พอมีเวลาว่างบ้างแล้วค่ะ สามารถมาร่วมสนุกกับโครงการชื่อเดียวฯ ของคุณดินสอสีน้ำและคุณนลินมณีได้อีก
และเขียนเรื่องป้อนช่องยูทูปตัวเองไปด้วย^^
ครั้งแรกที่เจอ ‘คนเล่นของ’
อาร์มเป็นเด็กวัยคะนองอายุเพิ่งย่างสิบสี่ปี เขาเติบโตมาในเมืองใหญ่อันสับสนวุ่นวาย มีแต่รถราแออัดและตึกรามบ้านช่องแน่นขนัดไปหมด ไม่เคยไปสัมผัสกับชีวิตในชนบทเลยแม้แต่ครั้งเดียว อาจจะเคยรู้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในต่างจังหวัดมาบ้าง จากจอภาพยนตร์หรือในจอทีวี ซึ่งรู้สึกว่ามันช่างแตกต่างจากชีวิตประจำวันในกรุงเทพของตัวเองเสียเหลือเกิน เห็นเด็ก ๆ กระโดดน้ำเล่นตามแม่น้ำลำคลองอย่างสนุกสนาน ลงเล่นน้ำตามน้ำตกสวย ๆ เห็นปูปลา ทุ่งนา ป่าเขา เห็นวัวควายในท้องทุ่ง มันทำให้อาร์มรู้สึกอยากไปสัมผัสกับชีวิตคนในชนบทดูสักครั้ง
พอดีอาร์มมีเพื่อนในเฟซบุ๊กคนหนึ่งชื่อเต้ย เป็นคนแถวจังหวัดในภาคกลาง เข้ามาเรียนหนังสือที่กรุงเทพ เพราะพ่อกับแม่แยกกันอยู่ พอโรงเรียนปิดเทอมที เต้ยจะกลับไปหาพ่อที่บ้านนอก อาร์มชอบคุยกับเต้ย เพราะสองคนมีอะไรที่คล้ายกัน เป็นคนตัวเล็กเหมือนกัน ชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่ค่อยเข้าสังคมเหมือนกัน ดูหนังเล่นเกมก็มีความชอบเหมือนกันอีก
เต้ยชวนอาร์มไปเที่ยวบ้านนอกด้วย แต่ตอนนั้นอาร์มยังลังเลอยู่ เพราะไม่เคยออกไปเที่ยวต่างจังหวัดมาก่อนเลย อาร์มอาศัยอยู่สองคนกับย่าที่เป็นคนมีฐานะ และไม่ค่อยอยากให้หลานชายออกไปเที่ยวที่ไหนบ่อยนัก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด แต่แล้วเพราะทนเสียงเรียกร้องอยากสัมผัสกับมนตร์เสน่ห์ของธรรมชาติรอบนอกไม่ได้ มันทำให้ในวันหนึ่ง อาร์มกล้าขัดคำสั่งของย่า นัดแนะกันกับเต้ย แล้วพาตัวเองไปที่ท่ารถ ขึ้นรถโดยสารไปยังจังหวัดที่เต้ยอยู่
เต้ยมารอรับที่ท่ารถ และพาอาร์มซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปที่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากท่ารถพอประมาณ บ้านเต้ยเป็นบ้านทรงไทยหลังไม่ใหญ่นัก พากันมาถึงในเวลาเกือบเย็นแล้ว เต้ยอยู่สองคนกับพ่อที่ชื่อลุงบุญเลิศ ชาวบ้านแถวนั้นเรียกพ่อเต้ยว่า ‘พ่อหมอเลิศ’ เพราะพ่อของเต้ยมีวิชาคุณไสย ถอนของได้ ไล่ผีเข้าสิงได้ รักษาคนที่มีอาการแปลก ๆ ที่หมอในโรงพยาบาลรักษาไม่หายให้หายได้หลายคน จะเรียกว่าเป็นหมอผีก็ไม่ผิดนัก
ตอนมาถึงที่บ้านใหม่ ๆ เต้ยบอกอาร์มว่า
“ถ้าเห็นหรือได้ยินอะไรแปลก ๆ อย่าทักนะ นอนฟังเฉย ๆ ที่บ้านเลี้ยงผี แต่อาร์มไม่ต้องกลัวหรอก ผีที่พ่อเลี้ยงไว้จะไม่ทำอันตรายอาร์ม พ่อเต้ยดูแลอยู่”
