เพื่อนๆ ... เชื่อว่า ผีมีจริงไหม ?
ผมคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่เชื่อ...จนกระทั่ง
วันหนึ่ง ราวๆ ปี พ.ศ. 2532...
ก็เป็นทหารช่างน่ะ มีหน้าที่ซ่อมเครื่องยนต์ของเครื่องบิน C-130
ประจำอยู่ที่โรงเก็บฝ่ายการช่าง ฝูงบิน 601 ดอนเมือง
กลัวความสูงตั้งแต่เด็ก ก็เลยไม่อยากไปเป็นนักบิน
แต่ใจก็รักเครื่องบินนะ ชอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว
หมดกะตังค์ไปกับชุดคิทโมเดลเครื่องบินของทามิย่าก็โขอยู่
ไม่ได้กิน ดมกลิ่นก็ยังดี...
ไม่เป็นนักบิน เป็นช่างเครื่องบินก็ยังได้...วุ้ย
ช่วงว่างๆ จากภารกิจในการซ่อมเครื่องบิน
ก็แบ่งข้างเล่นตะกร้อเน็ตกัน
ผมชอบยืนหน้าซ้ายนะ คอยเทคตัวขึ้นตีลังกาฟาด
ก็แค่เล่นกินน้ำขวดกันสนุกๆ น่ะ
แต่ละครั้งที่ผมเทคตัวขึ้นฟาดลูกหน้าเน็ตนะ
ทุกคน...ไม่ว่าจะฝ่ายตรงกันข้ามหรือฝ่ายเดียวกัน
ก็มักจะวิ่งเอามือกุมหัวแบบหนีตายจากวงทันที
อัตราการการฟาดโดนลูกตะกร้อผม 50 ต่อ 50 %
ไม่ว่าว ก็โดน....ว่างั้นเหอะ
ถึงจะโดน ลูกก็มักไปแบบไร้ทิศทาง แต่หนักหน่วง
ส่วนมาก...จะโดนข้างเดียวกันเสียมากกว่า
หลายครั้งที่เพื่อนๆ ในวง ขอร้องให้ผมเลิกฟาดเถอะ
เพราะไปโดนเครื่อง C-130 ที่จอดรอซ่อมอยู่ในโรงเก็บด้วย
วันนี้ก็เช่นกัน กว่าจะเลิกเล่นได้
เจ้า C-130 หมายเลข 60104 ก็โดนผมฟาดใส่ไปหลายดอก
ขึ้นเหยียบหน้าเน็ต ก็งานถนัดของผมด้วยนะ
มีแลบบ้าง เลยเน็ตไปเหยียบหัวกะบาลฝ่ายตรงข้าม ก็บ่อย
จ่ารุ่นพี่คนหนึ่ง
คงเห็นแววและหน่วยก้านในการขึ้นเหยียบลูกตะกร้อของผม
จะให้ตังค์ผมร้อยนึง ถ้าผมเหยียบขึ้นไปโดนใบพัดเครื่องบินได้
จะรอไรเล่าครับ ผมเทคตัวขึ้นโชว์ทันที
ไม่ถึงแฮะ...!!
ก็น่าจะไม่ถึงอยู่หรอกนะ...
จากพื้นถึงปลายกลีบใบพัดเจ้า C-130 เนี่ย
ก็สูงร่วมๆ เกือบ 175 ซม. เชียว
"
ขอลองใหม่อีกที..."
วิญญาณบรูซ ลีคงเข้าสิงร่าง
ไอ้คุณพี่ ก็ดันพยักหน้ารับ
ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มที่ กลั้นไว้ แล้วสปริงตัวขึ้นจนตัวลอย
ปลายเท้าผมแตะถึงปลายกลีบใบพัดจนได้
เย้...
เรื่องก็น่าจะจบลงตรงที่...
ผมยืนอยู่บนแท่นรับรางวัล
มีช่างภาพรุมกันถ่ายรูป ยิงแฟลชใส่เป็นระยะ
มีช่อดอกไม้เล็กๆ จากสาวสวยนำมามอบให้
ส่วนตัวผมเอง ก็แสร้งทำดราม่าซะนิดหน่อย
ยิ้มปนทั้งน้ำตา สะอื้นฮักๆ ปาดน้ำตาปรอยๆ
แล้วจ่ารุ่นพี่คนนั้น ก็นำเงินมามอบให้...
