สวัสดีค่ะเพื่อนๆ เราใช้เวลานานหลายเดือนกว่าที่จะตัดสินใจตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อหาทางออกกับปมที่เกิดขึ้นมาภายในจิตใจของตัวเอง ขอเล่าเลยนะคะ.....
เรากับแฟนคบกันมาได้ 9 ปี ระหว่างคบกันห่างไกลกันตลอด แต่ไม่เคยทำเสื่อมเสียให้พ่อแม่เสียใจ จนกระทั่งเดินทางมาถึงวันแต่งงาน
เราก็เหมือนผู้หญิงทุกคนที่ฝันอยากมีงานแต่งที่สมบูรณ์แบบ เราก็เลยเตรียมความพร้อมสำหรับทุกอย่าง ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่โควิดยังไม่รุนแรง เรามีแพลนจัดงานแต่งในวันที่ 24 เมษายน 2564 เราไปถ่ายพรีเวดดิ้งเรียบร้อย เราจ้างออแกไนเซอร์มาจัดเตรียมสถานที่ให้ จ้างโต๊ะจีนเลี้ยงแขก 30 โต๊ะ แพลนงานถือว่าไม่ใหญ่มากแต่ก็สามารถเรียกแขก ญาติ เพื่อนร่วมงานได้ครบทุกคน พอใกล้จะถึงวันงาน ทางอำเภอได้แจ้งว่าให้จัดงานโดยเรียกแขกมาร่วมงานได้ไม่เกิน 50 คน ซึ่งพอเราได้ฟังแล้วเราก็รู้สึกไม่สบายใจ เราอยากให้ทุกคนมาร่วมงาน เราก็เลยปรึกษากับ พ่อ แม่ พี่ชาย คุยกันว่าเราจะเอายังไงต่อไป พ่อกับแม่อยากให้เราจัดงานในวันที่กำหนด ไม่อยากให้เลื่อน แต่เราอยากเลื่อนเพราะถ้าจัดทุกคนก็จะมาร่วมงานไม่ได้ พี่ชายเราก็อยากให้เลื่อนออกไปก่อน แต่พ่อไม่ยอมเพราะไม่รู้ว่าจะได้จัดอีกตอนไหน แล้วช่วงนี้แฟนเราก็จะกลับมาอยู่บ้านเราก็เริ่มไปมาหาสู่กับแฟนแล้ว เพราะหมั้นกันไปก่อนหน้านี้ก็กลัวคนจะมองไม่ดี อยากให้แต่งให้เสร็จพ่อแม่จะได้สบายใจ เราก็เลยยอมทำตาม พ่อกับแม่ก็บอกว่าวันที่ 24 จะจัดผูกข้อไม้ข้อมือเชิญแค่ญาติผู้ใหญ่ ส่วนงานเลี้ยงฉลองจะจัดให้อีกภายหลัง เราเข้าใจว่าวันนั้นแค่จะวางสินสอดแล้วก็จบ เราก็เลยไปแจ้งเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิทว่าขอเลื่อนงานฉลองออกไปก่อน เดี๋ยวจะจัดอีกภายหลัง แล้วเราก็ไปแจ้งเลื่อนออแกไนซ์ด้วย สรุปคือวันที่ 24 เราไม่จะไม่จัดสถานที่ ไม่แต่งหน้าทำผมกับช่าง จะเป็นแค่การวางสินสอดเฉยๆ ก่อนจะถึงวันงาน มีพี่มาถามเราว่าเราได้ชุดใส่หรือยัง เราก็บอกว่าเราจะใส่ชุดพื้นเมืองที่เราสั่งมาจากเน็ต แล้วจะรวบผมธรรมดา พี่ก็บอกว่าจะจัดงานแต่งทั้งที่ทำไมไม่แต่งสวยไปเลย เราก็เลยตัดสินใจไปเช่าชุด หาพานขันหมาก หาช่างแต่งหน้าแถวบ้าน หาชุดเพื่อนเจ้าสาว