ในปีพุทธศักราช 2564 การประกวดรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) เป็นการประกวดวรรณกรรมประเภทนวนิยาย มีหนังสือส่งเข้าประกวดทั้งหมด 60 เรื่อง จัดพิมพ์ครั้งแรกในปีนี้ถึง 34 เรื่อง และก่อนหน้านั้นอีก 26 เรื่อง นับเป็นความคึกคักของวงการหนังสือท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ยังคงวิกฤตต่อเนื่องจากปีที่แล้ว
หนังสือนวนิยายที่ส่งเข้าประกวดในปี 2564 นี้ สะท้อนถึงความสนใจของนักเขียนต่อเรื่องราวที่หลากหลาย ปรากฏการณ์เด่นชัดประการหนึ่งคือการแสดงสํานึกในความเป็่นเรื่องแต่งอย่างสลับซับซ้อน แสดงความตระหนักรู้ถึงอํานาจของผู้แต่งที่สอดแทรกในกระบวนการแต่งเรื่อง บางเรื่องสร้างตัวละครเป็นนักเขียน บางเรื่องวิพากษ์ความเป็นนักเขียนของตนเอง บางเรื่องนําเสนอเรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่า แต่ในด้านที่กลับกันความตระหนักรู้นั้นแสดงออกด้วยการหวนกลับมาเล่นกบกลวิธีการ "เล่าเรื่อง” อย่างแนบเนียน นวนิยายหลายเรื่องที่ดูเหมือนจะธรรมดาสามัญกลับซ่อนลีลาและกลวิธีการประพันธ์ที่ละเอียดประณีตไว้อยางแยบคาย
ปรากฏการณ์เด่นอีกประการหนึ่งคือการเขียนเกี่ยวกับความทรงจําและการบันทึกอดีต นวนิยายจํานวนมากเล่าถึงการรื้อฟื้นเรื่องราวที่หายไป ตั้งคําถามต่อการจํา การลืม กระทั่งถึงการไม่จํา หลายเรื่องบอกเล่าอดีตในฐานะประวัติศาสตร์ระดับชาติ ระดับสังคมไปจนถึงระดับปัจเจกบุคคล เพื่อเยียวยาค้นหาตัวตนผ่านการขุดลึกถึงรากแห่งอดีตด้วยการขับเน้นผัสสะและประสบการณ์ทางอารณ์ หรือเยียวยาบาดแผลที่ประวัติศาสตร์ฝากรอยไว้
ที่น่าสนใจคือการนําเสนอเรื่องราวในฉากต่างแดนรอบรั้วประเทศไทย ไม่เพียงสร้างการรับรู้สถานะ ของประเทศไทยในฐานะสวนหนึ่งของภูมิภาคและของโลก หากยังสร้างความคลุมเครือชวนฉงนระหวางความ่เป็นจริงทางประวัติศาสตร์ กับการเป็นเพียงแค่ฉากในไพรัชนิยายของนักเขียน
สุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือปรากฏการณ์การเขียนเรื่องชีวิต ครอบครัว ความรัก และนวนิยายแนววิจารณ์สังคมการเมือง ซึ่งได้รับความนิยมเสมอมาในเส้นทางการเติบโตของนวนิยายไทย
นวนิยายชีวิต ครอบครัว ความรักยังคงเสนอเรื่องราวอุปสรรคที่นําไปสู่ความผิดหวังและความสมหวัง ทว่าสิงที่เพิ่มมาคือการตกอยู่ในภาวะ ‘ระหว่างกลาง’ (in-betweenness) และการปรับศูนย์กลางในการเล่าเรื่อง จากมิติความเป็นชายเป็นหญิงไปสู่การนําเสนออารมณ์ความคิดความปรารถนาในมิติทางศาสนาและเพศวิถี
สุดท้ายคือนวนิยายแนวสังคมการเมืองซึ่งนําเสนอภาพและวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เห็นว่าเป็นปัญหา นวนิยายที่ส่งเข้าประกวดในปีนี้จับแง่มุมทางสังคมวัฒนธรรมมาบอกเล่าอย่างหลากหลาย ครอบคลุมมิติทาง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ และสิ่งท้องถิ่งแวดล้อม โดยถ่ายทอดผ่านฉากสังคมร่วมสมัย หรือโลกอนาคตและดินแดนจินตนิมิต ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในบริบทสังคมการเมืองปัจจุบัน
กล่าวได้ว่าจุดร่วมของนวนิยายทั้ง 60 เรื่องคือการส่งสารทางความคิดผ่านรูปแบบและกลวิธีต่างๆ กัน สอดรับกับกลุ่มผู้อ่านที่ขยายวงออกไป ความหลากหลายของเรื่องราวและแนวประพันธ์ จึงสะท้อนความหลากหลายของกลุ่มนักเขียนและกลุ่มนักอjานที่เติบโตต่อเนื่องกันมา และจะเป็นกำลังสําคัญในอันที่จะผลักดันให้วงการนวนิยายไทยก้าวหน้าต่อไป
