ผมเห็นหลายคนมีแนวคิดว่า อยากให้ไทย "ไม่เน้น" บอลซูซูกิคัพ (คือไม่ต้องปิดลีค ส่งชุด B ไป เตรียมทีมน้อยๆ ฯลฯ) เพราะมองว่าการทำแบบนี้คือมืออาชีพ ไม่ได้แชมป์ก็ไม่เป็นไร อยากให้มองการพัฒนามากกว่า
พร้อมกับยกตัวอย่างญี่ปุ่น เกาหลี ที่เขาไม่เน้นในถ้วย EAFF (ชิงแชมป์เอเชียตะวันออก) เน้นแต่บอลโลกกับเอเชียนคัพ
ตามความเห็นของผม ผมว่าแนวคิดแบบนี้มีปัญหาอย่างน้อย 3 ข้อ ได้แก่
.
1. เป็นการเปรียบเทียบแบบ apples to oranges (ผิดบริบท / ผิดฝาผิดตัว)
การตั้งเป้าหมายสูงๆ จะเทียบกับระดับเอเชียเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่านั่นคือเป้าหมายระยะยาว ในความเป็นจริงมันยังไม่เกิดขึ้นใน 10 ปีข้างหน้าแน่ๆ
ดังนั้นการเอาไทยในปัจจุบันมาเทียบกับญี่ปุ่น ถือเป็นการเปรียบเทียบแบบ apples to oranges (ผิดบริบท / ผิดฝาผิดตัว)
การเปรียบเทียบที่ถูกบริบทกว่าคือ
- ญี่ปุ่นเตะบอลโลก เทียบกับไทยเตะเอเชียนคัพ (โดยเฉลี่ยคือต้องลุ้นว่าจะได้ไปมั้ยก่อน แล้วถ้าเข้าถึงรอบน็อคเอาท์ได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว เรื่องแชมป์นี่ไม่ต้องหวังเลย)
- ญี่ปุ่นเตะเอเชียนคัพ เทียบกับไทยเตะซูซูกิคัพ (โดยเฉลี่ยคือมีลุ้นแชมป์ทุกปี)
***นอกเรื่องนิด ไม่ใช่แค่ฟุตบอลนะ แต่กีฬาทั่วไปก็ด้วย ก่อนหน้านี้ผมเคยเปรียบเทียบไว้ว่า ญี่ปุ่นแข่งโอลิมปิกเทียบได้กับไทยแข่งเอเชียนเกมส์ (ลุ้นอันดับประมาณ 5-10) ส่วนญี่ปุ่นแข่งเอเชียนเกมส์เทียบได้กับไทยแข่งซีเกมส์ (การันตี Top 3 ทุกครั้ง) คือถ้าจะเทียบไทยกับญี่ปุ่นจะต้องลดมา 1 ระดับเสมอ จากโลกมาเอเชีย จากเอเชียมาภูมิภาค ถึงจะเปรียบเทียบได้ถูกบริบท***
ถ้าไทยจะไม่เน้นซูซูกิคัพ เทียบแล้วก็เหมือนกับญี่ปุ่นบอกว่าจะเน้นแต่บอลโลก ไม่เน้นเอเชียนคัพแล้วน่ะแหละครับ
ผลลัพธ์ที่จะตามมาคือ เราจะแทบไม่มีโอกาสได้ trophy มาประดับตู้รางวัลเลย ความสำเร็จสูงสุดของเราจะคือการเข้ารอบ 8 ทีม 16 ทีม ซึ่งมันก็น่าภูมิใจนะ แต่มันไม่มีถ้วยไง!!
ผมว่าสำหรับนักฟุตบอล เขาก็คงต้องการ trophy มาเป็นเกียรติประวัติเหมือนกันแหละ เพื่อเป็นกำลังใจในการเล่น
ไม่งั้นคงจะเหมือนสเปอร์ตอนนี้ ที่โดนทีมอื่นทำมีมล้อ (ขออภัยแฟนสเปอร์นะครับ แค่ยกตัวอย่างเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรส่วนตัว) ที่จริงเรื่องโดนล้อน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ปัญหาที่คนพูดถึงกันคือ นักเตะมักจะขาด mentality ของแชมเปี้ยน เพราะไม่เคยได้แชมป์นี่แหละ
.