แต่มันไม่ใช่แบบนั้น สิ...พวก
ตัดภาพมาทางความเป็นจริงที่เกิดขึ้นดีกั่ว
พอปลายเท้าผมแตะถึงปลายกลีบใบพัด
ใบพัดมันไม่ได้ปลิวไปเหมือนลูกตะกร้อหรอก...นิ
มันตรึงแข็งอยู่อย่างนั้น ก็ใบพัดเครื่องบินลำเลียงนี่คร้าบ
ไอ้ที่ปลิวจริงๆ น่ะ...ก็คือตัวผมเอง
ปลิวม้วนเลยด้วยนะ หงายหลังตกลงมาที่พื้นดังแอ้ก
หัวฟาดพื้นนิดหน่อย นอนจุกอยู่ตรงนั้นหลายนาที
"
เครื่องเค้ามีแม่ย่านางนะ เล่นอะไรกัน ไม่รู้เรื่อง !! "
ไม่รู้เสียงใครตะโกนมา ผมมัวจุก ม้วนเป็นตัวนิ่มอยู่
บ่ายโมง ถึงเวลาทำงานกัน...
ผมได้รับมอบหมายให้ตรวจตามระยะเวลาเครื่องยนต์ที่ 3
ตัวเครื่องยนต์ของ C-130 เนี่ย อยู่ที่ปีกเครื่องบินนะครับ
สูงเอาการอยู่...จากพื้นก็ร่วม 3 เมตรกว่า
ผมเข็นนั่งร้าน (Working Stand) เข้ามาประกบ
ก็ทำงานตามใบสั่งงาน (Job Card) ไปงกๆ อยู่บนนั้น
เจ้าสแตนด์ที่ผมยืนทำงานอยู่เนี่ย
เค้าก็จะมีราวเหล็กกั้นไว้กันตก
ผมเอาตัวพาดกับราวสแตนด์ที่ว่านี้ มุดเอี้ยวตัวเข้าไป
ตรวจดูช่องดูดอากาศทางเข้าเครื่องยนต์ (Air Intake Duct)
ข้างในนั้นมืดนัก ก็เอาไฟฉายส่องดู
มีอุปกรณ์ใดที่ชำรุดเสียหายบ้างไหม หรือปรกติดีอยู่
เสียงเครื่องทำไฟดังให้กระหึ่มในโรงเก็บ
ตั้งแต่ช่วงเอวผมลงมา พาดอยู่บนราวสแตนด์
ส่วนช่วงกระบังลมขึ้นไปยันหัว มุดอยู่ในช่องดูดอากาศ
เหนือราวสแตนด์ขึ้นไปอีกจากร่างผม
คือใบพัดกลีบหนึ่งอย่างใหญ่ของเครื่องบิน
ที่ทอดขนานไปกันกับราวสแตนด์นี้
กำลังเพลินๆ อยู่ในช่องนั้น ตรวจนู่น ดูนี่
ก็ชักเริ่มรู้สึกอะไรแปลกๆ
มีอะไรมาดุนหลังเราเล่นๆ หว่า
ใบพัดกลีบนั้นกำลังเริ่มปรับมุม โดยที่ผมไม่รู้ตัว
กลีบใบพัดของเครื่องบินเนี่ย เค้าปรับมุมได้ด้วยนะ
ใช้ระบบไฮดรอลิคส์สั่งการด้วยไฟฟ้าในการปรับมุม
ต่อหนึ่งเครื่องยนต์นี่ ก็จะมีใบพัดแยกออกมาเป็น 4 กลีบ
เหมือนพัดลมที่เราใช้กันอยู่นั่นแหละ ที่ก็จะมี 3 - 4 กลีบบ้าง
จะแตกต่างกันก็ตรงที่ เรามักจะเรียกว่า ใบพัดลม
แล้วก็ใบพัดลมเหล่านั้นตรึงอยู่กับที่ใช่ป่ะ ปรับมุมไม่ได้
อยากให้ลมแรงๆ ก็กดเอา เบอร์ 1 2 3
ความเร็วมอเตอร์ก็จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ใบพัดก็หมุนตักลมมากน้อยก็แล้วแต่ตามลำดับเบอร์
แต่ของเครื่องบินแล้ว เค้าเรียกว่า กลีบใบพัด
แล้วก็ปรับมุมกลีบได้เสียด้วยสิ
ในส่วนตัวเครื่องยนต์เองแล้ว ก็จะมีความเร็วรอบที่คงที่
ถ้าอยากจะให้มีแรงขับเยอะๆ แรงลมมากๆ ก็ปรับมุมใบพัดให้กินลมมากๆ
หรืออยากจะให้เกิดแรงขับน้อยๆ แรงลมน้อยๆ ก็ปรับมุมกลีบใบพัดลง
ไม่อยากจะให้เกิดแรงขับเลย ก็ปรับมุมกลีบใบพัดให้ลู่ลม
การปรับมุมใบพัดนั้น ก็ใช้คันบังคับเลื่อนเอา
ไม่มีมากดเป็นเบอร์ 1 2 3 อย่างพัดลมหรอก
เข้าเรื่องต่อ...