พอได้ฟังคำเตือนของเพื่อน ขนหัวอาร์มลุกซู่ คิดในใจว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่าที่หนีย่ามาเที่ยวที่นี่ ถ้าพ่อกับแม่ที่ทำงานอยู่เมืองนอกมารู้เข้าตัวเองคงโดนดุแน่ แต่เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องอยู่ให้ได้ ตามที่ตั้งใจไว้ คิดว่าอยู่เที่ยวบ้านเต้ยสักอาทิตย์หนึ่งก็จะกลับ
บ้านไม้ทรงไทยใต้ถุนสูงของเต้ยไม่ได้ติดแอร์ แต่พอเข้าไปในบ้านแล้ว มันรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างประหลาด เย็นจนขนลุกซู่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ทั้งที่อากาศข้างนอกบ้านก็นับว่าร้อนเอาการอยู่ แถมในบ้านยังมีกลิ่นสาบสางแปลก ๆ มันไม่ใช่กลิ่นเหม็นอับเหมือนบ้านที่ไม่ได้ระบายอากาศ แต่มันเหม็นสาบเหมือนมีพวกซากสัตว์ตายแห้งวางทิ้งอยู่ในบ้าน
เต้ยพาอาร์มเดินผ่านกลางบ้านไปถึงห้องหนึ่ง เป็นห้องที่ไม่ใหญ่นัก ประตูถูกเปิดทิ้งไว้ทำให้มองเห็นภายในว่ามีชุดรับแขก และมีโต๊ะหมู่บูชาชุดหนึ่ง ตั้งพระพุทธรูปขนาดต่าง ๆ และวางรูปปั้นพวกกุมารทอง นางกวัก รูปปั้นสัตว์ประเภทวัวควายไว้ด้านล่าง เห็นพ่อของเพื่อนกำลังนั่งไหว้พระอยู่ แกหันมาเห็นก็ส่งยิ้มให้ เต้ยจึงแนะนำอาร์มให้รู้จักกับพ่อ บอกพ่อว่าอาร์มจะมาขออาศัยเที่ยวที่บ้านสักหนึ่งอาทิตย์ เพราะถ้านานกว่านั้นย่าอาร์มจะเป็นห่วง ลุงเลิศไม่ว่าอะไร ดูท่าทางแกใจดี หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาด้วยเสียงที่นิ่มนวล
“พาเพื่อนไปพักก่อนเถอะ อาบน้ำอาบท่าแล้วค่อยมากินข้าวเย็นกัน”
(มีต่อ)
ชื่อเดียวเอี่ยวทุกเรื่อง ครั้งแรก....ที่เจอ 'คนเล่นของ'
อาร์มเป็นเด็กวัยคะนองอายุเพิ่งย่างสิบสี่ปี เขาเติบโตมาในเมืองใหญ่อันสับสนวุ่นวาย มีแต่รถราแออัดและตึกรามบ้านช่องแน่นขนัดไปหมด ไม่เคยไปสัมผัสกับชีวิตในชนบทเลยแม้แต่ครั้งเดียว อาจจะเคยรู้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในต่างจังหวัดมาบ้าง จากจอภาพยนตร์หรือในจอทีวี ซึ่งรู้สึกว่ามันช่างแตกต่างจากชีวิตประจำวันในกรุงเทพของตัวเองเสียเหลือเกิน เห็นเด็ก ๆ กระโดดน้ำเล่นตามแม่น้ำลำคลองอย่างสนุกสนาน ลงเล่นน้ำตามน้ำตกสวย ๆ เห็นปูปลา ทุ่งนา ป่าเขา เห็นวัวควายในท้องทุ่ง มันทำให้อาร์มรู้สึกอยากไปสัมผัสกับชีวิตคนในชนบทดูสักครั้ง
พอดีอาร์มมีเพื่อนในเฟซบุ๊กคนหนึ่งชื่อเต้ย เป็นคนแถวจังหวัดในภาคกลาง เข้ามาเรียนหนังสือที่กรุงเทพ เพราะพ่อกับแม่แยกกันอยู่ พอโรงเรียนปิดเทอมที เต้ยจะกลับไปหาพ่อที่บ้านนอก อาร์มชอบคุยกับเต้ย เพราะสองคนมีอะไรที่คล้ายกัน เป็นคนตัวเล็กเหมือนกัน ชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่ค่อยเข้าสังคมเหมือนกัน ดูหนังเล่นเกมก็มีความชอบเหมือนกันอีก
