วันนี้ครบ 1 ปี พอดีที่แม่จากไป เคยพิมพ์แล้ว แต่พิมพ์ไม่เคยจบ.. ตอนนี้พอจะเริ่มปรับตัว ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว เลยอยากมาเรียบเรียงอาการป่วยของแม่ให้ทุกคนฟัง และบังเอิญว่าวันนี้ได้ยินว่าเจ้าของร้านอาหารที่เคยไปทานเค้าเป็นโรคนี้เช่นกันและเสียชีวิตเหมือนกัน จึงตัดสินใจพิมพ์ให้เสร็จเพื่อแบ่งปันเรื่องราวของแม่ตัวเอง เรื่องราวอาจจะยาวไปหน่อย แต่เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับบางคนและเพื่อเตือนใจให้ระมัดระวังด้วยค่ะ
แม่ของเราทำสวนยางค่ะ อยู่ทางภาคอิสาน ซึ่งสวนยางมีลักษณะโปร่ง อากาศถ่ายเทและไม่มีนกพิราบเลยนะคะ แต่มีอีกาบ้างค่ะ ทำสวนยางมาเกือบ
10 ปี แม่แข็งแรงและปกติดี อายุ 66 ปี อยู่มาวันนึงแกรู้สึกปวดหัว ปวดผิดปกติ เริ่มจากปวดไม่มากนัก น้องสาวพาไป ร.พ. ประจำอำเภอ หมอวินิจฉัยว่าความดันสูง เลยให้ยาลดความดันพร้อมกับพารามา ก็กลับบ้านค่ะ อยู่บ้านได้อีก 2 - 3 วันอาการไม่ดีขึ้น ปวดมากกว่าเดิม น้องสาวเลยให้พ่อขับรถพาแม่มาหาเราที่โคราชเพื่อมาเจอหมอ ร.พ. ใหญ่ขึ้น เราพาแม่ไปหาหมอ ก็ตรวจว่าความดันสูงผิดปกติ หมอสแกนสมอง คิดว่าเส้นเลือดอาจจะแตก หรือเส้นเลือดตีบ(ปกติแม่รับยาประจำตัวที่โคราช มีโรคเก๊าท์กับความดันสูงและไทรอยด์ค่ะ) ปรากฏว่าปกติหมดเลย ไม่เป็นอะไร เราคิดว่าแม่คงเครียดและกังวลไปเอง หมอจ่ายยาและให้กลับบ้านมาดูอาการ (บ้านเราห่างจาก รพ. 3 โลค่ะ เราเลยไม่กังวลใดๆ และไม่มีอาการบ่งชี้ร้ายแรง)
หลังจากกลับมาอยู่บ้าน แม่ปวดหัวมากขึ้นทุกวัน เราพาไป ร.พ.อีก รอบนี้ได้แอดมิท 3 คืน หมอเจ้าของใครบอกประมาณว่า แม่เราน่าจะกังวลไปเอง
เพราะที่ผ่านมาหมอไม่เคยเจอเคสแบบแม่เราเลย เราก็เลยพลอยเออ ออ กับหมอว่าแม่น่าจะกังวลไปเอง ไปนอน รพ. 3 คืน ระหว่างที่นอนกลางคืนแม่บ่นปวดหัวกับคนไข้ด้วยกันเตียงข้างๆ คงปวดมากเลยร้องกวนเค้าทั้งคืน ทั้ง 3 คืนเลย รายละเอียดดังนี้
คืนที่ 1 พยาบาลใส่แพมเพิสให้เพราะบอกว่าแม่ความดันสูง งดลงจากเตียงกลัวล้ม เราก็โอเครับทราบ
คืนที่ 2 แม่ปวดหัวมากขึ้น ได้ยินเสียงกุกกัก นู่นนี่ข้างหูบ้าง บางทีก็บอกมีคนมาทำกับข้าวข้างๆ หูและบ่นว่าตามัวๆ มองไม่ค่อยเห็น (ขอแทรกนิดค่ะ ระหว่างที่แม่มาอยู่กับเราแรก หมอประจำแนะนำให้ไปตรวจตาเพราะแม่ไม่เคยตรวจ หมอบอกแม่อาจเป็นต้อทำให้ต้องใช้สายตาเพ่งมาก ทำให้ปวดหัวได้ เราเลยพาแม่ไปตรวจ ปรากฏว่ามีแนวโน้มจะเป็นต้อหิน หมอตาเลยยิงเลเซอร์ให้ เราเลยคิดว่าเพราะสาเหตุนี้มั้ยทำให้แม่ตามัว)