เขียนป้ายแต่งงาน ทำเองทุกอย่าง (ถ้าทุกอย่างจ้างออแกไนซ์ตั้งแต่แรกก็จบ) แต่แม่บอกเราว่ามันแพงเกินไป มันไม่คุ้มกับงานที่เราจัดเล็กๆ อีกอยากกลัวช่างเอาโควิดมาในงาน เราก็ยอมอีกเพราะเราคิดว่ายังไงก็จะได้จัดงานเลี้ยงฉลองอยู่ดี รอบสองก็ค่อยทำดีๆ ไปเลย พ่อแม่รับปากแล้วว่าจะพาจัด แล้วเรื่องช่างถ่ายภาพ เราก็อยากจ้างมา แม่ก็บอกว่าจะให้พี่ชายถ่ายให้ อันนี้เราไม่ยอมเพราะเราอยากให้พี่อยู่ในเฟรมกับเรา เราไม่อยากให้พี่ชายเราไปทำหน้าที่ตากล้องในวันแต่งงานของน้อง เราก็เลยตัดสินใจจ้าง พอวันจริงทุกอย่างก็ดำเนินไปแบบทุลักทุเล แม่ต้องแอบไปให้ช่างแต่งหน้าให้เพราะเหนื่อยกับการเตรียมงานจนไม่มีเวลาแม้แต่งหน้า ซึ่งถ้าจ้างออแกไนซ์แม่ก็จะได้แต่งหน้าด้วย ในวันนั้นเราแต่งหน้า ทำผมไม่สวยเลยเพราะช่างที่เราให้มาแต่ง ก็เป็นน้องแถวบ้าน แถมยังต้องถูกผู้ใหญ่บอกให้สวมแมสต์อีก ภาพที่ออกมาเกินครึ่งมีแต่ภาพสวมแมสต์ หลังจากจบงาน ไม่มีใครพูดถึงงานเลี้ยงของเราอีกเลย เพื่อนๆ ถามเราว่าจะจัดอีกไหม เราก็ตอบว่าจัด แต่ผู้ใหญ่ไม่ตื่นเต้นกับการจะจัดงานเลี้ยงให้เราอีกแล้ว เพราะในวันงานญาติผู้ใหญ่มาครบหมดแล้ว ไม่มีใครอยากมาอีก เราก็เลยเสียดาย ถ้าวันนั้นเราตัดสินใจจ้างออแกไนซ์ให้มาจัดการเรื่องงานแต่งให้เราทุกอย่างเราคงไม่ต้องเหนื่อยและรู้สึกเสียดายขนาดนี้ หรือไม่เราก็เลื่อนงานออกไปก่อนเลย ตอนนี้แนวโน้วจะจัดงานเลี้ยงไม่น่าจะมีแล้ว เงินที่จะจัดงานก็ไม่มีแล้ว ที่เราตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เราแค่อยากปล่อยวางเรื่องนี้ให้ได้ จะทำยังไงไม่ให้รู้สึกเสียดายกับการตัดสินใจของตัวเอง แล้วดำเนินชีวิตครอบครัวให้มีความสุขต่อไป เราคิดเสียดายทุกวัน พอเราเห็นงานแต่งงานของคนอื่นที่เขาจัดได้สวยงามในช่วงนี้ เราก็จะเกิดข้อเปรียบเทียบว่าทำไมงานเราทำอย่างเขาไม่ได้ ทำไมวันนั้นเราไม่ตัดสินใจจ้างออแกไนซ์ เรายกเลิกทำไม หรือไม่ทำไมเราไม่เลื่อนงานออกไปก่อน แล้วก็เสียดายที่หลายๆ คนมางานเราไม่ได้ เพื่อนๆ มีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้คะ หรือว่าเราคิดมากเกินไป หรือเพื่อนๆ มีแนวคิดดีๆ ที่พอจะทำให้ความรู้สึกแย่ๆ ของเรากลับมาดีขึ้นไหมคะ เราพิมพ์ไปร้องไห้ไป เราคาดหวังกับงานแต่งที่เราเฝ้ารอมาทั้งชีวิตมากเกินไป T T ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ
