ขอบคุณภาพ จากอินเตอร์เน็ต ครับผม
.......
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่เคารพรักทุกท่าน เมื่อต้นเดือนผมเขียน
"ครั้งแรก" ไปจนได้เกือบครึ่ง มานั่งย้อนอ่านดูแล้วคิดว่า เอ ชื่อเรื่องแบบนี้จะเป็นแนวไหนก็ได้ แต่ถ้าจะให้กลมกลืนที่สุด ก็หนีไม่พ้นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ หวานมั่งไม่หวานมั่งแล้วแต่ใครจะเจอยังไง ก็เลยตัดสินใจลบทิ้งแล้วเขียนใหม่ จากที่ร่างไว้เดิม เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่มเดินทางค้นหาเมืองแม่หม้ายในป่าลึกกลางหุบเขา ไปได้พรสามประการ แล้วก็เจอเหตุการณ์อะไรต่าง ๆ ที่พอเดินเรื่องไปแล้ว ชักจะเข้าป่าเข้าดงตามตัวละครไปทุกที เค้าความจริงชักเริ่มมองไม่เห็น
ผมจึงกลับลำใหม่ กลับมาหากินเรื่องใกล้ตัว เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักครั้งแรกของตัวผมเอง จริง ๆ ผมไม่น่าจะจำได้แล้วนะครับเรื่องนี้ เพราะมันผ่านมานานมาก ตั้งแต่อายุสิบสี่สิบห้านู่น แต่บังเอิญช่วงนั้นไม่เคยมีแฟนกับใคร เลยจำอารมณ์ในใจที่เกิดขึ้นตอนนั้นได้แม่น และเก็บมาเล่าให้ทุกท่านฟัง ในที่นี้ เป็นแห่งแรก และเป็นครั้งแรก ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง เชิญติดตามเรื่องราว รักครั้งแรกของหนุ่มวัยใส ( สมัยนู้นนนนนน ) ได้เลยครับ
......"ครั้งแรก" ( มันแปลกจริงเออ ) ......
........
ช่วงเริ่มเข้าวัยรุ่นของผม ประมาณปี 2523 - 2524 ตอนนั้นผมอายุสิบสี่ ย่างสิบห้าปี และไม่เคยรู้จักคำว่า
"แฟน" กับใครเขาเลย เช้าไปโรงเรียน เย็นกลับมาก็หิ้วน้ำขึ้นใส่โอ่งบนกระท่อมซึ่งปลูกอยู่ริมแม่น้ำที่ผมอาศัยอยู่กับปู่ย่า และตั้งแต่จำความได้ก็เห็นหน้าท่านสองคนมากกว่าใครในครอบครัว ส่วนเด็กรุ่นเดียวกันแถวบ้านก็มีแต่เด็กผู้ชายวัยใกล้เคียงกัน แก่นกะโหลกกะลาคล้าย ๆ กันทุกคน จะมีเด็กผู้หญิงมาเข้าเป็นเพื่อนกันอยู่บ้างก็กระโดกกระเดก ซนเป็นลิงเป็นข้างเหมือนเด็กผู้ชาย พอรวมกลุ่มกันทีก็พากันโดดน้ำเล่นจนปากเขียวเล็บเขียว หรือไม่ก็พากันขี่จักรยานไปหาผลไม้ท้องถิ่นกินตามท้องไร่ท้องนา ที่อยู่ไกลไปประมาณสี่ห้ากิโล เวลาที่จะคิดถึงเรื่องอื่นเลยไม่มี
ชีวิตประจำวันผมเป็นอย่างนี้จนใกล้จบ ม.3 ก็มีเหตุให้ได้ย้ายมาอาศัยกับพ่อซึ่งอยู่ในเมือง ใกล้ตลาดริมแม่น้ำ แต่คนละฝั่งกับที่เคยอยู่กับปู่ บ้านพ่อเป็นตึกแถว และไม่ได้อยู่ติดแม่น้ำเสียทีเดียว แต่ไม่ไกลมาก เดินจากบ้านไปถึงริมน้ำไม่เกินห้าสิบก้าวก็ถึงแล้ว
สังคมเด็กตลาด กับสังคมกระท่อมริมน้ำนั้นมีหลายอย่างแตกต่างกัน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง จะมีความคิดเป็นคนโตมากกว่าแถวบ้านที่ผมเคยอยู่ และไม่ค่อยเล่นอะไรอย่างเด็กทั่วไป ผมจึงเริ่มได้พบ ได้คุยกับเด็กผู้หญิงรุ่นเดียวกันเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าเดิม มากกว่าจะวิ่งเล่นกันอย่างเดียว