จากกลีบใบพัดที่ลู่ลมอยู่แต่เดิม ขณะนี้มันกำลังเปลี่ยนเป็นกินลม
ไอ้กินลมอย่างเดียวน่ะไม่ว่าหรอกนะ แต่นี่...
มันกำลังจะรับประทานสันหลังผมด้วย !!
ข้างบนลำตัวผม ก็กลีบใบพัด ใบอย่างเป้ง
ใต้ลำตัวผม ก็ราวสแตนด์ ราวออกเขื่อง
ผมพยายามกระเถิบตัวออกมาจากช่องดูดอากาศ
แต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ผมถอยออกมาไม่ได้
ใบพัดมันอัดลำตัวผมเข้ากับราวสแตนด์อยู่
ค่อยๆ เปลี่ยนมุมไปทีละนิด ก็อัดลำตัวผมไปทีละหน่อย
อะจ๊าก !! นี่ผมกำลังจะกลายเป็นกล้วยปิ้งสินะ
หรือว่า ปลาหมึกบด ดี....
ร่างผมคาเด่อยู่กับราวสแตนด์และใบพัด
ช่วงหัวก็มุดอยู่ในท่อทางอากาศเข้าเครื่องยนต์
ใบพัดยังคงเปลี่ยนมุมไปเรื่อยๆ คงยังไม่สุดดี
มันก็หนีบ บีบร่างผมเข้ากับราวสแตนด์เข้าไปอีก
จะแหกปากร้องให้คนช่วย ก็ร้องไม่ออก
เพราะใบพัดกับราวสแตนด์มันอัดลำตัวอยู่
ดิ้นด๊อกๆ แด๊กๆ คาราวสแตนด์อยู่อย่างนั้น
ขาเริ่มลอย เพื่อจะทำตัวให้ลีบที่สุด เผื่อจะหลุด
กลีบใบพัดก็ยังปรับมุมต่อไปอีก
จะกินลมไปถึงไหน จะตายอยู่แล้ว...
หายใจไม่ออก รู้เลยว่า ความตายกำลังมาเยือน
หน้าพ่อ หน้าแม่...เริ่มลอยมาให้เห็น
พระสงฆ์องคเจ้าที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ผมนิมนต์ให้มาช่วยผมหมด
ใบพัดกดทับร่างผมเข้ากับราวสแตนด์
จนตัวสแตนด์ถึงกับเริ่มยุบ...