คืนที่ 3 ตาเห็นน้อยลงอีกและเวลาคุยกันแม่บอก แม่ไม่ได้ยิน พูดดังๆ และแม่ก็พูดกับเราดังผิดปกติเพราะไม่ได้ยินเสียงตัวเอง
ระหว่างหาอาการปวดหัวแม่มีอาการเมื่อยเนื้อ เมื่อยตัวตลอด ต้องคอยบีบนวด และวันที่ 3 เมื่อหาสาเหตุไม่ได้หมอประจำวอร์ดก็ได้แต่บอกว่าหมอรักษาให้ตามอาการนะ เพราะคุณยายไม่มีโรคบ่งชี้ชัดๆ สักโรคเลย ประกอบกับแม่ปวดหัว ตาไม่ค่อยเห็น และหูไม่ค่อยได้ยิน และขาเริ่มไม่มีแรง (เราเข้าใจว่าแม่นอนบนเตียงจนไม่ได้เดินไปไหนทำให้ไม่มีแรง แต่ลึกๆ เราคิดว่าหรือแม่จะเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉียบพลัน) ทำให้แม่เหมือนกวนคนไข้ข้างๆ เตียงเพราะแกไม่ได้ยิน และไม่ค่อยเห็นแล้ว หมอเลยแนะนำให้กลับบ้าน เราก็อือกลับก็กลับ เพราะอยู่ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ ตอนย้ายแม่จากเตียงเปลขึ้นรถ แม่ไม่มีแรงเดินหรือพยุงตัวเองแล้ว เราเลยยิ่งคิดว่าหรือจะกล้ามเนื้ออ่อนแรงจริงๆ
วันรุ่งขึ้นตัวเราเองไปปรึกษาหมอตาที่เลเซอร์ให้แม่ ว่าเป็นไปได้มั้ยที่แม่มองไม่เห็นเพราะเลเซอร์ หมอบอกจากการทำตาของหมอ คนไข้ 100% ไม่เคยมีประวัติอย่างแม่เรา หมอบอกว่าหมอคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับสมองแล้วหละ เราบอกเรา MRI มาแล้วไม่เจออะไร หมอบอกมันมีโรคบางโรคที่สแกนก็ไม่เจอนะ เราเลยคิดว่าชัวร์น่าจะมีอะไรที่สมองแน่นอน เราเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายแฟนรู้จักคุณหมอท่านนึงอยู่ กทม. เลยยกหูหาพี่ชายแฟนให้ถามหมอให้หน่อยพร้อมกับส่งคลิปแม่ให้หมอดูด้วย สรุปพี่ชายยกหูหาหมอ หมอซักไทม์ไลน์ว่าเริ่มเป็นเมื่อไหร่ยังไง พี่ชายแฟนอธิบายได้ไม่หมด เลยแปะเบอร์หมอให้เราคุยเอง พอได้คุยกับหมอ หมอทราบไทม์ไลน์เรียบร้อย หมอบอกว่าผมคิดว่าน่าจะเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบนะครับ เพราะอาการเลวลงเร็วมากๆ สแกนอีกกี่ครั้งก็ไม่เจอ วันนั้นวันอาทิตย์ จริงๆ มีนัดอีกทีวันอังคาร แต่คุณหมอที่ให้คำแนะนำบอก รอไม่ได้นะครับต้องไปเลย บอกหมอฉุกเฉินไปเลยว่าขอเจาะตรวจน้ำไขสันหลังนะครับ