2. เป็นการคิดแบบ all-or-none (ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง) มากเกินไป
ตรรกะของหลายคนเหมือนกับจะบอกว่า เราเลือกได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่งนะ ถ้าเราจัดเต็มซูซูกิคัพ จะทำให้ลีกล่มจม ไม่พัฒนา
ผมว่า cost มันไม่ได้สูงขนาดนั้นนะ เราสามารถเลือกเอาทั้งสองอย่างได้ เช่น มี 2 แนวทางคือ
ก) ปิดลีก
ถ้าต้องปิดลีกจริงๆ มันก็แค่ไม่กี่สัปดาห์เอง ผมว่าถ้าวางแผนล่วงหน้าดีๆ สามารถจัดโปรแกรมลีกให้เอื้ออำนวยได้ไม่ยากหรอก
คิดซะว่าเป็นพักเบรกฤดูหนาวก็ได้ ขนาดลีกฝรั่งเศส เยอรมัน เขายังมีเบรกฤดูหนาว 3-4 อาทิตย์ได้เลย
**ทั้งนี้คือเราต้องปิดลีกแค่เพื่อซูซูกิคัพรายการเดียวนะ ซึ่งเป็นรายการชุดใหญ่ ส่วนพวกรายการชุดเด็กอย่างเอเชียนเกมส์ ซีเกมส์ อันนี้ผมเห็นด้วยว่าไม่ควรปิดลีกอยู่แล้ว**
ข) ไม่ปิดลีก แต่บังคับให้สโมสรปล่อยตัวนักเตะ
ถ้าเวลาไม่พอจริงๆ ก็อาจจะเลือกทางนี้ได้ สโมสรอาจมีไม่พอใจบ้าง เหมือนที่พรีเมียร์ลีกต้องปล่อยตัวนักเตะแอฟริกันมา AFCON แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแหละ ทั้งนี้อาจมีการทำข้อตกลงกันว่าจะเรียกตัวสโมสรละไม่เกิน x คน เพื่อไม่ให้บางทีมเสียเปรียบมากเกินไป
ส่วนถ้าถามว่าจะใช้อำนาจอะไรบังคับให้สโมสรปล่อยตัว?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ก็ใส่ไว้ในกฎไทยลีกเลยสิครับ สโมสรไหนจะเข้าร่วมการแข่งขันไทยลีกก็ต้องเซ็นยอมรับกฎก่อนอยู่แล้ว
ก็เหมือนพวกกฎที่ว่า ส่งตัวต่างชาติได้ x คน อาเซียนได้ y คน ฯลฯ กฎพวกนี้แต่ละประเทศก็กำหนดเองทั้งนั้น ไม่ใช่กฎกลางของฟีฟ่า
.
3. เป็นการหยิบเอาวิธีการมาแค่ด้านเดียว แล้วคิดเอาเองว่านั่นคือมืออาชีพแล้ว
ความเห็นผมคือ การที่บอลไทยจะพัฒนา มันมีปัจจัยเยอะมากเป็นสิบๆ อย่าง คือเราต้องพัฒนาในภาพรวมทั้งหมด ทั้งระบบอคาเดมี่ ระบบลีกเยาวชน ความเข้มข้นของการฝึกซ้อม โภชนาการ ฯลฯ ซึ่งก็เข้าใจได้ว่านี่คือแผนในระยะยาว ที่ต้องค่อยๆ พัฒนาไปทีละนิด
แต่ปัญหาคือ บางคนมักจะหยิบเอาแค่ด้านเดียวของญี่ปุ่น (คือการส่งชุด B การเก็บตัวน้อยๆ) มาเลียนแบบ
ทั้งหมดทันที แล้วก็คิดเอาเองว่านี่คือมืออาชีพแล้ว ทั้งที่ในภาพรวมของไทยยังห่างไกลจากคำว่ามืออาชีพมาก
ถ้าในด้านอื่นๆ เรายังไม่พัฒนา ลำพังแค่การส่งชุด B การเก็บตัวน้อยๆ มันก็ไม่ได้ช่วยให้ฟุตบอลไทยพัฒนาขึ้นมาได้ในทันทีหรอกครับ
ปัญหา 3 ข้อ ของแนวคิดที่อยากให้ไทย "ไม่เน้น" บอลซูซูกิคัพ
พร้อมกับยกตัวอย่างญี่ปุ่น เกาหลี ที่เขาไม่เน้นในถ้วย EAFF (ชิงแชมป์เอเชียตะวันออก) เน้นแต่บอลโลกกับเอเชียนคัพ
ตามความเห็นของผม ผมว่าแนวคิดแบบนี้มีปัญหาอย่างน้อย 3 ข้อ ได้แก่
.