ผมปรับตัวได้สองสามเดือนในการอาศัยอยู่กับพ่อ โดยไม่ได้ทำงานอะไรจริงจังในบ้าน เพราะส่วนใหญ่เป็นงานของคนโต อย่างมากพี่ก็ให้วิ่งไปซื้อของกิน ซื้อของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ในตลาดให้ เป็นอย่างนี้จนใกล้ถึงวันสอบปลายภาค ผมจึงเริ่มนึกถึงเรื่องโรงเรียนที่จะเรียนต่อ และตัดสินใจไม่เรียนต่อ ม.4 แต่จะไปเรียนสาขาช่างแทน เพราะตอนนั้นมีความคิดว่า ถ้าจบช่างแล้วจะเปิดร้านรับงานเองไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างใคร
เรื่องหาข้อมูลโรงเรียนที่จะเรียนต่อนั้น ผมไปด้วยตัวเองมาตั้งแต่ตอนอยู่กระท่อมริมน้ำ ผมจบ ป.6 แล้วต้องสมัครเข้า ม.1 และปู่กับย่าไปไหนไม่สะดวก ผมจึงเดินไปหาที่เรียนคนเดียวแบบสบาย ๆ ตอนนี้ยิ่งไม่ยาก เพราะผมโตกว่าเก่ามาอีกสามปี อีกทั้งช่วงปี 23 – 24 รถราบนถนนไม่วุ่นวายเหมือนปัจจุบัน รถมอเตอร์ไซค์นาน ๆ จะมีผ่านมาสักคัน ส่วนรถยนต์นั้น บางทีทั้งวันเห็นแค่สองสามคันก็ยังเคย อากาศตามถนนเลาะริมแม่น้ำก็ร่มรื่นจากต้นหางนกยูงใหญ่ซึ่งขึ้นเรียงตลอดแนวแผ่กิ่งต่อ ๆ กันจนแดดส่องแทบไม่ถึงพื้นดิน อากาศเย็นสบาย เดินดูนกดูไม้ไปเรื่อย ๆ จนถึงที่หมายโดยไม่เหนื่อยสักนิดเดียว
ที่แรกที่ผมไป คือ วิทยาลัยอาชีวะศึกษา เพราะในตอนนั้นผมเข้าใจคำว่า
“อาชีวะ” ว่าเป็นโรงเรียนสอนอาชีพสำหรับคนทั่วไป ซึ่งผมก็เข้าใจไม่ผิด แต่มารู้ทีหลังว่า ส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพของผู้หญิง เช่น บัญชี การตลาด เลขา อะไรประมาณนี้ จริง ๆ แล้วผู้ชายก็ทำได้ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไร ในวันนั้นผมจึงเห็นนักเรียนชายไม่ถึงสิบคน ในขณะที่นักเรียนหญิงซึ่งวนเวียนเข้าไปจดกำหนดการบนกระดานดำ มีมากกว่าร้อยคน
และผมก็เห็นเธอ
ในบรรดาเด็กหญิงที่เดินขวักไขว่ไปมาจนตาลายนั้น ผมกลับจ้องมองเธอเพียงคนเดียว เพราะเธอดูเด่นกว่าใครในเสื้อยืดแขนสั้นสีฟ้ากางเกงขายาวสีขาว ท่ามกลางคนอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่ใส่ชุดนักเรียนมา และเมื่อเธอหันหน้าจ้องตากลมโตมาที่ผม ผมก็ตัวชาไปทั้งตัวทันที
เป็นครั้งแรกที่ผมมีความรู้สึกแปลก ๆ กับผู้หญิง ทั้งที่ตอนอยู่ที่เก่าผมวิ่งไล่เตะก้นกับเพื่อนผู้หญิงจนเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งตอนเล่นน้ำด้วยกันเป็นกลุ่ม เวลาเล่นไล่จับเราไล่ฟัดไล่เหวี่ยงเหมือนเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นในใจแม้แต่นิดเดียว แต่กับเธอคนนี้ไม่ใช่อย่างนั้น มันชาตามตัว ตามแขนตามขาไม่มีความรู้สึก คล้ายกับหมดแรงไปเฉย ๆ จนได้ยินเสียงเธอใกล้ ๆ