ตอนนั้นจะ 1 ทุ่มเรารีบพาแม่ไป ตอนนั้นแกไม่มีสติแล้ว ต้องหิ้วปีกอุ้มกันไปเลย ถึง ร.พ. แกดันมีสติตอนพยาบาลซักประวัติ แกตอบชื่อ นามสกุลแกได้ ตอนไปถึงห้องฉุกเฉิน พยาบาลแยกแกอยู่ในหมวดต้องช่วยชีวิตภายใน 10 นาที เข็นเข้าห้องฉุกเฉินเรียบร้อย หมอสแกนสมองอีกรอบไม่เจออะไรเหมือนเดิม และแจ้งเราว่าความดันแกสูงให้ยาฉีดเข้าเส้นแล้ว ความดันลงแล้ว ให้แอดมิทนะ เราเลยแจ้งเรื่องเจาะน้ำไขสันหลังไป หมอบอกต้องเป็นพรุ่งนี้ให้หมอประจำวอร์ดเป็นคนดูให้ และตอนนั้นก็เที่ยงคืนแล้ว หลังจากส่งแม่ขึ้นวอร์ดเรียบร้อย วันรุ่งขึ้นเวลาเยี่ยมคือ 11 โมงเช้า เรารีบเข้าไปเยี่ยม เห็นหมอกำลังเจาะและดูดน้ำไขสันหลังไป หมอบอกว่ารอผลนะ และให้งดน้ำงดอาหาร
ผลตรวจน้ำไขสันหลังออกบ่าย 2 หมอแจ้งว่า เจอว่าแม่ติดเชื้อราขึ้นสมอง และเชื้อรามาจากนกพิราบ
ใช่ค่ะ มาจากนกพิราบ หมอถามต่อว่าปกติคุณยายทำอะไร สวนยางมีนกพิราบเยอะมั้ย หรือคุณยายเข้าถ้ำชื้นๆ ที่มีค้างคาวมั้ย หรือคุณยาย ลงน้ำหาปลามั้ย เราบอกไม่ค่ะ แม่ไม่ชอบน้ำคลองและไม่กินปลาค่ะ หมอบอกเชื้อราตัวนี้มันจะโจมตีในกลุ่มคนที่เป็นภูมิคุ้มกันบกพร้อง HIV แต่หมอแปลกใจว่าทำไมมาเกิดในคนที่แข็งเรง แนวทางการรักษาให้ยาปฏิชีวนะ 14 วันเป็นอย่างน้อยและเจาะน้ำไขสันหลังไปเพาะเชื้อตรวจทุกวัน และต้องหาสาเหตุด้วยว่าทำไมถึงมาเกิดในร่างกายคนแข็งแรงปกติ เราก็ค่ะๆ
หมอก็ฉีดยาเข็มแรกให้
หมอแจ้งผลเวลา 14:00 นิดหน่อย
หลังจากฉีดยา ก็ถึงมื้ออาหารเย็น เวลา 15:30
ลูกสาวถาม แม่ๆ ยายยังไม่ได้กินข้าวเลย หนูป้อนยายได้มั้ย เราเลยถามพยาบาล สรุปกินได้ เราออกมานั่งรอที่ระเบียงเพราะญาติคนไข้อื่นๆ ก็เยอะมากๆ ผ่านไป 30 นาที ลูกสาววิ่งมาบอก แม่ๆ หลังจากหนูป้อนข้าว ป้อนยายายแล้ว ยายก็นิ่งไป เราเลยถามยายสำลักม้ย ลูกว่าไม่ ลูกบอกหัวใจยายเต๊นเร็วมาก หน้าอกกระเพื้อมเลย และเหงื่อแตกเสื้อเปียกเลย เรารีบวิ่งไปดูแม่ ปรากฏเรียกก็ไม่ได้ยินแล้ว หน้าอกกระเพื่อมแรงมาก เราเรียกพยาบาล พยาบาลมารุมๆ กัน หัวใจแม่เต้นเร็ว 200 กว่าๆ สรุปคือแม่ช็อค พยาบาลบอกญาติต้องใส่ท่อช่วยหายใจนะ เราก็บอกใส่เลยค่ะ ผ่านไป 10 นาที ทุกอย่างดูสงบนิ่ง แม่นอนนิ่งไปเพราะยาน่าจะทำปฏิกิริยาแล้ว ขณะนั้นเวลา 16:30 น.เราก็นั่งเฝ้าแม่ พอหมดเวลาเยี่ยม 18:00 น. เราต้องกลับแล้ว
