เหตุการณ์ร่อนลงจอดบนแม่น้ำฮัตสัน ได้กลายเป็น 1 ในตำนานของการลงจอดที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์การบิน และโด่งดังจนได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ ที่ชื่อ Sully บอกเล่าเรื่องราวของ เชสลีย์ ซัลเลนเบอร์เกอร์
แต่สำหรับในโลกความเป็นจริงแล้ว เหตุการณ์ที่กำลังจะนำเสนอนี้คือ ภาพยนตร์ Sully ในโลกความเป็นจริง และไม่ได้สวยหรูอย่างที่หลายๆ คนเคยได้พบ และเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมการบิน และกับผู้โดยสารทั่วทั้งโลก
นี้คือเรื่องจริงอ้างอิงจากรายงานอย่างเป็นทางการและบทสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง
บ่ายแก่ วันที่ 2 มิถุนายน ปี 1983 บนเที่ยวบิน แอร์ แคนาดา 797 เหนือน่านฟ้าระหว่างเดินทางจาก ดัลลัส ไป มอนทรีออล โดยหยุดแวะที่โทรอนโต้ กัปตันโดนัลด์ คาเมรอน และ นักบินผู้ช่วย โคลด โอวีเมท กำลังเตรียมทานอาหารเย็น โดยกัปตันโดนัลด์ คาเมรอน อยู่กับแอร์ แคนาดา มา 17 ปี และมีชั่วโมงบินกว่า 5,000 ชั่วโมงกับเครื่อง ดีซี – 9 วันนี้บนเครื่องดีซี – 9 มีผู้โดยสารแค่ครึ่งเดียว รวมลูกเรือ 5 คนเป็น 46 คน
เครื่องอยู่ที่ ระดับ 33,000 ฟุต เบื้องล่าง มีเมฆหนาปกคลุมเม็ดฝนเวลานั้นเป็นช่วง 6 โมงกว่า แต่ที่ระดับที่เครื่องนั้นบินอยู่ ฟ้าเปิด และ สว่าง
ก่อน 1 ทุ่มตรง เวลา 6 โมง 51 นาที กัปตันคาเมรอนก็พบกับความผิดปกติ เมื่อ สวิตช์ไฟฟ้า เซอร์กิตเบรกเกอร์ 3 ตัว ดีดกลับ เพื่อป้องกันการลัดวงจรจากการใช้งานหนัก มันมีไว้สำหรับระบบชักโครกในห้องน้ำด้านซ้าย
บางครั้งเกิดจากที่เครื่องทำงานหนักเกินไปเพราะอาจมีใครกดหรือไม่ก็มีอะไรสักอย่างทับจนมอเตอร์ไม่ทำงาน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเพราะมีคนใช้ห้องน้ำตลอดเวลา เขาก็แค่รอให้มอเตอร์เย็นลงจากนั้นก็กดกลับไปและบันทึกลงในสมุดบันทึกภูมิก็เป็นอันเรียบร้อย
ในห้องโดยสาร พนักงานต้อนรับ ลอร่า คายาม่า และ จูดี้ เดวิสสัน กำลังวุ่นกับการเสิร์ฟอาหารเย็น ให้กับผู้โดยสาร
เวลา 6 โมง 59 นาที ได้เวลากัปตันคาเมรอนทานอาหารเย็นแล้วแต่ก่อนหน้านั้น เขาขอกลับไปกดสวิตซ์ตัวตัดไฟเพื่อให้ห้องน้ำกลับมาใช้ได้มิเช่นนั้น ผู้โดยสารจะไม่สะดวกสบายนักในช่วงที่เหลือของการบิน เขาปล่อยให้มันเย็นลงไปกว่า 8 นาทีแต่ถึงกระนั้นมันกลับไม่ยอมซ่อมแซมตัวมันเอง