1. เป็นการเปรียบเทียบแบบ apples to oranges (ผิดบริบท / ผิดฝาผิดตัว)
การตั้งเป้าหมายสูงๆ จะเทียบกับระดับเอเชียเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่านั่นคือเป้าหมายระยะยาว ในความเป็นจริงมันยังไม่เกิดขึ้นใน 10 ปีข้างหน้าแน่ๆ
ดังนั้นการเอาไทยในปัจจุบันมาเทียบกับญี่ปุ่น ถือเป็นการเปรียบเทียบแบบ apples to oranges (ผิดบริบท / ผิดฝาผิดตัว)
การเปรียบเทียบที่ถูกบริบทกว่าคือ
- ญี่ปุ่นเตะบอลโลก เทียบกับไทยเตะเอเชียนคัพ (โดยเฉลี่ยคือต้องลุ้นว่าจะได้ไปมั้ยก่อน แล้วถ้าเข้าถึงรอบน็อคเอาท์ได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว เรื่องแชมป์นี่ไม่ต้องหวังเลย)
- ญี่ปุ่นเตะเอเชียนคัพ เทียบกับไทยเตะซูซูกิคัพ (โดยเฉลี่ยคือมีลุ้นแชมป์ทุกปี)
***นอกเรื่องนิด ไม่ใช่แค่ฟุตบอลนะ แต่กีฬาทั่วไปก็ด้วย ก่อนหน้านี้ผมเคยเปรียบเทียบไว้ว่า ญี่ปุ่นแข่งโอลิมปิกเทียบได้กับไทยแข่งเอเชียนเกมส์ (ลุ้นอันดับประมาณ 5-10) ส่วนญี่ปุ่นแข่งเอเชียนเกมส์เทียบได้กับไทยแข่งซีเกมส์ (การันตี Top 3 ทุกครั้ง) คือถ้าจะเทียบไทยกับญี่ปุ่นจะต้องลดมา 1 ระดับเสมอ จากโลกมาเอเชีย จากเอเชียมาภูมิภาค ถึงจะเปรียบเทียบได้ถูกบริบท***
ถ้าไทยจะไม่เน้นซูซูกิคัพ เทียบแล้วก็เหมือนกับญี่ปุ่นบอกว่าจะเน้นแต่บอลโลก ไม่เน้นเอเชียนคัพแล้วน่ะแหละครับ
ผลลัพธ์ที่จะตามมาคือ เราจะแทบไม่มีโอกาสได้ trophy มาประดับตู้รางวัลเลย ความสำเร็จสูงสุดของเราจะคือการเข้ารอบ 8 ทีม 16 ทีม ซึ่งมันก็น่าภูมิใจนะ แต่มันไม่มีถ้วยไง!!