ขากลับเราแวะกินข้าวห่างจาก รพ. 1 กิโล
กว่าๆ ลูกสาวคนเล็กก็บ่นหนูภาวนา รพ. อย่าโทรมานะ
เราได้แต่ปลอบใจลูก ไม่ต้องห่วงหรอก
ยายปลอดภัยแล้ว สั่งข้าวกินได้ 3 คำ ร.พ.โทรมา
บอกคุณยายหัวใจหยุดเต้นไป 2 ครั้งแล้วให้ญาติรีบมา เรานี่บอกตัวเองเลยถ้าอีกครั้งจะไม่ปั๊มแล้ว เราเดาว่าเชื้อรามันน่าจะลามทั่วแล้วล่ะ แม่ถึงแย่ลงเร็วมากๆ ขนาดนี้ ไปถึง ร.พ. ตกใจและขวัญเสียกันทุกคนไม่คิดว่ามันจะปุปปับขนาดนี้ พ่อก็ร้องไห้ออกมา พอสักครู่หัวใจหยุดเต้นเป็นครั้งที่ 3 เราบอกพ่อว่าไม่ปั๊มละนะ แต่พ่อไม่ยอม พ่อบอกทำไงก็ได้ให้แม่อยู่ก่อน เรานี่สะเทือนใจมากๆ ยิ่งมาเห็นหมอปั๊มหัวใจแม่ยิ่งสงสาร เลยต้องไปกระซิบหมอให้หมอมาคุยกับพ่อให้ หมอเลยมาคุยให้บอกคุณตา คุณยายตอนมาตรวจแล้วเจอเชื้อรา เชื้อรามันกระจายไปทั่วร่างกายแล้ว คุณตาอย่ายื้อคุณยายเลยเนอะ คุณยายยังรู้สึกอยู่นะ คุณยายเจ็บนะ พ่อปล่อยโฮเลย และยอมรับที่คุณหมอบอก สรุปแม่เสียตอน 19:45 น. ค่ะ วันเดียวเลยค่ะ เจาะตรวจหาเชื้อ ผลออก และเสียชีวิต
ระยะเวลาดำเนินโรคที่ชัดเจนเริ่มจากปวดหัวเล็กๆ ไม่ถึง 1 เดือนค่ะ หลังจากเรามีเวลาทบทวนเราคิดว่าแม่น่าจะเป็นจากการใส่ปุ๋ย ซึ่งมีกากอ้อย มูลสัตว์ แต่ทั้งหมดแห้งนะคะ แต่คงจะเป็นฝุ่นประกอบช่วงนั้นแม่อาจจะร่างกายอ่อนด้วยล่ะมั้งคะ แต่ไม่โทษหมอเลยนะคะ ที่รักษาไม่ทันท่วงที เพราะอาการของแม่ไม่บ่งชี้ชัดเจนด้วยหละค่ะ ปกติต้องมีไข้สูงต่ำสลับกัน แต่ของแม่ไม่มีเลย และจากที่คุยๆ และหาข้อมูลโรคนี้โดยมากจะรู้ก็ตอนที่เป็นเยอะแล้ว ถึงรักษาทันแต่เชื้อราจะทำลายสมองจนสูญเสียการมองเห็นหรือการได้ยินไปแล้วค่ะ (ระยะเวลาดำเนินของโรค
แม่เริ่มปวดหัวทนไม่ได้ไป รพ. 18 ต.ค 64
แม่มาหาเราที่โคราช 21 ต.ค. 64 หลังจากแม่มาหาเราๆ พาเทียวไปเจอหมอหลายรอบ
สุดท้ายเจาะไขสันหลัง เพาะเชื้อ ผลออก ช็อค
และเสียเลยภายใน 1 วัน)
วันนี้ครบ 1 ปี ที่แม่จากไปแล้ว แต่ยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ไม่ลืมเลยค่ะ เยื่อหุ้มสมองอักเสบแยกการติดเชื้อได้อีกหลายประเภทนะคะ ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูค่ะ แต่ที่แน่ๆ มูลสัตว์ต่างๆ เลี่ยงได้ ควรเลี่ยง และหลังจากนั้นมาเราเห็นนกพิราบนี่ เราหนีไกลๆ เลยค่ะ
