขอแปะลิ้งเกี่ยวกับโรคนี้เพื่อศึกษานะคะ

https://www.pobpad.com/%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9A
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่