ผมว่าสำหรับนักฟุตบอล เขาก็คงต้องการ trophy มาเป็นเกียรติประวัติเหมือนกันแหละ เพื่อเป็นกำลังใจในการเล่น
ไม่งั้นคงจะเหมือนสเปอร์ตอนนี้ ที่โดนทีมอื่นทำมีมล้อ (ขออภัยแฟนสเปอร์นะครับ แค่ยกตัวอย่างเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรส่วนตัว) ที่จริงเรื่องโดนล้อน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ปัญหาที่คนพูดถึงกันคือ นักเตะมักจะขาด mentality ของแชมเปี้ยน เพราะไม่เคยได้แชมป์นี่แหละ
.
2. เป็นการคิดแบบ all-or-none (ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง) มากเกินไป
ตรรกะของหลายคนเหมือนกับจะบอกว่า เราเลือกได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่งนะ ถ้าเราจัดเต็มซูซูกิคัพ จะทำให้ลีกล่มจม ไม่พัฒนา
ผมว่า cost มันไม่ได้สูงขนาดนั้นนะ เราสามารถเลือกเอาทั้งสองอย่างได้ เช่น มี 2 แนวทางคือ
ก) ปิดลีก
ถ้าต้องปิดลีกจริงๆ มันก็แค่ไม่กี่สัปดาห์เอง ผมว่าถ้าวางแผนล่วงหน้าดีๆ สามารถจัดโปรแกรมลีกให้เอื้ออำนวยได้ไม่ยากหรอก
คิดซะว่าเป็นพักเบรกฤดูหนาวก็ได้ ขนาดลีกฝรั่งเศส เยอรมัน เขายังมีเบรกฤดูหนาว 3-4 อาทิตย์ได้เลย
**ทั้งนี้คือเราต้องปิดลีกแค่เพื่อซูซูกิคัพรายการเดียวนะ ซึ่งเป็นรายการชุดใหญ่ ส่วนพวกรายการชุดเด็กอย่างเอเชียนเกมส์ ซีเกมส์ อันนี้ผมเห็นด้วยว่าไม่ควรปิดลีกอยู่แล้ว**
ข) ไม่ปิดลีก แต่บังคับให้สโมสรปล่อยตัวนักเตะ
ถ้าเวลาไม่พอจริงๆ ก็อาจจะเลือกทางนี้ได้ สโมสรอาจมีไม่พอใจบ้าง เหมือนที่พรีเมียร์ลีกต้องปล่อยตัวนักเตะแอฟริกันมา AFCON แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแหละ ทั้งนี้อาจมีการทำข้อตกลงกันว่าจะเรียกตัวสโมสรละไม่เกิน x คน เพื่อไม่ให้บางทีมเสียเปรียบมากเกินไป
ส่วนถ้าถามว่าจะใช้อำนาจอะไรบังคับให้สโมสรปล่อยตัว?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
.
3. เป็นการหยิบเอาวิธีการมาแค่ด้านเดียว แล้วคิดเอาเองว่านั่นคือมืออาชีพแล้ว
ความเห็นผมคือ การที่บอลไทยจะพัฒนา มันมีปัจจัยเยอะมากเป็นสิบๆ อย่าง คือเราต้องพัฒนาในภาพรวมทั้งหมด ทั้งระบบอคาเดมี่ ระบบลีกเยาวชน ความเข้มข้นของการฝึกซ้อม โภชนาการ ฯลฯ ซึ่งก็เข้าใจได้ว่านี่คือแผนในระยะยาว ที่ต้องค่อยๆ พัฒนาไปทีละนิด
แต่ปัญหาคือ บางคนมักจะหยิบเอาแค่ด้านเดียวของญี่ปุ่น (คือการส่งชุด B การเก็บตัวน้อยๆ) มาเลียนแบบทั้งหมดทันที แล้วก็คิดเอาเองว่านี่คือมืออาชีพแล้ว ทั้งที่ในภาพรวมของไทยยังห่างไกลจากคำว่ามืออาชีพมาก
ถ้าในด้านอื่นๆ เรายังไม่พัฒนา ลำพังแค่การส่งชุด B การเก็บตัวน้อยๆ มันก็ไม่ได้ช่วยให้ฟุตบอลไทยพัฒนาขึ้นมาได้ในทันทีหรอกครับ