ขอแปะลิ้งเกี่ยวกับโรคนี้เพื่อศึกษานะคะ
https://www.pobpad.com/%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9A
ขอแบ่งปันเรื่องราวของโรคภัยที่คร่าชีวิตของคนที่เรารักอย่างไม่มีวันกลับมา โรคที่ไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่ *ไข้สมองอักเสบ*
แม่ของเราทำสวนยางค่ะ อยู่ทางภาคอิสาน ซึ่งสวนยางมีลักษณะโปร่ง อากาศถ่ายเทและไม่มีนกพิราบเลยนะคะ แต่มีอีกาบ้างค่ะ ทำสวนยางมาเกือบ
10 ปี แม่แข็งแรงและปกติดี อายุ 66 ปี อยู่มาวันนึงแกรู้สึกปวดหัว ปวดผิดปกติ เริ่มจากปวดไม่มากนัก น้องสาวพาไป ร.พ. ประจำอำเภอ หมอวินิจฉัยว่าความดันสูง เลยให้ยาลดความดันพร้อมกับพารามา ก็กลับบ้านค่ะ อยู่บ้านได้อีก 2 - 3 วันอาการไม่ดีขึ้น ปวดมากกว่าเดิม น้องสาวเลยให้พ่อขับรถพาแม่มาหาเราที่โคราชเพื่อมาเจอหมอ ร.พ. ใหญ่ขึ้น เราพาแม่ไปหาหมอ ก็ตรวจว่าความดันสูงผิดปกติ หมอสแกนสมอง คิดว่าเส้นเลือดอาจจะแตก หรือเส้นเลือดตีบ(ปกติแม่รับยาประจำตัวที่โคราช มีโรคเก๊าท์กับความดันสูงและไทรอยด์ค่ะ) ปรากฏว่าปกติหมดเลย ไม่เป็นอะไร เราคิดว่าแม่คงเครียดและกังวลไปเอง หมอจ่ายยาและให้กลับบ้านมาดูอาการ (บ้านเราห่างจาก รพ. 3 โลค่ะ เราเลยไม่กังวลใดๆ และไม่มีอาการบ่งชี้ร้ายแรง)
หลังจากกลับมาอยู่บ้าน แม่ปวดหัวมากขึ้นทุกวัน เราพาไป ร.พ.อีก รอบนี้ได้แอดมิท 3 คืน หมอเจ้าของใครบอกประมาณว่า แม่เราน่าจะกังวลไปเอง
เพราะที่ผ่านมาหมอไม่เคยเจอเคสแบบแม่เราเลย เราก็เลยพลอยเออ ออ กับหมอว่าแม่น่าจะกังวลไปเอง ไปนอน รพ. 3 คืน ระหว่างที่นอนกลางคืนแม่บ่นปวดหัวกับคนไข้ด้วยกันเตียงข้างๆ คงปวดมากเลยร้องกวนเค้าทั้งคืน ทั้ง 3 คืนเลย รายละเอียดดังนี้
คืนที่ 1 พยาบาลใส่แพมเพิสให้เพราะบอกว่าแม่ความดันสูง งดลงจากเตียงกลัวล้ม เราก็โอเครับทราบ
คืนที่ 2 แม่ปวดหัวมากขึ้น ได้ยินเสียงกุกกัก นู่นนี่ข้างหูบ้าง บางทีก็บอกมีคนมาทำกับข้าวข้างๆ หูและบ่นว่าตามัวๆ มองไม่ค่อยเห็น (ขอแทรกนิดค่ะ ระหว่างที่แม่มาอยู่กับเราแรก หมอประจำแนะนำให้ไปตรวจตาเพราะแม่ไม่เคยตรวจ หมอบอกแม่อาจเป็นต้อทำให้ต้องใช้สายตาเพ่งมาก ทำให้ปวดหัวได้ เราเลยพาแม่ไปตรวจ ปรากฏว่ามีแนวโน้มจะเป็นต้อหิน หมอตาเลยยิงเลเซอร์ให้ เราเลยคิดว่าเพราะสาเหตุนี้มั้ยทำให้แม่ตามัว)