มโนสำนึกท้ายสุด
ผมนึกถึงหน้าและหุ่นของแอน อังคณา ทิมดี
นางแบบสาว สวย เซ็กซี่ สุดฮ้อตในยุคนั้น
ไหนๆ ก็จะจากโลกนี้ไปแล้วนี่...เนอะ
ให้นึกถึงแต่สิ่งดีๆ ที่ชอบๆ เข้าไว้ พระท่านว่า
"
เฮ้ย ๆ ๆ หยุดก่อน...กลับมุมใบพัด ๆ ด่วนๆ "
เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของใครก็ไม่รู้
เข้ามารบกวนในมโนสำนึกสุดท้ายผม
ภาพแอน อังคณา ทิมดี พลันหายไป
เหลือไว้ ซึ่งแต่ความว่างเปล่า
กลีบใบพัดคืนมุมไปแล้ว
ร่างผมไหล รูด ลงมากองอยู่บนพื้นสแตนด์
ในห้องพยาบาลประจำกองบิน
พยาบาลเลิกชายเสื้อผมออกดู
รอยปื้นสีแดงทอดเป็นทางยาวเชียว
ผมอธิบาย "
นั่น รอยราวสแตนด์ครับ "
จับผมหันกลับหลังบ้าง ก็ปรากฏรอยห้อเลือดอีก
เป็นทางยาวเช่นเดียวกัน พาดผ่านแผ่นหลัง
ผมอธิบายต่อ "
อันนี้ กลีบใบพัดครับ ล้วนๆ "
พยาบาลตรวจคร่าวๆ ไม่พบว่ามีกระดูกส่วนใดหัก
พอกลับมาที่ฝูงบิน ผู้บังคับหมวดจะเล่นงานจ่ารุ่นพี่ 2 คน
ข้อหากระทำการโดยประมาท เลินเล่อ ในขณะปฏิบัติงาน
แต่ทั้งสองคนนั้นต่างก็ยืนยันว่า ก่อนที่จะทำการปรับมุมใบพัดนั้น
คนหนึ่งที่อยู่ข้างนอกเครื่องบินได้ดูแล้ว ไม่มีผู้ใดอยู่บนสแตนด์
จึงให้สัญญาณว่าเคลียร์ไปยังอีกคนที่อยู่ในห้องนักบิน
ส่วนคนนี้ที่อยู่ในห้องนักบินและเป็นผู้กดสวิทช์ทดสอบระบบการปรับมุมใบพัดนั้น
ก็ยืนยันเช่นกันว่า เขาก็ได้แหงะดูซ้ำแล้วด้วย ก็ไม่เห็นว่ามีผู้ใด !!
มีการจำลองเหตุการณ์ขึ้นมา เพื่อจะทำเป็นกรณีศึกษา
บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดขึ้นไปบนสแตนด์
ผมมองดูกลีบใบพัดอย่างป๊อดๆ
พลันก็แลเห็นสิ่งหนึ่งที่ปลายกลีบใบพัดมรณะนี้เข้าให้
ผู้หมวดเอ่ยปากถามขึ้นมาก่อน
"
กลีบนี้สินะ ที่เล่นงานเธอ ? "
ผมถึงกับขนลุกซู่ อึกๆ อักๆ ใจสั่นรัวขึ้นมาทันที
ลายเส้นพื้นรองเท้าผมที่เปื้อนน้ำมันเครื่องตามพื้นโรงเก็บ
ดันโชว์ออกหราที่ปลายกลีบซะขนาดนั้น...
ค่อยๆ ตอบผู้หมวดไปอย่างกุกๆ กักๆ ว่า "
ช...ช่า...ช่าย ใช่ครับ "
"
ฉันไม่สงสัยเลย หึ หึ ..."
กล่าวเสร็จ ผู้หมวดก็สั่งยกเลิกกรณีศึกษานี้อย่างปัจจุบันทันด่วน
ทุกคนในโรงเก็บ ถูกสั่งให้มายืนเข้าแถวต่อหน้าผู้หมวด
"
ผมสามารถเข้าใจได้เลยว่า ทั้งสองคนนั้น ไม่ได้โกหกหรอก
ทุกคนรู้ไหม เครื่องบินทุกลำ ล้วนแต่มีแม่ย่านาง
ก็ลบหลู่ท่านซะ เสียอย่างนี้...สินะ
ทั้งฟาดลูกตะกร้อใส่ตัวเครื่อง ทั้งเหยียบปลายกลีบใบพัด
นี่ยังดีนะ ที่ท่านยังไม่เล่นเอาถึงกับ...ตาย
หากไม่เชื่อ ก็จงอย่าลบหลู่
จากนี้ ไป ห้ามเล่นตะกร้อในโรงเก็บอีก
ทุกคน...ทราบ "
เสียงจากคนในแถวตอบอย่างพร้อมเพรียงกันเลยทีเดียวว่า
"
ท ร า บ . . . "
เคยรู้สึกตัวเล็กและลีบลงอย่างทันทีทันใดบ้างไหม ?
