มรสุมชีวิตตั้งแต่เกิดจนวัยเพียง 23 ปี หมาด ๆ

ก่อนอื่นผมอยากจะบอกว่า ผมเองก็เป็นคนธรรมดาคนนึงในโลกใบนี้ ไม่มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น ๆ เลยแม้แต่นิด เพียงแต่วันนี้ผมอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ที่สำคัญของผมตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาบนโลกนี้และยังโชคดีที่ได้มีโอกาสมีชีวิตรอดมาถึงวัย 23 ปีหมาด ๆ 

บ้านเกิด
ผมเกิดที่เชียงใหม่ครับ คุณพ่อเป็นคนเหนือและคุณแม่เองก็เป็นคนใต้ ท่านทั้งสองมาจากครอบครัวที่ยากลำบากในชนชั้นล่างของสังคม ด้วยความที่ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่และไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมาย มันก็ทำให้ผมนั้นรับรู้เพียงแค่ว่า คุณพ่อของผมต้องออกไปทำงานที่อเมริกาเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูจุนเจือครอบครัว ส่วนคุณแม่เองเมื่อเลี้ยงผมได้ไม่กี่ปี ท่านก็เข้ามาทำงานที่กรุงเทพเป็นข้าราชการในสำนักงานเขต ๆ นึงในกรุงเทพ 

ผมถูกเลี้ยงดูมาด้วยฝีมือของคุณย่าครับ ผมเองก็ไม่ได้รับความรักขาดตกบกพร่องอย่างใดเลยแม้แต่น้อย แต่หากเล่าย้อนไปตอนที่คุณพ่อยังทำงานอยู่ที่เชียงใหม่ละก็ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกได้เลยคือ เราสามารถใช้เงินเท่าที่เรามีและพอใจที่จะซื้ออะไรก็ได้ อย่างเช่น ไก่เคเอฟซีชุดใหญ่ที่สามารถกินกันได้ทั้งบ้าน หรือการซื้อรถจักรยานที่ให้ผมเอาไว้ปั่นเล่น นั้นก็เป็นคุณพ่อเองที่เป็นคนซื้อให้ผมและน้องสาวข้าง ๆ บ้านด้วย 

บ้านที่ผมอาศัยอยู่กับคุณย่าของผมจะเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ถัดจากเรือนไม้ของปู่ในที่ดินเดียวกัน ผมมีความสุขมาก ๆ ครับในตอนนั้น เรียกได้ว่า พ่อของผมให้ความสำคัญกับผมมาก ๆ แต่มันก็น่าเสียดายที่เรื่องราวนั้นก็ต้องถูกตัดจบไปเพราะว่าการไปทำงานที่ต่างประเทศของคุณพ่อ

ในยามที่ผมคิดถึงพ่อ นอกจากที่จะได้คุยโทรศัพท์กับพ่ออาทิตย์ละครั้งแล้ว คุณย่าเองก็คอยสอนให้ผมเก็บเงินครั้งละ 25 หรือ 50 สตางค์ในกระปุก แล้วก็บอกเสมอว่า ถ้าอยากให้คุณพ่อกลับมาเร็ว ๆ ผมต้องช่วยพ่อเก็บเงินครับ ซึ่งตั้งแต่นั้นมา ผมก็ไม่คิดว่าคำ ๆ นี้มันจะเป็นคำที่มีปัญหาอะไรในอนาคตของผม

หนึ่งคนที่ผมรักมาก ๆ ในตอนนั้นก็คือคุณย่าครับ เพราะท่านคือคนที่อยู่กับผมแทบตลอดเวลาเลย ซึ่งผมเองก็เรียกคุณย่าว่าแม่ตลอดด้วย คุณย่าท่านสนับสนุนทุกอย่างในสิ่งที่ผมสนใจ เช่น การวาดรูป การระบายสี ถึงขนาดเขียนบอกในสมุดจดการบ้านให้ครูได้อ่านว่า อยากให้ผมได้ลงแข่งวาดรูปของกิจกรรมทางโรงเรียนด้วย แกเลี้ยงผมด้วยความรัก อาจจะดูเหมือนการให้ท้ายในสายตาคนบางคน แต่บางสิ่งที่ผมทำผิด คุณย่าก็จะเด็ดก้านมะยมข้างบ้านแล้วรูดใบไม้ทิ้ง เอามาฟาดผมจนขาลายเป็นประจำ เพราะถ้าเอาตามจริงก็โดนเกือบทุกวันจริง ๆ นั่นแหละครับ เพราะผมดื้อและซนมาก ๆ ตามประสาเด็ก ๆ ต่างจังหวัด

ส่วนในด้านการเรียนของผมก็เรียกได้ว่าเป็นเด็กที่เรียนเก่งพอดี ๆ ทำกิจกรรมของโรงเรียนต่าง ๆ อย่างเช่น เป็นตัวแทนโครงการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์อะไรทำนองนั้น ซึ่งผมเองในตอนที่เรียนอยู่เชียงใหม่ ก็มักจะได้รางวัลลายมือสวยงามหรือนักเรียนดีเด่นประจำห้องทุกเดือน มันก็เลยค่อนข้างเป็นสิ่งที่ทำให้ผมนั้นมั่นใจว่าตัวเองก็ได้รับการยอมรับที่ดีจากสังคม

ซึ่งเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็ดันมาเกิดขึ้นเมื่อตอนผมอยู่ ป.2 นั่นก็คือคุณย่าได้เสียไปด้วยโรคร้ายอย่างกระทันหัน มันทำให้ผมต้องย้ายบ้านที่อยู่ไปอยู่กับป้าที่เรือนไม้ที่ดินข้าง ๆ ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลนึงที่บอกว่า คุณปู่กับคุณลุงที่วัน ๆ เอาแต่ก๊งเหล้าแต่รอเงินเดือนจากคุณพ่อส่งมา ก็น่าจะเลี้ยงดูผมไม่ได้แน่นอน ซึ่งชีวิตของผมก็ดำเนินไปไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมายจากเช่นเดิม นั่นก็คือ มีหน้าที่เรียนก็เรียนไป หากมีกิจกรรมทางโรงรียนหรือชมรมที่อยากทำ ก็จะได้การสนับสนุนจากคุณป้าให้ทำด้วย ซึ่งชีวิตในตอนนั้นของผมค่อนข้างที่จะดีมาก ๆ ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากนักเรียนคนธรรมดา ๆ คนนึงในโรงเรียนเอกชนเลย
ซึ่งญาติทุกคนที่ที่เชียงใหม่ของผมจะเป็นคนที่คอยเอาใจใส่ผม เป็นห่วงผม สนับสนุนผม และสั่งสอนผมอยู่เสมอ ๆ หรือมีอะไรที่ผมทุกใจอย่างเช่นคิดว่า ทำสิ่งนั้น ๆ ไม่ได้ เค้าก็จะบอกว่าตลอดว่า “ทำได้อยู่แล้วลูก”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่