คืนที่ 3 ตาเห็นน้อยลงอีกและเวลาคุยกันแม่บอก แม่ไม่ได้ยิน พูดดังๆ และแม่ก็พูดกับเราดังผิดปกติเพราะไม่ได้ยินเสียงตัวเอง
ระหว่างหาอาการปวดหัวแม่มีอาการเมื่อยเนื้อ เมื่อยตัวตลอด ต้องคอยบีบนวด และวันที่ 3 เมื่อหาสาเหตุไม่ได้หมอประจำวอร์ดก็ได้แต่บอกว่าหมอรักษาให้ตามอาการนะ เพราะคุณยายไม่มีโรคบ่งชี้ชัดๆ สักโรคเลย ประกอบกับแม่ปวดหัว ตาไม่ค่อยเห็น และหูไม่ค่อยได้ยิน และขาเริ่มไม่มีแรง (เราเข้าใจว่าแม่นอนบนเตียงจนไม่ได้เดินไปไหนทำให้ไม่มีแรง แต่ลึกๆ เราคิดว่าหรือแม่จะเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉียบพลัน) ทำให้แม่เหมือนกวนคนไข้ข้างๆ เตียงเพราะแกไม่ได้ยิน และไม่ค่อยเห็นแล้ว หมอเลยแนะนำให้กลับบ้าน เราก็อือกลับก็กลับ เพราะอยู่ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ ตอนย้ายแม่จากเตียงเปลขึ้นรถ แม่ไม่มีแรงเดินหรือพยุงตัวเองแล้ว เราเลยยิ่งคิดว่าหรือจะกล้ามเนื้ออ่อนแรงจริงๆ
วันรุ่งขึ้นตัวเราเองไปปรึกษาหมอตาที่เลเซอร์ให้แม่ ว่าเป็นไปได้มั้ยที่แม่มองไม่เห็นเพราะเลเซอร์ หมอบอกจากการทำตาของหมอ คนไข้ 100% ไม่เคยมีประวัติอย่างแม่เรา หมอบอกว่าหมอคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับสมองแล้วหละ เราบอกเรา MRI มาแล้วไม่เจออะไร หมอบอกมันมีโรคบางโรคที่สแกนก็ไม่เจอนะ เราเลยคิดว่าชัวร์น่าจะมีอะไรที่สมองแน่นอน เราเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายแฟนรู้จักคุณหมอท่านนึงอยู่ กทม. เลยยกหูหาพี่ชายแฟนให้ถามหมอให้หน่อยพร้อมกับส่งคลิปแม่ให้หมอดูด้วย สรุปพี่ชายยกหูหาหมอ หมอซักไทม์ไลน์ว่าเริ่มเป็นเมื่อไหร่ยังไง พี่ชายแฟนอธิบายได้ไม่หมด เลยแปะเบอร์หมอให้เราคุยเอง พอได้คุยกับหมอ หมอทราบไทม์ไลน์เรียบร้อย หมอบอกว่าผมคิดว่าน่าจะเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบนะครับ เพราะอาการเลวลงเร็วมากๆ สแกนอีกกี่ครั้งก็ไม่เจอ วันนั้นวันอาทิตย์ จริงๆ มีนัดอีกทีวันอังคาร แต่คุณหมอที่ให้คำแนะนำบอก รอไม่ได้นะครับต้องไปเลย บอกหมอฉุกเฉินไปเลยว่าขอเจาะตรวจน้ำไขสันหลังนะครับ