นั่นแหละผม ในตอนนั้น...
แม่ย่านาง...
ผมคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่เชื่อ...จนกระทั่ง
วันหนึ่ง ราวๆ ปี พ.ศ. 2532...
ก็เป็นทหารช่างน่ะ มีหน้าที่ซ่อมเครื่องยนต์ของเครื่องบิน C-130
ประจำอยู่ที่โรงเก็บฝ่ายการช่าง ฝูงบิน 601 ดอนเมือง
กลัวความสูงตั้งแต่เด็ก ก็เลยไม่อยากไปเป็นนักบิน
แต่ใจก็รักเครื่องบินนะ ชอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว
หมดกะตังค์ไปกับชุดคิทโมเดลเครื่องบินของทามิย่าก็โขอยู่
ไม่ได้กิน ดมกลิ่นก็ยังดี...
ไม่เป็นนักบิน เป็นช่างเครื่องบินก็ยังได้...วุ้ย
ช่วงว่างๆ จากภารกิจในการซ่อมเครื่องบิน
ก็แบ่งข้างเล่นตะกร้อเน็ตกัน
ผมชอบยืนหน้าซ้ายนะ คอยเทคตัวขึ้นตีลังกาฟาด
ก็แค่เล่นกินน้ำขวดกันสนุกๆ น่ะ
แต่ละครั้งที่ผมเทคตัวขึ้นฟาดลูกหน้าเน็ตนะ
ทุกคน...ไม่ว่าจะฝ่ายตรงกันข้ามหรือฝ่ายเดียวกัน
ก็มักจะวิ่งเอามือกุมหัวแบบหนีตายจากวงทันที
อัตราการการฟาดโดนลูกตะกร้อผม 50 ต่อ 50 %
ไม่ว่าว ก็โดน....ว่างั้นเหอะ
ถึงจะโดน ลูกก็มักไปแบบไร้ทิศทาง แต่หนักหน่วง
ส่วนมาก...จะโดนข้างเดียวกันเสียมากกว่า
หลายครั้งที่เพื่อนๆ ในวง ขอร้องให้ผมเลิกฟาดเถอะ
เพราะไปโดนเครื่อง C-130 ที่จอดรอซ่อมอยู่ในโรงเก็บด้วย
วันนี้ก็เช่นกัน กว่าจะเลิกเล่นได้
เจ้า C-130 หมายเลข 60104 ก็โดนผมฟาดใส่ไปหลายดอก
ขึ้นเหยียบหน้าเน็ต ก็งานถนัดของผมด้วยนะ
มีแลบบ้าง เลยเน็ตไปเหยียบหัวกะบาลฝ่ายตรงข้าม ก็บ่อย
จ่ารุ่นพี่คนหนึ่ง
คงเห็นแววและหน่วยก้านในการขึ้นเหยียบลูกตะกร้อของผม
จะให้ตังค์ผมร้อยนึง ถ้าผมเหยียบขึ้นไปโดนใบพัดเครื่องบินได้
จะรอไรเล่าครับ ผมเทคตัวขึ้นโชว์ทันที
ไม่ถึงแฮะ...!!
ก็น่าจะไม่ถึงอยู่หรอกนะ...
จากพื้นถึงปลายกลีบใบพัดเจ้า C-130 เนี่ย
ก็สูงร่วมๆ เกือบ 175 ซม. เชียว
" ขอลองใหม่อีกที..."
วิญญาณบรูซ ลีคงเข้าสิงร่าง
ไอ้คุณพี่ ก็ดันพยักหน้ารับ
ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มที่ กลั้นไว้ แล้วสปริงตัวขึ้นจนตัวลอย
ปลายเท้าผมแตะถึงปลายกลีบใบพัดจนได้ เย้...
เรื่องก็น่าจะจบลงตรงที่...
ผมยืนอยู่บนแท่นรับรางวัล
มีช่างภาพรุมกันถ่ายรูป ยิงแฟลชใส่เป็นระยะ
มีช่อดอกไม้เล็กๆ จากสาวสวยนำมามอบให้
ส่วนตัวผมเอง ก็แสร้งทำดราม่าซะนิดหน่อย
ยิ้มปนทั้งน้ำตา สะอื้นฮักๆ ปาดน้ำตาปรอยๆ
แล้วจ่ารุ่นพี่คนนั้น ก็นำเงินมามอบให้...