อาการชา จึงเปลี่ยนไปเป็นเหมือนโดนไฟช็อตกระตุกอย่างแรง
"มาดูวันสมัครเรียนเหรอ"
เธอมายืนตรงหน้าผมเมื่อไรผมไม่รู้เลยจริง ๆ และยืนใกล้แค่เอื้อมมือถึงกัน ผมได้แต่ยืนจ้องหน้าอยู่อย่างนั้นเพราะพูดอะไรไม่ออก เธอไม่ได้เป็นคนอ้วนหรือท้วม ตัวเล็ก ๆ พอ ๆ กับผม ผิวขาวเนียน แต่หน้ากลม กลมแบบแก้มยุ้ยเลย ตาเธอกลม ขนตางอนรับกับทรงผมหน้าม้าสั้นแค่คอ แก้มขาวใสจนเห็นเส้นเลือดเล็ก ๆ ชัด ทำให้ปากสีชมพูดูแจ่มจนเป็นชมพูเข้ม ผมมองเพลินจนต้องสะดุ้งเมื่อเธอถามออกมาอีกครั้ง
"มาดูวันสมัครเรียนเหรอ ทำไมไม่ไปเทคนิค ที่นี่มีแต่ผู้หญิงเรียน"
เธอถามไปตาก็จ้องหน้าผมไป ผมยิ่งทำท่าอึกอักหนักไปใหญ่ ยิ่งเธอยิ้มแบบขำ ๆ ซ้ำมาอีก ผมไปไม่เป็นเลยทีนี้ กว่าจะตอบงึมงำในลำคอได้ปาไปเกือบนาที
“เราไม่รู้ ที่นี่ใกล้ เราเลยมานี่ก่อน”
เธอพยักหน้าเข้าใจ ทำท่ามองหันไปหันมา ก่อนหันมาจ้องผมอีกครั้งแล้วถามผมว่า
“เธอมายังไง จักรยานเหรอ”
เด็กรุ่นนั้นถ้าพ่อแม่ใครพอมีเงินหน่อยก็จะซื้อจักรยานให้ เด็กผู้ชายส่วนใหญ่จะเป็น BMX มีตั้งแต่ราคาไม่กี่ร้อยไปจนถึงหลักพันแล้วแต่ว่าจะเป็นยี่ห้อแท้หรือเทียม ซึ่งต่างกันตรงวัสดุที่นำมาประกอบนั่นเอง ส่วนเด็กผู้หญิงจะเป็นจักรยานที่แฮนด์โค้ง ๆ ขึ้นมา มีตะกร้าหน้า แบบที่คุณแม่บ้านขี่ไปตลาดกัน
“เดิน”
ผมตอบอ้อมแอ้มออกไปและเริ่มรู้สึกว่า มือไม้ตัวเองมันเกะกะไปหมดเมื่อเธอจ้องหน้าทำคิ้วขมวด ผมยืนท่าไหน เอาแขนไว้ตรงไหนก็ไม่ถนัด กอด อกก็แล้ว ไขว้ไว้ข้างหลังก็แล้ว ถ้าวันนั้นมีใครสังเกตผมสักคน เขาคงนึกว่าผมเป็นไข้หรือไม่สบายเป็นโรคอะไรสักอย่าง เพราะยืนหมุนไปหมุนมา หายใจก็ไม่เป็นจังหวะ เดี๋ยวหายใจเข้ายาว เดี๋ยวกลั้นหายใจ เดี๋ยวถอนหายใจออกมา แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวขนาดนี้หรอกนะครับ มานั่งนึกย้อนดูตอนนี้จึงค่อย ๆ เห็นภาพเข้ามาทีละตอน
“ไปกับเราก็ได้ เราเอาจักรยานมา”
พูดจบเธอก็เดินนำหน้าผมไปทางประตูทางเข้าโรงเรียน ตรงข้างรั้วด้านในมีจักรยานจอดเรียงอยู่สิบกว่าคัน ผมมองดูแล้ว ไม่มี BMX สักคัน เลยมั่นใจว่าที่นี่น่าจะมีแต่ผู้หญิงมาเรียนจริง ๆ เธอเดินไปคุยไปและบอกว่าเธอชื่อ
เจี๊ยบ ผมก็อ้อมแอ้มบอกชื่อผมไปเบา ๆ ได้ยินเธอหัวเราะและพูดค่อย ๆ ว่าชื่อเชยจัง ผมยิ่งอาย ๆ อยู่แล้ว เลยเดินขาแทบพันกันไปกว่าเดิม