เวลา 1 ทุ่มตรง คอนนี่ เคิร์ช ผู้โดยสารจากเท็กซัสที่ไปประชุมงานด้านธุรกิจ นั่งที่แถวสุดท้ายได้กลิ่นควันประหลาดมาจากห้องน้ำและไม่ใช่กลิ่นของควันบุหรี่อีกด้วยแต่เป็นกลิ่นคล้ายพลาสติกไหม้ ทำให้เดวิสสัน แปลกใจ
ควันจางๆ ค่อยกระจายตัวเข้าในห้องนักบินเรื่อยๆ จนผู้โดยสารแถวอื่นๆ เริ่มได้กลิ่นและเริ่มรู้สึกอึดอัด
เดวิสสัน จึงรีบไปแจ้งเซอร์จิโอ้ หัวหน้าพนักงานต้องรับ เขาจึงรีบคว้าถังดับเพลิงไป และเริ่มย้ายผู้โดยสารออกห่างไป 3 แถว กลิ่นชวนคลื่นไส้อาเจียนและอ่อนเพลีย เซอร์จิโอ้รู้ว่านี่คงไม่ใช่แค่ห้องน้ำอุดตันแล้ว เขารีบไปฉีดโฟมดับเพลิงทั่วทั้งห้องน้ำทันทีแต่ในห้องน้ำกลับไปมีร่องรอยของควันไฟเลย
เวลา 1 ทุ่ม 2 นาที เพียง 11 นาทีหลังจากสวิตซ์ตัดไฟไปดีดกลับ พนักงานต้อนรับทั้ง 2 คนรีบไปแจ้งกัปตันว่าเกิดควันในห้องบินอาจเป็นไฟไหม้ โอวีเมท จึงตัดสินใจไปดูด้วยตัวเองว่าสถานการณ์เลวร้ายขนาดไหน ส่วนกัปตันคามเมรอนรีบใส่หน้ากากออกซิเจนในห้องนักบินทันที
ไฟบนเครื่องบินถือเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นบนเครื่อง เครื่องอยู่เหนือพื้น 10 กิโลเมตร แต่ในตอนนี้ กัปตันยังไม่รู้แน่ชัดว่าสถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายแค่ไหน อีกทั้งในช่วงเวลานั้น สายการบินยังมีการอนุญาตให้ผู้โดยสารสูบบุหรี่ได้ เขาจึงยังไม่กังวลนัก
เมื่อโอวีเมท ไปที่ส่วนท้ายของเครื่อง สิ่งที่โอวีเมทพบนั้นน่าเป็นห่วงควันตรงส่วนท้ายเครื่องหนาขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งเซอร์จิโอ้ก็บอกด้วยว่าไม่มีไฟในห้องน้ำตอนเปิดประตูห้องน้ำ โอวีเมทสงสัยว่าจะเป็นควันจากบุหรี่หรือไม่ แต่เซอร์จิโอ้บอกว่า ไม่น่าใช่ควันจากบุหรี่
ควันหนามากจนเข้าไปไม่ได้ เขารีบกลับมาห้องนักบินและนำกัปตันคาเมรอนว่าควรจะลงจอด แต่ไม่นานนักสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป เซอร์จิโอ้ ก็เข้ามาบอกว่าควันในส่วนท้ายนั้นจางลงแล้ว นั่นจึงสร้างความสับสนให้กับนักบิน
โอวีเมท จึงกลับไปดูสถานการณ์อีกครั้งรวมทั้งใส่แว่นตาไว้ด้วย ถ้าเป็นมอเตอร์ขัดข้องเครื่องยังบินไปถึงโทรอนโต้ได้แต่ถ้าร้ายแรงกว่านั้น กัปตันคาเมรอนต้องรีบลงจอดทันที
เวลา 1 ทุ่ม 5 นาที ขณะที่โอวีเมทไปดูสถานการณ์กัปตันก็เจอกับสถานการณ์เร่งด่วนเมื่อไฟเตือนหลักส่งสัญญาณรวมทั้งอุปกรณ์ส่วนใหญ่ในห้องนักบินล้มเหลวเกือบทั้งหมด กัปตันรู้ดีว่านี่ไม่ปกติแล้ว