ตอนนั้นจะ 1 ทุ่มเรารีบพาแม่ไป ตอนนั้นแกไม่มีสติแล้ว ต้องหิ้วปีกอุ้มกันไปเลย ถึง ร.พ. แกดันมีสติตอนพยาบาลซักประวัติ แกตอบชื่อ นามสกุลแกได้ ตอนไปถึงห้องฉุกเฉิน พยาบาลแยกแกอยู่ในหมวดต้องช่วยชีวิตภายใน 10 นาที เข็นเข้าห้องฉุกเฉินเรียบร้อย หมอสแกนสมองอีกรอบไม่เจออะไรเหมือนเดิม และแจ้งเราว่าความดันแกสูงให้ยาฉีดเข้าเส้นแล้ว ความดันลงแล้ว ให้แอดมิทนะ เราเลยแจ้งเรื่องเจาะน้ำไขสันหลังไป หมอบอกต้องเป็นพรุ่งนี้ให้หมอประจำวอร์ดเป็นคนดูให้ และตอนนั้นก็เที่ยงคืนแล้ว หลังจากส่งแม่ขึ้นวอร์ดเรียบร้อย วันรุ่งขึ้นเวลาเยี่ยมคือ 11 โมงเช้า เรารีบเข้าไปเยี่ยม เห็นหมอกำลังเจาะและดูดน้ำไขสันหลังไป หมอบอกว่ารอผลนะ และให้งดน้ำงดอาหาร
ผลตรวจน้ำไขสันหลังออกบ่าย 2 หมอแจ้งว่า เจอว่าแม่ติดเชื้อราขึ้นสมอง และเชื้อรามาจากนกพิราบ
ใช่ค่ะ มาจากนกพิราบ หมอถามต่อว่าปกติคุณยายทำอะไร สวนยางมีนกพิราบเยอะมั้ย หรือคุณยายเข้าถ้ำชื้นๆ ที่มีค้างคาวมั้ย หรือคุณยาย ลงน้ำหาปลามั้ย เราบอกไม่ค่ะ แม่ไม่ชอบน้ำคลองและไม่กินปลาค่ะ หมอบอกเชื้อราตัวนี้มันจะโจมตีในกลุ่มคนที่เป็นภูมิคุ้มกันบกพร้อง HIV แต่หมอแปลกใจว่าทำไมมาเกิดในคนที่แข็งเรง แนวทางการรักษาให้ยาปฏิชีวนะ 14 วันเป็นอย่างน้อยและเจาะน้ำไขสันหลังไปเพาะเชื้อตรวจทุกวัน และต้องหาสาเหตุด้วยว่าทำไมถึงมาเกิดในร่างกายคนแข็งแรงปกติ เราก็ค่ะๆ
หมอก็ฉีดยาเข็มแรกให้
หมอแจ้งผลเวลา 14:00 นิดหน่อย
หลังจากฉีดยา ก็ถึงมื้ออาหารเย็น เวลา 15:30
ลูกสาวถาม แม่ๆ ยายยังไม่ได้กินข้าวเลย หนูป้อนยายได้มั้ย เราเลยถามพยาบาล สรุปกินได้ เราออกมานั่งรอที่ระเบียงเพราะญาติคนไข้อื่นๆ ก็เยอะมากๆ ผ่านไป 30 นาที ลูกสาววิ่งมาบอก แม่ๆ หลังจากหนูป้อนข้าว ป้อนยายายแล้ว ยายก็นิ่งไป เราเลยถามยายสำลักม้ย ลูกว่าไม่ ลูกบอกหัวใจยายเต๊นเร็วมาก หน้าอกกระเพื้อมเลย และเหงื่อแตกเสื้อเปียกเลย เรารีบวิ่งไปดูแม่ ปรากฏเรียกก็ไม่ได้ยินแล้ว หน้าอกกระเพื่อมแรงมาก เราเรียกพยาบาล พยาบาลมารุมๆ กัน หัวใจแม่เต้นเร็ว 200 กว่าๆ สรุปคือแม่ช็อค พยาบาลบอกญาติต้องใส่ท่อช่วยหายใจนะ เราก็บอกใส่เลยค่ะ ผ่านไป 10 นาที ทุกอย่างดูสงบนิ่ง แม่นอนนิ่งไปเพราะยาน่าจะทำปฏิกิริยาแล้ว ขณะนั้นเวลา 16:30 น.เราก็นั่งเฝ้าแม่ พอหมดเวลาเยี่ยม 18:00 น. เราต้องกลับแล้ว
ขากลับเราแวะกินข้าวห่างจาก รพ. 1 กิโล
กว่าๆ ลูกสาวคนเล็กก็บ่นหนูภาวนา รพ. อย่าโทรมานะ