พอถึงตรงรถที่จอดไว้ เจี๊ยบก็หยุดยืนหันมาหาผม พยักหน้าทำท่าให้ผมเป็นคนขี่ หนักเลยทีนี้ บ้านผมมีจักรยานกับเขาสักคันที่ไหน ไอ้ขี่น่ะเคยขี่อยู่ แต่จักรยานเหล่าทโมนที่พากันไปไหนมาไหนน่ะ มันเป็นคันใหญ่ ๆ ที่มีคานตรงกลางยึดตั้งแต่ใต้แฮนด์มาถึงก้านเบาะนั่ง บันไดที่ถีบก็ไม่สมบูรณ์ แทนที่จะรองได้เต็มเท้าก็มีแค่เหล็กแกนในเด่ออกมา ถ้าฝนตกทางแฉะ ๆ หน่อย ใส่รองเท้าแตะเก่า ๆ ปั่นรีบ ๆ ลื่นปึ้ดฟาดหน้าแข้งเขียวกันไปหลายคน เบาะหนังแข็ง ๆ ที่อยู่บนหลักเสียบก็ไม่ค่อยแน่น ถ้าใครไม่รู้ใจให้จังหวะก้นไม่เป็น เวลาขี่ไปเพลิน ๆ มันจะบิดซ้ายบิดขวาทำเอาตัวเอียงเป็นท่าตะแคงข้างขี่ไป ต้องเกร็งก้นดี ๆ แล้วบิดกลับมา แต่ปั่นไปปั่นไปอีกสักเดี๋ยวมันก็บิดไปข้าง ๆ ใหม่ เพราะน็อตใต้เบาะมันไม่แน่นนั่นเอง
ตอนอยู่กระท่อมริมน้ำ เวลาไปไหน เพื่อนที่มีรถจักรยานจะเอาจักรยานคันเก่งมารับ แล้วก็พากันซ้อนสามไป เพราะคนมีสามคน แต่รถมีคันเดียว คนหนึ่งปั่น คนหนึ่งยืนท้าย ตะแกรงนั่งซ้อนไม่มีหรอกรถรุ่นนั้น ที่เหยียบเป็นเรื่องเป็นราวก็ไม่มี อาศัยตุ่มน็อตยึดล้อที่โผล่มาสักสองเซ็นนั่นแหละเหยียบไป แล้วรองเท้าแตะพื้นบาง ๆ นะครับ ทรมานอย่าบอกใคร ตกหลุมทีคนท้ายร้องซี๊ดที บางครั้งตกหลุมทีก็ลื่นไปยืนบนพื้นกันเลย ส่วนรถก็ยังไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ต้องวิ่งไล่เกาะบ่าคนขี่ แล้วเขยก ๆ ขึ้นเหยียบทีละเท้า กว่าจะขึ้นได้ครบสองเท้า ก็ต้องวิ่งตามรถหลายวา
อีกคนมีที่นั่งพิเศษ จะว่าสบายก็สบาย เพราะนั่งบนคานกลางหน้าคนขี่ ห้อยเท้าสองข้างไว้ข้างรถอย่างสบายใจ แต่ไปได้สักพักจะปวดก้นน่าดู โธ่ เหล็กตัน ๆ กลม ๆ ใครนั่งสบายก็เกินไป แต่ถ้าจักรยานคันไหนไม่มีคานกลางอันนี้ยิ่งเพลินใหญ่ คนท้ายก็ยืนเหยียบบนตุ่มน็อตไปตามปกติละครับ ส่วนคนหน้าก็นั่งบนแฮนด์ หันหลังให้ถนน เอามือเกาะบ่าคนขี่ไว้แล้วก็ไป ส่วนใหญ่จะไปกลางนาที่ห่างไปสี่ถึงห้ากิโล หาจับปูจับปลาขึ้นพุทรากินไปตามเรื่องตามราว
อ้อ ถ้าถามถึงเบรก เบรกไม่มีนะครับ จักรยานแต่ละคันสมัยนั้นถ้าสายเบรกหมดอายุก็ขาดไปเลยไม่ค่อยมีใครหามาใส่ใหม่ อาจจะเป็นเพราะร้านซ่อมอยู่ไกล หรืออาจไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะขี่ไปแล้วไม่ค่อยได้เบรกเท่าไร เนื่องจากบนทางดินตามบ้านนอก วันหนึ่งมีคนขี่ผ่านไปมาไม่ถึงสามคัน แล้วเวลาต้องการเบรกขึ้นมาจะทำยังไงเหรอครับ ไม่ยาก คนขี่ก็เอาเท้าแหย่ไปตรงระหว่างล้อกับตะเกียบช่วงบนให้ล้อหมุนพาเท้าเข้าไปชนกับตะเกียบแล้วล้อหมุนอยู่ใต้เท้า พอเท้าติดตะเกียบไปไม่ได้ล้อก็หมุนไม่ไหวเพราะเบียดกับเท้า รถก็จะหยุดเอง แต่มีหลายทีเหมือนกัน รถเสียหลักทำท่าจะลงกลางนา คนขี่แหย่เท้าหาล้อหน้าไม่ได้ เพราะติดก้นหรือติดขาเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงหน้าตัวเอง ควานไปควานมาเท้ายังไม่ทันถึงล้อหน้าดี โครม ลงกลางนาไปเรียบร้อย ขากลับแฮนด์เลยบิดซ้ายบิดขวาเป็นเพื่อนเบาะไปอีกอย่าง คนขี่ต้องบิดก้นที บิดแฮนด์ทีประคองรถไปตามทาง กว่าจะกลับถึงบ้านได้ แทบหมดแรงกันทั้งสามทโมน.........