แต่มันไม่ใช่แบบนั้น สิ...พวก
ตัดภาพมาทางความเป็นจริงที่เกิดขึ้นดีกั่ว
พอปลายเท้าผมแตะถึงปลายกลีบใบพัด
ใบพัดมันไม่ได้ปลิวไปเหมือนลูกตะกร้อหรอก...นิ
มันตรึงแข็งอยู่อย่างนั้น ก็ใบพัดเครื่องบินลำเลียงนี่คร้าบ
ไอ้ที่ปลิวจริงๆ น่ะ...ก็คือตัวผมเอง
ปลิวม้วนเลยด้วยนะ หงายหลังตกลงมาที่พื้นดังแอ้ก
หัวฟาดพื้นนิดหน่อย นอนจุกอยู่ตรงนั้นหลายนาที
" เครื่องเค้ามีแม่ย่านางนะ เล่นอะไรกัน ไม่รู้เรื่อง !! "
ไม่รู้เสียงใครตะโกนมา ผมมัวจุก ม้วนเป็นตัวนิ่มอยู่
บ่ายโมง ถึงเวลาทำงานกัน...
ผมได้รับมอบหมายให้ตรวจตามระยะเวลาเครื่องยนต์ที่ 3
ตัวเครื่องยนต์ของ C-130 เนี่ย อยู่ที่ปีกเครื่องบินนะครับ
สูงเอาการอยู่...จากพื้นก็ร่วม 3 เมตรกว่า
ผมเข็นนั่งร้าน (Working Stand) เข้ามาประกบ
ก็ทำงานตามใบสั่งงาน (Job Card) ไปงกๆ อยู่บนนั้น
เจ้าสแตนด์ที่ผมยืนทำงานอยู่เนี่ย
เค้าก็จะมีราวเหล็กกั้นไว้กันตก
ผมเอาตัวพาดกับราวสแตนด์ที่ว่านี้ มุดเอี้ยวตัวเข้าไป
ตรวจดูช่องดูดอากาศทางเข้าเครื่องยนต์ (Air Intake Duct)
ข้างในนั้นมืดนัก ก็เอาไฟฉายส่องดู
มีอุปกรณ์ใดที่ชำรุดเสียหายบ้างไหม หรือปรกติดีอยู่
เสียงเครื่องทำไฟดังให้กระหึ่มในโรงเก็บ
ตั้งแต่ช่วงเอวผมลงมา พาดอยู่บนราวสแตนด์
ส่วนช่วงกระบังลมขึ้นไปยันหัว มุดอยู่ในช่องดูดอากาศ
เหนือราวสแตนด์ขึ้นไปอีกจากร่างผม
คือใบพัดกลีบหนึ่งอย่างใหญ่ของเครื่องบิน
ที่ทอดขนานไปกันกับราวสแตนด์นี้
กำลังเพลินๆ อยู่ในช่องนั้น ตรวจนู่น ดูนี่
ก็ชักเริ่มรู้สึกอะไรแปลกๆ
มีอะไรมาดุนหลังเราเล่นๆ หว่า
ใบพัดกลีบนั้นกำลังเริ่มปรับมุม โดยที่ผมไม่รู้ตัว
กลีบใบพัดของเครื่องบินเนี่ย เค้าปรับมุมได้ด้วยนะ
ใช้ระบบไฮดรอลิคส์สั่งการด้วยไฟฟ้าในการปรับมุม
ต่อหนึ่งเครื่องยนต์นี่ ก็จะมีใบพัดแยกออกมาเป็น 4 กลีบ
เหมือนพัดลมที่เราใช้กันอยู่นั่นแหละ ที่ก็จะมี 3 - 4 กลีบบ้าง
จะแตกต่างกันก็ตรงที่ เรามักจะเรียกว่า ใบพัดลม
แล้วก็ใบพัดลมเหล่านั้นตรึงอยู่กับที่ใช่ป่ะ ปรับมุมไม่ได้
อยากให้ลมแรงๆ ก็กดเอา เบอร์ 1 2 3
ความเร็วมอเตอร์ก็จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ใบพัดก็หมุนตักลมมากน้อยก็แล้วแต่ตามลำดับเบอร์
แต่ของเครื่องบินแล้ว เค้าเรียกว่า กลีบใบพัด
แล้วก็ปรับมุมกลีบได้เสียด้วยสิ
ในส่วนตัวเครื่องยนต์เองแล้ว ก็จะมีความเร็วรอบที่คงที่
ถ้าอยากจะให้มีแรงขับเยอะๆ แรงลมมากๆ ก็ปรับมุมใบพัดให้กินลมมากๆ
หรืออยากจะให้เกิดแรงขับน้อยๆ แรงลมน้อยๆ ก็ปรับมุมกลีบใบพัดลง
ไม่อยากจะให้เกิดแรงขับเลย ก็ปรับมุมกลีบใบพัดให้ลู่ลม
การปรับมุมใบพัดนั้น ก็ใช้คันบังคับเลื่อนเอา
ไม่มีมากดเป็นเบอร์ 1 2 3 อย่างพัดลมหรอก
เข้าเรื่องต่อ...