อาจารย์เสาวณิต จุลวงศ์ ประธานกรรมการรอบคัดเลือกฯ แนะนำคณะกรรมการรอบคัดเลือกฯ และประกาศผลนวนิยายที่ผ่านเข้ารอบรางวัลซีไรต์ ประจำปี 2564 จำนวน 10 เรื่อง
ภาพรวมของการประกวดรางวัลซีไรต์ ประจำปี 2564 ประเภทนวนิยาย
“รอบคัดเลือก Shortlist” รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี 2564
หนังสือนวนิยายที่ส่งเข้าประกวดในปี 2564 นี้ สะท้อนถึงความสนใจของนักเขียนต่อเรื่องราวที่หลากหลาย ปรากฏการณ์เด่นชัดประการหนึ่งคือการแสดงสํานึกในความเป็่นเรื่องแต่งอย่างสลับซับซ้อน แสดงความตระหนักรู้ถึงอํานาจของผู้แต่งที่สอดแทรกในกระบวนการแต่งเรื่อง บางเรื่องสร้างตัวละครเป็นนักเขียน บางเรื่องวิพากษ์ความเป็นนักเขียนของตนเอง บางเรื่องนําเสนอเรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่า แต่ในด้านที่กลับกันความตระหนักรู้นั้นแสดงออกด้วยการหวนกลับมาเล่นกบกลวิธีการ "เล่าเรื่อง” อย่างแนบเนียน นวนิยายหลายเรื่องที่ดูเหมือนจะธรรมดาสามัญกลับซ่อนลีลาและกลวิธีการประพันธ์ที่ละเอียดประณีตไว้อยางแยบคาย
ปรากฏการณ์เด่นอีกประการหนึ่งคือการเขียนเกี่ยวกับความทรงจําและการบันทึกอดีต นวนิยายจํานวนมากเล่าถึงการรื้อฟื้นเรื่องราวที่หายไป ตั้งคําถามต่อการจํา การลืม กระทั่งถึงการไม่จํา หลายเรื่องบอกเล่าอดีตในฐานะประวัติศาสตร์ระดับชาติ ระดับสังคมไปจนถึงระดับปัจเจกบุคคล เพื่อเยียวยาค้นหาตัวตนผ่านการขุดลึกถึงรากแห่งอดีตด้วยการขับเน้นผัสสะและประสบการณ์ทางอารณ์ หรือเยียวยาบาดแผลที่ประวัติศาสตร์ฝากรอยไว้
ที่น่าสนใจคือการนําเสนอเรื่องราวในฉากต่างแดนรอบรั้วประเทศไทย ไม่เพียงสร้างการรับรู้สถานะ ของประเทศไทยในฐานะสวนหนึ่งของภูมิภาคและของโลก หากยังสร้างความคลุมเครือชวนฉงนระหวางความ่เป็นจริงทางประวัติศาสตร์ กับการเป็นเพียงแค่ฉากในไพรัชนิยายของนักเขียน
สุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือปรากฏการณ์การเขียนเรื่องชีวิต ครอบครัว ความรัก และนวนิยายแนววิจารณ์สังคมการเมือง ซึ่งได้รับความนิยมเสมอมาในเส้นทางการเติบโตของนวนิยายไทย
นวนิยายชีวิต ครอบครัว ความรักยังคงเสนอเรื่องราวอุปสรรคที่นําไปสู่ความผิดหวังและความสมหวัง ทว่าสิงที่เพิ่มมาคือการตกอยู่ในภาวะ ‘ระหว่างกลาง’ (in-betweenness) และการปรับศูนย์กลางในการเล่าเรื่อง จากมิติความเป็นชายเป็นหญิงไปสู่การนําเสนออารมณ์ความคิดความปรารถนาในมิติทางศาสนาและเพศวิถี
สุดท้ายคือนวนิยายแนวสังคมการเมืองซึ่งนําเสนอภาพและวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เห็นว่าเป็นปัญหา นวนิยายที่ส่งเข้าประกวดในปีนี้จับแง่มุมทางสังคมวัฒนธรรมมาบอกเล่าอย่างหลากหลาย ครอบคลุมมิติทาง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ และสิ่งท้องถิ่งแวดล้อม โดยถ่ายทอดผ่านฉากสังคมร่วมสมัย หรือโลกอนาคตและดินแดนจินตนิมิต ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในบริบทสังคมการเมืองปัจจุบัน
กล่าวได้ว่าจุดร่วมของนวนิยายทั้ง 60 เรื่องคือการส่งสารทางความคิดผ่านรูปแบบและกลวิธีต่างๆ กัน สอดรับกับกลุ่มผู้อ่านที่ขยายวงออกไป ความหลากหลายของเรื่องราวและแนวประพันธ์ จึงสะท้อนความหลากหลายของกลุ่มนักเขียนและกลุ่มนักอjานที่เติบโตต่อเนื่องกันมา และจะเป็นกำลังสําคัญในอันที่จะผลักดันให้วงการนวนิยายไทยก้าวหน้าต่อไป