เสียดายงานแต่งของตัวเอง TT
เรากับแฟนคบกันมาได้ 9 ปี ระหว่างคบกันห่างไกลกันตลอด แต่ไม่เคยทำเสื่อมเสียให้พ่อแม่เสียใจ จนกระทั่งเดินทางมาถึงวันแต่งงาน
เราก็เหมือนผู้หญิงทุกคนที่ฝันอยากมีงานแต่งที่สมบูรณ์แบบ เราก็เลยเตรียมความพร้อมสำหรับทุกอย่าง ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่โควิดยังไม่รุนแรง เรามีแพลนจัดงานแต่งในวันที่ 24 เมษายน 2564 เราไปถ่ายพรีเวดดิ้งเรียบร้อย เราจ้างออแกไนเซอร์มาจัดเตรียมสถานที่ให้ จ้างโต๊ะจีนเลี้ยงแขก 30 โต๊ะ แพลนงานถือว่าไม่ใหญ่มากแต่ก็สามารถเรียกแขก ญาติ เพื่อนร่วมงานได้ครบทุกคน พอใกล้จะถึงวันงาน ทางอำเภอได้แจ้งว่าให้จัดงานโดยเรียกแขกมาร่วมงานได้ไม่เกิน 50 คน ซึ่งพอเราได้ฟังแล้วเราก็รู้สึกไม่สบายใจ เราอยากให้ทุกคนมาร่วมงาน เราก็เลยปรึกษากับ พ่อ แม่ พี่ชาย คุยกันว่าเราจะเอายังไงต่อไป พ่อกับแม่อยากให้เราจัดงานในวันที่กำหนด ไม่อยากให้เลื่อน แต่เราอยากเลื่อนเพราะถ้าจัดทุกคนก็จะมาร่วมงานไม่ได้ พี่ชายเราก็อยากให้เลื่อนออกไปก่อน แต่พ่อไม่ยอมเพราะไม่รู้ว่าจะได้จัดอีกตอนไหน แล้วช่วงนี้แฟนเราก็จะกลับมาอยู่บ้านเราก็เริ่มไปมาหาสู่กับแฟนแล้ว เพราะหมั้นกันไปก่อนหน้านี้ก็กลัวคนจะมองไม่ดี อยากให้แต่งให้เสร็จพ่อแม่จะได้สบายใจ เราก็เลยยอมทำตาม พ่อกับแม่ก็บอกว่าวันที่ 24 จะจัดผูกข้อไม้ข้อมือเชิญแค่ญาติผู้ใหญ่ ส่วนงานเลี้ยงฉลองจะจัดให้อีกภายหลัง เราเข้าใจว่าวันนั้นแค่จะวางสินสอดแล้วก็จบ เราก็เลยไปแจ้งเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิทว่าขอเลื่อนงานฉลองออกไปก่อน เดี๋ยวจะจัดอีกภายหลัง แล้วเราก็ไปแจ้งเลื่อนออแกไนซ์ด้วย สรุปคือวันที่ 24 เราไม่จะไม่จัดสถานที่ ไม่แต่งหน้าทำผมกับช่าง จะเป็นแค่การวางสินสอดเฉยๆ ก่อนจะถึงวันงาน มีพี่มาถามเราว่าเราได้ชุดใส่หรือยัง เราก็บอกว่าเราจะใส่ชุดพื้นเมืองที่เราสั่งมาจากเน็ต แล้วจะรวบผมธรรมดา พี่ก็บอกว่าจะจัดงานแต่งทั้งที่ทำไมไม่แต่งสวยไปเลย เราก็เลยตัดสินใจไปเช่าชุด หาพานขันหมาก หาช่างแต่งหน้าแถวบ้าน หาชุดเพื่อนเจ้าสาว เขียนป้ายแต่งงาน ทำเองทุกอย่าง (ถ้าทุกอย่างจ้างออแกไนซ์ตั้งแต่แรกก็จบ) แต่แม่บอกเราว่ามันแพงเกินไป