( มีต่อครับ )
.....เรื่องสั้น........ เรื่อง.......ครั้งแรก ( มันแปลกจริงเออ )........@@ โดย ลุงแผน
ผมจึงกลับลำใหม่ กลับมาหากินเรื่องใกล้ตัว เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักครั้งแรกของตัวผมเอง จริง ๆ ผมไม่น่าจะจำได้แล้วนะครับเรื่องนี้ เพราะมันผ่านมานานมาก ตั้งแต่อายุสิบสี่สิบห้านู่น แต่บังเอิญช่วงนั้นไม่เคยมีแฟนกับใคร เลยจำอารมณ์ในใจที่เกิดขึ้นตอนนั้นได้แม่น และเก็บมาเล่าให้ทุกท่านฟัง ในที่นี้ เป็นแห่งแรก และเป็นครั้งแรก ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง เชิญติดตามเรื่องราว รักครั้งแรกของหนุ่มวัยใส ( สมัยนู้นนนนนน ) ได้เลยครับ
......"ครั้งแรก" ( มันแปลกจริงเออ ) ......
........ ช่วงเริ่มเข้าวัยรุ่นของผม ประมาณปี 2523 - 2524 ตอนนั้นผมอายุสิบสี่ ย่างสิบห้าปี และไม่เคยรู้จักคำว่า "แฟน" กับใครเขาเลย เช้าไปโรงเรียน เย็นกลับมาก็หิ้วน้ำขึ้นใส่โอ่งบนกระท่อมซึ่งปลูกอยู่ริมแม่น้ำที่ผมอาศัยอยู่กับปู่ย่า และตั้งแต่จำความได้ก็เห็นหน้าท่านสองคนมากกว่าใครในครอบครัว ส่วนเด็กรุ่นเดียวกันแถวบ้านก็มีแต่เด็กผู้ชายวัยใกล้เคียงกัน แก่นกะโหลกกะลาคล้าย ๆ กันทุกคน จะมีเด็กผู้หญิงมาเข้าเป็นเพื่อนกันอยู่บ้างก็กระโดกกระเดก ซนเป็นลิงเป็นข้างเหมือนเด็กผู้ชาย พอรวมกลุ่มกันทีก็พากันโดดน้ำเล่นจนปากเขียวเล็บเขียว หรือไม่ก็พากันขี่จักรยานไปหาผลไม้ท้องถิ่นกินตามท้องไร่ท้องนา ที่อยู่ไกลไปประมาณสี่ห้ากิโล เวลาที่จะคิดถึงเรื่องอื่นเลยไม่มี
ชีวิตประจำวันผมเป็นอย่างนี้จนใกล้จบ ม.3 ก็มีเหตุให้ได้ย้ายมาอาศัยกับพ่อซึ่งอยู่ในเมือง ใกล้ตลาดริมแม่น้ำ แต่คนละฝั่งกับที่เคยอยู่กับปู่ บ้านพ่อเป็นตึกแถว และไม่ได้อยู่ติดแม่น้ำเสียทีเดียว แต่ไม่ไกลมาก เดินจากบ้านไปถึงริมน้ำไม่เกินห้าสิบก้าวก็ถึงแล้ว
สังคมเด็กตลาด กับสังคมกระท่อมริมน้ำนั้นมีหลายอย่างแตกต่างกัน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง จะมีความคิดเป็นคนโตมากกว่าแถวบ้านที่ผมเคยอยู่ และไม่ค่อยเล่นอะไรอย่างเด็กทั่วไป ผมจึงเริ่มได้พบ ได้คุยกับเด็กผู้หญิงรุ่นเดียวกันเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าเดิม มากกว่าจะวิ่งเล่นกันอย่างเดียว
ผมปรับตัวได้สองสามเดือนในการอาศัยอยู่กับพ่อ โดยไม่ได้ทำงานอะไรจริงจังในบ้าน เพราะส่วนใหญ่เป็นงานของคนโต อย่างมากพี่ก็ให้วิ่งไปซื้อของกิน ซื้อของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ในตลาดให้ เป็นอย่างนี้จนใกล้ถึงวันสอบปลายภาค ผมจึงเริ่มนึกถึงเรื่องโรงเรียนที่จะเรียนต่อ และตัดสินใจไม่เรียนต่อ ม.4 แต่จะไปเรียนสาขาช่างแทน เพราะตอนนั้นมีความคิดว่า ถ้าจบช่างแล้วจะเปิดร้านรับงานเองไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างใคร