จากกลีบใบพัดที่ลู่ลมอยู่แต่เดิม ขณะนี้มันกำลังเปลี่ยนเป็นกินลม
ไอ้กินลมอย่างเดียวน่ะไม่ว่าหรอกนะ แต่นี่...
มันกำลังจะรับประทานสันหลังผมด้วย !!
ข้างบนลำตัวผม ก็กลีบใบพัด ใบอย่างเป้ง
ใต้ลำตัวผม ก็ราวสแตนด์ ราวออกเขื่อง
ผมพยายามกระเถิบตัวออกมาจากช่องดูดอากาศ
แต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ผมถอยออกมาไม่ได้
ใบพัดมันอัดลำตัวผมเข้ากับราวสแตนด์อยู่
ค่อยๆ เปลี่ยนมุมไปทีละนิด ก็อัดลำตัวผมไปทีละหน่อย
อะจ๊าก !! นี่ผมกำลังจะกลายเป็นกล้วยปิ้งสินะ
หรือว่า ปลาหมึกบด ดี....
ร่างผมคาเด่อยู่กับราวสแตนด์และใบพัด
ช่วงหัวก็มุดอยู่ในท่อทางอากาศเข้าเครื่องยนต์
ใบพัดยังคงเปลี่ยนมุมไปเรื่อยๆ คงยังไม่สุดดี
มันก็หนีบ บีบร่างผมเข้ากับราวสแตนด์เข้าไปอีก
จะแหกปากร้องให้คนช่วย ก็ร้องไม่ออก
เพราะใบพัดกับราวสแตนด์มันอัดลำตัวอยู่
ดิ้นด๊อกๆ แด๊กๆ คาราวสแตนด์อยู่อย่างนั้น
ขาเริ่มลอย เพื่อจะทำตัวให้ลีบที่สุด เผื่อจะหลุด
กลีบใบพัดก็ยังปรับมุมต่อไปอีก
จะกินลมไปถึงไหน จะตายอยู่แล้ว...
หายใจไม่ออก รู้เลยว่า ความตายกำลังมาเยือน
หน้าพ่อ หน้าแม่...เริ่มลอยมาให้เห็น
พระสงฆ์องคเจ้าที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ผมนิมนต์ให้มาช่วยผมหมด
ใบพัดกดทับร่างผมเข้ากับราวสแตนด์
จนตัวสแตนด์ถึงกับเริ่มยุบ...