มันไม่คุ้มกับงานที่เราจัดเล็กๆ อีกอยากกลัวช่างเอาโควิดมาในงาน เราก็ยอมอีกเพราะเราคิดว่ายังไงก็จะได้จัดงานเลี้ยงฉลองอยู่ดี รอบสองก็ค่อยทำดีๆ ไปเลย พ่อแม่รับปากแล้วว่าจะพาจัด แล้วเรื่องช่างถ่ายภาพ เราก็อยากจ้างมา แม่ก็บอกว่าจะให้พี่ชายถ่ายให้ อันนี้เราไม่ยอมเพราะเราอยากให้พี่อยู่ในเฟรมกับเรา เราไม่อยากให้พี่ชายเราไปทำหน้าที่ตากล้องในวันแต่งงานของน้อง เราก็เลยตัดสินใจจ้าง พอวันจริงทุกอย่างก็ดำเนินไปแบบทุลักทุเล แม่ต้องแอบไปให้ช่างแต่งหน้าให้เพราะเหนื่อยกับการเตรียมงานจนไม่มีเวลาแม้แต่งหน้า ซึ่งถ้าจ้างออแกไนซ์แม่ก็จะได้แต่งหน้าด้วย ในวันนั้นเราแต่งหน้า ทำผมไม่สวยเลยเพราะช่างที่เราให้มาแต่ง ก็เป็นน้องแถวบ้าน แถมยังต้องถูกผู้ใหญ่บอกให้สวมแมสต์อีก ภาพที่ออกมาเกินครึ่งมีแต่ภาพสวมแมสต์ หลังจากจบงาน ไม่มีใครพูดถึงงานเลี้ยงของเราอีกเลย เพื่อนๆ ถามเราว่าจะจัดอีกไหม เราก็ตอบว่าจัด แต่ผู้ใหญ่ไม่ตื่นเต้นกับการจะจัดงานเลี้ยงให้เราอีกแล้ว เพราะในวันงานญาติผู้ใหญ่มาครบหมดแล้ว ไม่มีใครอยากมาอีก เราก็เลยเสียดาย ถ้าวันนั้นเราตัดสินใจจ้างออแกไนซ์ให้มาจัดการเรื่องงานแต่งให้เราทุกอย่างเราคงไม่ต้องเหนื่อยและรู้สึกเสียดายขนาดนี้ หรือไม่เราก็เลื่อนงานออกไปก่อนเลย ตอนนี้แนวโน้วจะจัดงานเลี้ยงไม่น่าจะมีแล้ว เงินที่จะจัดงานก็ไม่มีแล้ว ที่เราตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เราแค่อยากปล่อยวางเรื่องนี้ให้ได้ จะทำยังไงไม่ให้รู้สึกเสียดายกับการตัดสินใจของตัวเอง แล้วดำเนินชีวิตครอบครัวให้มีความสุขต่อไป เราคิดเสียดายทุกวัน พอเราเห็นงานแต่งงานของคนอื่นที่เขาจัดได้สวยงามในช่วงนี้ เราก็จะเกิดข้อเปรียบเทียบว่าทำไมงานเราทำอย่างเขาไม่ได้ ทำไมวันนั้นเราไม่ตัดสินใจจ้างออแกไนซ์ เรายกเลิกทำไม หรือไม่ทำไมเราไม่เลื่อนงานออกไปก่อน แล้วก็เสียดายที่หลายๆ คนมางานเราไม่ได้ เพื่อนๆ มีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้คะ หรือว่าเราคิดมากเกินไป หรือเพื่อนๆ มีแนวคิดดีๆ ที่พอจะทำให้ความรู้สึกแย่ๆ ของเรากลับมาดีขึ้นไหมคะ เราพิมพ์ไปร้องไห้ไป เราคาดหวังกับงานแต่งที่เราเฝ้ารอมาทั้งชีวิตมากเกินไป T T ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