เราได้แต่ปลอบใจลูก ไม่ต้องห่วงหรอก
ยายปลอดภัยแล้ว สั่งข้าวกินได้ 3 คำ ร.พ.โทรมา
บอกคุณยายหัวใจหยุดเต้นไป 2 ครั้งแล้วให้ญาติรีบมา เรานี่บอกตัวเองเลยถ้าอีกครั้งจะไม่ปั๊มแล้ว เราเดาว่าเชื้อรามันน่าจะลามทั่วแล้วล่ะ แม่ถึงแย่ลงเร็วมากๆ ขนาดนี้ ไปถึง ร.พ. ตกใจและขวัญเสียกันทุกคนไม่คิดว่ามันจะปุปปับขนาดนี้ พ่อก็ร้องไห้ออกมา พอสักครู่หัวใจหยุดเต้นเป็นครั้งที่ 3 เราบอกพ่อว่าไม่ปั๊มละนะ แต่พ่อไม่ยอม พ่อบอกทำไงก็ได้ให้แม่อยู่ก่อน เรานี่สะเทือนใจมากๆ ยิ่งมาเห็นหมอปั๊มหัวใจแม่ยิ่งสงสาร เลยต้องไปกระซิบหมอให้หมอมาคุยกับพ่อให้ หมอเลยมาคุยให้บอกคุณตา คุณยายตอนมาตรวจแล้วเจอเชื้อรา เชื้อรามันกระจายไปทั่วร่างกายแล้ว คุณตาอย่ายื้อคุณยายเลยเนอะ คุณยายยังรู้สึกอยู่นะ คุณยายเจ็บนะ พ่อปล่อยโฮเลย และยอมรับที่คุณหมอบอก สรุปแม่เสียตอน 19:45 น. ค่ะ วันเดียวเลยค่ะ เจาะตรวจหาเชื้อ ผลออก และเสียชีวิต
ระยะเวลาดำเนินโรคที่ชัดเจนเริ่มจากปวดหัวเล็กๆ ไม่ถึง 1 เดือนค่ะ หลังจากเรามีเวลาทบทวนเราคิดว่าแม่น่าจะเป็นจากการใส่ปุ๋ย ซึ่งมีกากอ้อย มูลสัตว์ แต่ทั้งหมดแห้งนะคะ แต่คงจะเป็นฝุ่นประกอบช่วงนั้นแม่อาจจะร่างกายอ่อนด้วยล่ะมั้งคะ แต่ไม่โทษหมอเลยนะคะ ที่รักษาไม่ทันท่วงที เพราะอาการของแม่ไม่บ่งชี้ชัดเจนด้วยหละค่ะ ปกติต้องมีไข้สูงต่ำสลับกัน แต่ของแม่ไม่มีเลย และจากที่คุยๆ และหาข้อมูลโรคนี้โดยมากจะรู้ก็ตอนที่เป็นเยอะแล้ว ถึงรักษาทันแต่เชื้อราจะทำลายสมองจนสูญเสียการมองเห็นหรือการได้ยินไปแล้วค่ะ (ระยะเวลาดำเนินของโรค
แม่เริ่มปวดหัวทนไม่ได้ไป รพ. 18 ต.ค 64
แม่มาหาเราที่โคราช 21 ต.ค. 64 หลังจากแม่มาหาเราๆ พาเทียวไปเจอหมอหลายรอบ
สุดท้ายเจาะไขสันหลัง เพาะเชื้อ ผลออก ช็อค
และเสียเลยภายใน 1 วัน)
วันนี้ครบ 1 ปี ที่แม่จากไปแล้ว แต่ยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ไม่ลืมเลยค่ะ เยื่อหุ้มสมองอักเสบแยกการติดเชื้อได้อีกหลายประเภทนะคะ ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูค่ะ แต่ที่แน่ๆ มูลสัตว์ต่างๆ เลี่ยงได้ ควรเลี่ยง และหลังจากนั้นมาเราเห็นนกพิราบนี่ เราหนีไกลๆ เลยค่ะ
ขอแปะลิ้งเกี่ยวกับโรคนี้เพื่อศึกษานะคะ
https://www.pobpad.com/%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9A