เรื่องหาข้อมูลโรงเรียนที่จะเรียนต่อนั้น ผมไปด้วยตัวเองมาตั้งแต่ตอนอยู่กระท่อมริมน้ำ ผมจบ ป.6 แล้วต้องสมัครเข้า ม.1 และปู่กับย่าไปไหนไม่สะดวก ผมจึงเดินไปหาที่เรียนคนเดียวแบบสบาย ๆ ตอนนี้ยิ่งไม่ยาก เพราะผมโตกว่าเก่ามาอีกสามปี อีกทั้งช่วงปี 23 – 24 รถราบนถนนไม่วุ่นวายเหมือนปัจจุบัน รถมอเตอร์ไซค์นาน ๆ จะมีผ่านมาสักคัน ส่วนรถยนต์นั้น บางทีทั้งวันเห็นแค่สองสามคันก็ยังเคย อากาศตามถนนเลาะริมแม่น้ำก็ร่มรื่นจากต้นหางนกยูงใหญ่ซึ่งขึ้นเรียงตลอดแนวแผ่กิ่งต่อ ๆ กันจนแดดส่องแทบไม่ถึงพื้นดิน อากาศเย็นสบาย เดินดูนกดูไม้ไปเรื่อย ๆ จนถึงที่หมายโดยไม่เหนื่อยสักนิดเดียว
ที่แรกที่ผมไป คือ วิทยาลัยอาชีวะศึกษา เพราะในตอนนั้นผมเข้าใจคำว่า “อาชีวะ” ว่าเป็นโรงเรียนสอนอาชีพสำหรับคนทั่วไป ซึ่งผมก็เข้าใจไม่ผิด แต่มารู้ทีหลังว่า ส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพของผู้หญิง เช่น บัญชี การตลาด เลขา อะไรประมาณนี้ จริง ๆ แล้วผู้ชายก็ทำได้ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไร ในวันนั้นผมจึงเห็นนักเรียนชายไม่ถึงสิบคน ในขณะที่นักเรียนหญิงซึ่งวนเวียนเข้าไปจดกำหนดการบนกระดานดำ มีมากกว่าร้อยคน และผมก็เห็นเธอ
ในบรรดาเด็กหญิงที่เดินขวักไขว่ไปมาจนตาลายนั้น ผมกลับจ้องมองเธอเพียงคนเดียว เพราะเธอดูเด่นกว่าใครในเสื้อยืดแขนสั้นสีฟ้ากางเกงขายาวสีขาว ท่ามกลางคนอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่ใส่ชุดนักเรียนมา และเมื่อเธอหันหน้าจ้องตากลมโตมาที่ผม ผมก็ตัวชาไปทั้งตัวทันที
เป็นครั้งแรกที่ผมมีความรู้สึกแปลก ๆ กับผู้หญิง ทั้งที่ตอนอยู่ที่เก่าผมวิ่งไล่เตะก้นกับเพื่อนผู้หญิงจนเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งตอนเล่นน้ำด้วยกันเป็นกลุ่ม เวลาเล่นไล่จับเราไล่ฟัดไล่เหวี่ยงเหมือนเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นในใจแม้แต่นิดเดียว แต่กับเธอคนนี้ไม่ใช่อย่างนั้น มันชาตามตัว ตามแขนตามขาไม่มีความรู้สึก คล้ายกับหมดแรงไปเฉย ๆ จนได้ยินเสียงเธอใกล้ ๆ อาการชา จึงเปลี่ยนไปเป็นเหมือนโดนไฟช็อตกระตุกอย่างแรง
"มาดูวันสมัครเรียนเหรอ"