เต้ยชวนอาร์มไปเที่ยวบ้านนอกด้วย แต่ตอนนั้นอาร์มยังลังเลอยู่ เพราะไม่เคยออกไปเที่ยวต่างจังหวัดมาก่อนเลย อาร์มอาศัยอยู่สองคนกับย่าที่เป็นคนมีฐานะ และไม่ค่อยอยากให้หลานชายออกไปเที่ยวที่ไหนบ่อยนัก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด แต่แล้วเพราะทนเสียงเรียกร้องอยากสัมผัสกับมนตร์เสน่ห์ของธรรมชาติรอบนอกไม่ได้ มันทำให้ในวันหนึ่ง อาร์มกล้าขัดคำสั่งของย่า นัดแนะกันกับเต้ย แล้วพาตัวเองไปที่ท่ารถ ขึ้นรถโดยสารไปยังจังหวัดที่เต้ยอยู่
เต้ยมารอรับที่ท่ารถ และพาอาร์มซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปที่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากท่ารถพอประมาณ บ้านเต้ยเป็นบ้านทรงไทยหลังไม่ใหญ่นัก พากันมาถึงในเวลาเกือบเย็นแล้ว เต้ยอยู่สองคนกับพ่อที่ชื่อลุงบุญเลิศ ชาวบ้านแถวนั้นเรียกพ่อเต้ยว่า ‘พ่อหมอเลิศ’ เพราะพ่อของเต้ยมีวิชาคุณไสย ถอนของได้ ไล่ผีเข้าสิงได้ รักษาคนที่มีอาการแปลก ๆ ที่หมอในโรงพยาบาลรักษาไม่หายให้หายได้หลายคน จะเรียกว่าเป็นหมอผีก็ไม่ผิดนัก
ตอนมาถึงที่บ้านใหม่ ๆ เต้ยบอกอาร์มว่า
“ถ้าเห็นหรือได้ยินอะไรแปลก ๆ อย่าทักนะ นอนฟังเฉย ๆ ที่บ้านเลี้ยงผี แต่อาร์มไม่ต้องกลัวหรอก ผีที่พ่อเลี้ยงไว้จะไม่ทำอันตรายอาร์ม พ่อเต้ยดูแลอยู่”
พอได้ฟังคำเตือนของเพื่อน ขนหัวอาร์มลุกซู่ คิดในใจว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่าที่หนีย่ามาเที่ยวที่นี่ ถ้าพ่อกับแม่ที่ทำงานอยู่เมืองนอกมารู้เข้าตัวเองคงโดนดุแน่ แต่เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องอยู่ให้ได้ ตามที่ตั้งใจไว้ คิดว่าอยู่เที่ยวบ้านเต้ยสักอาทิตย์หนึ่งก็จะกลับ
บ้านไม้ทรงไทยใต้ถุนสูงของเต้ยไม่ได้ติดแอร์ แต่พอเข้าไปในบ้านแล้ว มันรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างประหลาด เย็นจนขนลุกซู่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ทั้งที่อากาศข้างนอกบ้านก็นับว่าร้อนเอาการอยู่ แถมในบ้านยังมีกลิ่นสาบสางแปลก ๆ มันไม่ใช่กลิ่นเหม็นอับเหมือนบ้านที่ไม่ได้ระบายอากาศ แต่มันเหม็นสาบเหมือนมีพวกซากสัตว์ตายแห้งวางทิ้งอยู่ในบ้าน
เต้ยพาอาร์มเดินผ่านกลางบ้านไปถึงห้องหนึ่ง เป็นห้องที่ไม่ใหญ่นัก ประตูถูกเปิดทิ้งไว้ทำให้มองเห็นภายในว่ามีชุดรับแขก และมีโต๊ะหมู่บูชาชุดหนึ่ง ตั้งพระพุทธรูปขนาดต่าง ๆ และวางรูปปั้นพวกกุมารทอง นางกวัก รูปปั้นสัตว์ประเภทวัวควายไว้ด้านล่าง เห็นพ่อของเพื่อนกำลังนั่งไหว้พระอยู่ แกหันมาเห็นก็ส่งยิ้มให้ เต้ยจึงแนะนำอาร์มให้รู้จักกับพ่อ บอกพ่อว่าอาร์มจะมาขออาศัยเที่ยวที่บ้านสักหนึ่งอาทิตย์ เพราะถ้านานกว่านั้นย่าอาร์มจะเป็นห่วง ลุงเลิศไม่ว่าอะไร ดูท่าทางแกใจดี หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาด้วยเสียงที่นิ่มนวล
“พาเพื่อนไปพักก่อนเถอะ อาบน้ำอาบท่าแล้วค่อยมากินข้าวเย็นกัน”
(มีต่อ)