มโนสำนึกท้ายสุด
ผมนึกถึงหน้าและหุ่นของแอน อังคณา ทิมดี
นางแบบสาว สวย เซ็กซี่ สุดฮ้อตในยุคนั้น
ไหนๆ ก็จะจากโลกนี้ไปแล้วนี่...เนอะ
ให้นึกถึงแต่สิ่งดีๆ ที่ชอบๆ เข้าไว้ พระท่านว่า
"เฮ้ย ๆ ๆ หยุดก่อน...กลับมุมใบพัด ๆ ด่วนๆ "
เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของใครก็ไม่รู้
เข้ามารบกวนในมโนสำนึกสุดท้ายผม
ภาพแอน อังคณา ทิมดี พลันหายไป
เหลือไว้ ซึ่งแต่ความว่างเปล่า
กลีบใบพัดคืนมุมไปแล้ว
ร่างผมไหล รูด ลงมากองอยู่บนพื้นสแตนด์
ในห้องพยาบาลประจำกองบิน
พยาบาลเลิกชายเสื้อผมออกดู
รอยปื้นสีแดงทอดเป็นทางยาวเชียว
ผมอธิบาย "นั่น รอยราวสแตนด์ครับ "
จับผมหันกลับหลังบ้าง ก็ปรากฏรอยห้อเลือดอีก
เป็นทางยาวเช่นเดียวกัน พาดผ่านแผ่นหลัง
ผมอธิบายต่อ "อันนี้ กลีบใบพัดครับ ล้วนๆ "
พยาบาลตรวจคร่าวๆ ไม่พบว่ามีกระดูกส่วนใดหัก
พอกลับมาที่ฝูงบิน ผู้บังคับหมวดจะเล่นงานจ่ารุ่นพี่ 2 คน
ข้อหากระทำการโดยประมาท เลินเล่อ ในขณะปฏิบัติงาน
แต่ทั้งสองคนนั้นต่างก็ยืนยันว่า ก่อนที่จะทำการปรับมุมใบพัดนั้น
คนหนึ่งที่อยู่ข้างนอกเครื่องบินได้ดูแล้ว ไม่มีผู้ใดอยู่บนสแตนด์
จึงให้สัญญาณว่าเคลียร์ไปยังอีกคนที่อยู่ในห้องนักบิน
ส่วนคนนี้ที่อยู่ในห้องนักบินและเป็นผู้กดสวิทช์ทดสอบระบบการปรับมุมใบพัดนั้น
ก็ยืนยันเช่นกันว่า เขาก็ได้แหงะดูซ้ำแล้วด้วย ก็ไม่เห็นว่ามีผู้ใด !!
มีการจำลองเหตุการณ์ขึ้นมา เพื่อจะทำเป็นกรณีศึกษา
บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดขึ้นไปบนสแตนด์
ผมมองดูกลีบใบพัดอย่างป๊อดๆ
พลันก็แลเห็นสิ่งหนึ่งที่ปลายกลีบใบพัดมรณะนี้เข้าให้
ผู้หมวดเอ่ยปากถามขึ้นมาก่อน
" กลีบนี้สินะ ที่เล่นงานเธอ ? "
ผมถึงกับขนลุกซู่ อึกๆ อักๆ ใจสั่นรัวขึ้นมาทันที
ลายเส้นพื้นรองเท้าผมที่เปื้อนน้ำมันเครื่องตามพื้นโรงเก็บ
ดันโชว์ออกหราที่ปลายกลีบซะขนาดนั้น...
ค่อยๆ ตอบผู้หมวดไปอย่างกุกๆ กักๆ ว่า "ช...ช่า...ช่าย ใช่ครับ "
"ฉันไม่สงสัยเลย หึ หึ ..."
กล่าวเสร็จ ผู้หมวดก็สั่งยกเลิกกรณีศึกษานี้อย่างปัจจุบันทันด่วน
ทุกคนในโรงเก็บ ถูกสั่งให้มายืนเข้าแถวต่อหน้าผู้หมวด
"ผมสามารถเข้าใจได้เลยว่า ทั้งสองคนนั้น ไม่ได้โกหกหรอก
ทุกคนรู้ไหม เครื่องบินทุกลำ ล้วนแต่มีแม่ย่านาง
ก็ลบหลู่ท่านซะ เสียอย่างนี้...สินะ
ทั้งฟาดลูกตะกร้อใส่ตัวเครื่อง ทั้งเหยียบปลายกลีบใบพัด
นี่ยังดีนะ ที่ท่านยังไม่เล่นเอาถึงกับ...ตาย
หากไม่เชื่อ ก็จงอย่าลบหลู่
จากนี้ ไป ห้ามเล่นตะกร้อในโรงเก็บอีก
ทุกคน...ทราบ "
เสียงจากคนในแถวตอบอย่างพร้อมเพรียงกันเลยทีเดียวว่า
" ท ร า บ . . . "
เคยรู้สึกตัวเล็กและลีบลงอย่างทันทีทันใดบ้างไหม ?
นั่นแหละผม ในตอนนั้น...