เธอมายืนตรงหน้าผมเมื่อไรผมไม่รู้เลยจริง ๆ และยืนใกล้แค่เอื้อมมือถึงกัน ผมได้แต่ยืนจ้องหน้าอยู่อย่างนั้นเพราะพูดอะไรไม่ออก เธอไม่ได้เป็นคนอ้วนหรือท้วม ตัวเล็ก ๆ พอ ๆ กับผม ผิวขาวเนียน แต่หน้ากลม กลมแบบแก้มยุ้ยเลย ตาเธอกลม ขนตางอนรับกับทรงผมหน้าม้าสั้นแค่คอ แก้มขาวใสจนเห็นเส้นเลือดเล็ก ๆ ชัด ทำให้ปากสีชมพูดูแจ่มจนเป็นชมพูเข้ม ผมมองเพลินจนต้องสะดุ้งเมื่อเธอถามออกมาอีกครั้ง
"มาดูวันสมัครเรียนเหรอ ทำไมไม่ไปเทคนิค ที่นี่มีแต่ผู้หญิงเรียน"
เธอถามไปตาก็จ้องหน้าผมไป ผมยิ่งทำท่าอึกอักหนักไปใหญ่ ยิ่งเธอยิ้มแบบขำ ๆ ซ้ำมาอีก ผมไปไม่เป็นเลยทีนี้ กว่าจะตอบงึมงำในลำคอได้ปาไปเกือบนาที
“เราไม่รู้ ที่นี่ใกล้ เราเลยมานี่ก่อน”
เธอพยักหน้าเข้าใจ ทำท่ามองหันไปหันมา ก่อนหันมาจ้องผมอีกครั้งแล้วถามผมว่า
“เธอมายังไง จักรยานเหรอ”
เด็กรุ่นนั้นถ้าพ่อแม่ใครพอมีเงินหน่อยก็จะซื้อจักรยานให้ เด็กผู้ชายส่วนใหญ่จะเป็น BMX มีตั้งแต่ราคาไม่กี่ร้อยไปจนถึงหลักพันแล้วแต่ว่าจะเป็นยี่ห้อแท้หรือเทียม ซึ่งต่างกันตรงวัสดุที่นำมาประกอบนั่นเอง ส่วนเด็กผู้หญิงจะเป็นจักรยานที่แฮนด์โค้ง ๆ ขึ้นมา มีตะกร้าหน้า แบบที่คุณแม่บ้านขี่ไปตลาดกัน
“เดิน”
ผมตอบอ้อมแอ้มออกไปและเริ่มรู้สึกว่า มือไม้ตัวเองมันเกะกะไปหมดเมื่อเธอจ้องหน้าทำคิ้วขมวด ผมยืนท่าไหน เอาแขนไว้ตรงไหนก็ไม่ถนัด กอด อกก็แล้ว ไขว้ไว้ข้างหลังก็แล้ว ถ้าวันนั้นมีใครสังเกตผมสักคน เขาคงนึกว่าผมเป็นไข้หรือไม่สบายเป็นโรคอะไรสักอย่าง เพราะยืนหมุนไปหมุนมา หายใจก็ไม่เป็นจังหวะ เดี๋ยวหายใจเข้ายาว เดี๋ยวกลั้นหายใจ เดี๋ยวถอนหายใจออกมา แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวขนาดนี้หรอกนะครับ มานั่งนึกย้อนดูตอนนี้จึงค่อย ๆ เห็นภาพเข้ามาทีละตอน
“ไปกับเราก็ได้ เราเอาจักรยานมา”
พูดจบเธอก็เดินนำหน้าผมไปทางประตูทางเข้าโรงเรียน ตรงข้างรั้วด้านในมีจักรยานจอดเรียงอยู่สิบกว่าคัน ผมมองดูแล้ว ไม่มี BMX สักคัน เลยมั่นใจว่าที่นี่น่าจะมีแต่ผู้หญิงมาเรียนจริง ๆ เธอเดินไปคุยไปและบอกว่าเธอชื่อ เจี๊ยบ ผมก็อ้อมแอ้มบอกชื่อผมไปเบา ๆ ได้ยินเธอหัวเราะและพูดค่อย ๆ ว่าชื่อเชยจัง ผมยิ่งอาย ๆ อยู่แล้ว เลยเดินขาแทบพันกันไปกว่าเดิม
พอถึงตรงรถที่จอดไว้ เจี๊ยบก็หยุดยืนหันมาหาผม พยักหน้าทำท่าให้ผมเป็นคนขี่ หนักเลยทีนี้ บ้านผมมีจักรยานกับเขาสักคันที่ไหน ไอ้ขี่น่ะเคยขี่อยู่ แต่จักรยานเหล่าทโมนที่พากันไปไหนมาไหนน่ะ มันเป็นคันใหญ่ ๆ ที่มีคานตรงกลางยึดตั้งแต่ใต้แฮนด์มาถึงก้านเบาะนั่ง บันไดที่ถีบก็ไม่สมบูรณ์ แทนที่จะรองได้เต็มเท้าก็มีแค่เหล็กแกนในเด่ออกมา ถ้าฝนตกทางแฉะ ๆ หน่อย ใส่รองเท้าแตะเก่า ๆ ปั่นรีบ ๆ ลื่นปึ้ดฟาดหน้าแข้งเขียวกันไปหลายคน เบาะหนังแข็ง ๆ ที่อยู่บนหลักเสียบก็ไม่ค่อยแน่น ถ้าใครไม่รู้ใจให้จังหวะก้นไม่เป็น เวลาขี่ไปเพลิน ๆ มันจะบิดซ้ายบิดขวาทำเอาตัวเอียงเป็นท่าตะแคงข้างขี่ไป ต้องเกร็งก้นดี ๆ แล้วบิดกลับมา แต่ปั่นไปปั่นไปอีกสักเดี๋ยวมันก็บิดไปข้าง ๆ ใหม่ เพราะน็อตใต้เบาะมันไม่แน่นนั่นเอง