กัปตันคาเมรอน รีบติดต่อหน่วยงานภาคพื้นที่ใกล้ที่สุดนั่นคือ เมมฟิส สนามบิน อินเดียแนโพลิส แจ้งสถานการณ์ฉุกเฉินว่าพบปัญหาไฟฟ้าของเครื่องมีปัญหา
ขณะเดียวกัน โอวีเมทไปที่ประตูห้องน้ำ แต่ตัวลูกบิดเปิดประตูร้อนจนไม่อาจเปิดเข้าไปได้
เขาไม่อยากเสี่ยงและรีบกลับมาที่ห้องนักบินทันทีและแจ้งกัปตันว่าต้องรีบลงจอด เขารีบแจ้งพนักงานให้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการลงจอดฉุกเฉิน ทันทีที่ตัดสินใจ ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินก็ล้มเหลวเกือบทั้งหมด
ปัญหาเล็กๆ เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โอวีเมท แจ้งเหตุเมย์เดย์ไปยังหอควบคุม พวกเขาแนะนำให้ไปลงซินซิเนติ ซึ่งอยู่ห่างไป 25 ไมล์ พอประคองไหวกัปตันคาเมรอนเริ่มลดระดับไปที่ 1,500 เมตร โอวีเมท รีบเปลี่ยนไปใช้พลังงานสำรอง
อีกทั้งระหว่างการลดระดับนักบินยังมีอีกปัญหา แพนหางระดับ (Horizontal stabilizer) ใช้การไม่ได้ เหลือแค่ แผ่นปรับแนวระนาบ (Elevator) เพื่อให้เครื่องดิ่งลง แต่มันก็หนักมาก มันผลักคืนที่ระดับ 20 กิโลกรัม ตอนนี้อุปกรณ์ไฟฟ้าบนเครื่องแทบจะใช้อะไรไม่ได้แล้ว มีอุปกรณ์ไฟฟ้าฉุกเฉินที่พอจะช่วยในเรื่องการติดต่อได้
ควันไฟเริ่มกระจายคละคลุ้งเข้าไปในห้องโดยสารมากขึ้น ควันส่งกลิ่นพลาสติกไหม้ที่ระคายเคืองอย่างมาก กัปตันแทบจะตัดสินปล่อยหน้ากากออกซิเจนแล้ว การปล่อยหน้ากากออกซิเจนในห้องโดยสารด้วยนักบินนั้นทำได้ แต่เสี่ยงเกินไปเพราะมีกฎอยู่ว่ามันจะใช้ได้เฉพาะมีการเปลี่ยนแปลงความกดอากาศหรือความดันฉับพลันเท่านั้น นอกจากนี้ในปี 1983 ยังไม่มี ขั้นตอนมาตรฐานที่จะบอกว่าเปิดประตูฉุกเฉินยังไง แต่ในกรณีนี้พนักงานไม่มีทางเลือกพวกเขาต้องสอนผู้โดยสารกันแบบสดๆ
ควันไฟเริ่มหนามากขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนที่มากขึ้นทำให้ผู้โดยสารเริ่มจะทนไม่ไหว ในขณะเดียวกันห้องนักบินก็หนาไปด้วยควันเช่นกัน เกรกอรี่ คาแรม ศูนย์ควบคุมระยะประชิดเริ่มนำทางไปซินซิเนติ นักบินต้องบินไปตามคำแนะนำและพยายามมองผ่านควันที่หนา มิเช่นนั้นเครื่องอาจหลุดออกนอกเส้นทางง่ายๆ
ย้อนรอย Air Canada 797 กัปตันโดนัลด์ คาเมรอน “ All I know is that I did the best I could - ผมทำสุดความสามารถแล้ว “