ตอนอยู่กระท่อมริมน้ำ เวลาไปไหน เพื่อนที่มีรถจักรยานจะเอาจักรยานคันเก่งมารับ แล้วก็พากันซ้อนสามไป เพราะคนมีสามคน แต่รถมีคันเดียว คนหนึ่งปั่น คนหนึ่งยืนท้าย ตะแกรงนั่งซ้อนไม่มีหรอกรถรุ่นนั้น ที่เหยียบเป็นเรื่องเป็นราวก็ไม่มี อาศัยตุ่มน็อตยึดล้อที่โผล่มาสักสองเซ็นนั่นแหละเหยียบไป แล้วรองเท้าแตะพื้นบาง ๆ นะครับ ทรมานอย่าบอกใคร ตกหลุมทีคนท้ายร้องซี๊ดที บางครั้งตกหลุมทีก็ลื่นไปยืนบนพื้นกันเลย ส่วนรถก็ยังไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ต้องวิ่งไล่เกาะบ่าคนขี่ แล้วเขยก ๆ ขึ้นเหยียบทีละเท้า กว่าจะขึ้นได้ครบสองเท้า ก็ต้องวิ่งตามรถหลายวา
อีกคนมีที่นั่งพิเศษ จะว่าสบายก็สบาย เพราะนั่งบนคานกลางหน้าคนขี่ ห้อยเท้าสองข้างไว้ข้างรถอย่างสบายใจ แต่ไปได้สักพักจะปวดก้นน่าดู โธ่ เหล็กตัน ๆ กลม ๆ ใครนั่งสบายก็เกินไป แต่ถ้าจักรยานคันไหนไม่มีคานกลางอันนี้ยิ่งเพลินใหญ่ คนท้ายก็ยืนเหยียบบนตุ่มน็อตไปตามปกติละครับ ส่วนคนหน้าก็นั่งบนแฮนด์ หันหลังให้ถนน เอามือเกาะบ่าคนขี่ไว้แล้วก็ไป ส่วนใหญ่จะไปกลางนาที่ห่างไปสี่ถึงห้ากิโล หาจับปูจับปลาขึ้นพุทรากินไปตามเรื่องตามราว
อ้อ ถ้าถามถึงเบรก เบรกไม่มีนะครับ จักรยานแต่ละคันสมัยนั้นถ้าสายเบรกหมดอายุก็ขาดไปเลยไม่ค่อยมีใครหามาใส่ใหม่ อาจจะเป็นเพราะร้านซ่อมอยู่ไกล หรืออาจไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะขี่ไปแล้วไม่ค่อยได้เบรกเท่าไร เนื่องจากบนทางดินตามบ้านนอก วันหนึ่งมีคนขี่ผ่านไปมาไม่ถึงสามคัน แล้วเวลาต้องการเบรกขึ้นมาจะทำยังไงเหรอครับ ไม่ยาก คนขี่ก็เอาเท้าแหย่ไปตรงระหว่างล้อกับตะเกียบช่วงบนให้ล้อหมุนพาเท้าเข้าไปชนกับตะเกียบแล้วล้อหมุนอยู่ใต้เท้า พอเท้าติดตะเกียบไปไม่ได้ล้อก็หมุนไม่ไหวเพราะเบียดกับเท้า รถก็จะหยุดเอง แต่มีหลายทีเหมือนกัน รถเสียหลักทำท่าจะลงกลางนา คนขี่แหย่เท้าหาล้อหน้าไม่ได้ เพราะติดก้นหรือติดขาเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงหน้าตัวเอง ควานไปควานมาเท้ายังไม่ทันถึงล้อหน้าดี โครม ลงกลางนาไปเรียบร้อย ขากลับแฮนด์เลยบิดซ้ายบิดขวาเป็นเพื่อนเบาะไปอีกอย่าง คนขี่ต้องบิดก้นที บิดแฮนด์ทีประคองรถไปตามทาง กว่าจะกลับถึงบ้านได้ แทบหมดแรงกันทั้งสามทโมน.........
( มีต่อครับ )