*กระทู้มีเนื้อหาสปอย*
‘ยุคสมัยแห่งความไร้เดียงสา’ เราชอบการนิยามคำแปลชื่อเรื่องตรงๆและความหมายก็ตรงตามเนื้อหานี้มาก
ยุคแห่งการเสแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ยุคแห่งการแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไร..
ผู้มั่งคั่งแลผู้ตามสมัยนิยม, ในเมืองนิวยอร์ค ในปี 1870 คือเมืองที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์มากมาย :
ว่าเมื่อใดควรผูกไทด์ดำ เวลาอันควรเยี่ยมเยียนสหายยามบ่าย กฎเกณฑ์เกี่ยวกับใครที่คุณควรเชิญมางานเลี้ยง
นั่งข้างผู้ใดในโรงละคร ใครคือผู้ยอมรับในสังคม และใครไม่ใช่
นิวแลนด์ เมย์ และเอลเลน อยู่ระหว่างสงครามของความรัก เกียรติยศ และหน้าที่
การต่อสู้ที่ความรู้สึกอันมหาศาลซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มอันสุภาพ,
ที่หลายสิ่งหลายอย่างภายในใจถูกทิ้งไว้โดยไร้คำกล่าว,
และเพียงแค่หนึ่งสีหน้าท่าทางท่ามกลางผู้คนมากมายในห้องสามารถสื่อความหมายมากกว่าหนึ่งร้อยถ้อยคำ
(ส่วนหนึ่งจากหนังสือ The Age of Innocence)
The Age of Innocence (1993)
บอกเล่าเรื่องราวรักต้องห้ามในยุคสมัยที่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับทุกสิ่ง ยุคที่ทุกอย่างตั้งอยู่บนความถูกต้องและกฎระเบียบของสังคม
เอลเลน โอเลนสก้า (มิเชลล์ ไฟเฟอร์) คือสาวงามหัวสมัยใหม่ เดินทางกลับมาที่นิวยอร์คอีกครั้งพร้อมกับข่าวลืออื้อฉาวที่เธอกำลังจะหย่ากับสามี
แต่สิ่งที่เธอไม่รู้คือในสังคมชั้นสูงของนิวยอร์ค การหย่าร้างเป็นการละเมิดกฎของสังคม
นิวแลนด์ อาเชอร์ (แดเนียล เดย์-ลูวิส) สุภาพบุรุษที่ภายในตัวมีความขบถต่อธรรมเนียมสังคมไม่น้อย ถูกหญิงสาวผู้นี้ดึงดูดและตกหลุมรักเธอเข้า
ทว่าเขามีคู่หมั้นหมายอยู่แล้วคือเมย์ เวลแลนด์ (วิโวน่า ไรเดอร์) สาวงามที่อ่อนโยนและแสนสุภาพ ผู้ซึ่งเป็นญาติกับเอลเลน
นิวแลนด์จะทำอย่างไรเพื่อพิสูจน์ความรักที่มี
ภายใต้กรอบของสังคมอันแสนคุ้นเคยแต่แสนอึดอัดดูจะทวีความกดดันต่อความขบถของเขามากขึ้นเรื่อยๆ
เราขอยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวรักต้องห้ามของคนสองคนออกมาได้ดีมากๆ ทั้งบีบคั้นหัวใจ
อึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออกแทนตัวละครทั้งสอง แม้ว่าจะรู้ตอนจบของเรื่องมาก่อน (และเกิดอยากรู้เรื่องราวจึงไปดู) ก็ยังอินสุดๆ
มันน่าทึ่งในความรู้สึกของเรามาก เมื่อดูจบและทำความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของพระนางในตอนจบอย่างแจ่มชัด
เรื่องนี้ก็ประทับใจจนเป็นหนังขึ้นหิ้งในใจไปเลยค่ะ มันแบบทั้งค้างคาแต่ก็แสนจะเข้าใจ
คงต้องใช้คำว่า 'ตราตรึง' ถึงจะบรรยายความอินของเราออกมาได้อย่างตรงที่สุด
องค์ประกอบต่างๆตลอดเรื่องก็ดี บทดี ตัวละครแต่ละตัวมีมิติ คอมตูมสวย ภาพ บรรยากาศ อารมณ์ความรัก ความตึงเครียด บีบคั้น ดีงามไปเสียหมด
.
The Age of Innocence สร้างจากนิยายคลาสสิคของ Edith Warton ในปี 1920
เรายังไม่มีโอกาสอ่านหนังสือแบบเต็มๆจนจบ แต่ได้อ่านวิจารณ์ รู้สึกว่าน่าสนใจเป็นอย่างมากเลยค่ะ
เราอ่านแค่หนังสือ Oxford Bookwarms ซึ่งค่อนข้างตรงกับฉบับภาพยนตร์ มีรายละเอียดบทสนทนาบางส่วนมากกว่ากันนิดหน่อย
ในกระทู้นี้เราจะขอพูดถึงโดยตีความแค่ในฉบับภาพยนตร์ที่เราดูนะคะ
.
ฉากที่ประทับใจที่สุดในหนังคือฉากจบเลยค่ะ ที่ทำให้เราอึ้งด้วยความเงียบ และสุดท้ายตกหลุมรักในความค้างคาใจนั้นไปเลย
ทำไมเมื่อความฝันทั้งชีวิตวางอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่คว้ามันไว้?
สำหรับเรื่องนี้ ที่อยากเขียนถ่ายทอดนอกจากเพราะเนื้อหาที่เราชอบมากแล้ว ยังเพื่ออธิบายตอนจบในมุมมองของเราด้วยค่ะ
สารภาพว่าเมื่อเขียนแล้วเราต้องกลับไปดูอีกครั้ง เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และมีความซับซ้อนในความรู้สึก
การจบในปลายเชิงเปิดที่ทำให้คนดูค้างคา คิดไปต่างๆนาๆด้วยความคาใจ แต่ที่จริงแล้วเราคิดว่าก็มีคำตอบอยู่ตรงนั้นเพียงแต่ผู้ชมจะสังเกตและเข้าใจความรู้สึกลึกซึ้งพอหรือไม่ เพราะงั้นการมาสรุปวิเคราะห์ตอนจบตามที่เราเข้าใจ
เราต้องมั่นใจว่าเราเข้าใจมันจริงๆถึงจะกล้าเขียน ซึ่งเราได้กลับไปดูอีกครั้งและมั่นใจในความคิดนั้นแล้ว
ต่อจากนี้ (โพสด้านล่าง) จะเป็นสปอล์ยเนื้อหาแบบการเล่าเรื่อง เพราะอยากจะ Lead ทุกคนไปสู่บทวิเคราะห์ฉากจบ ที่หลายคนอาจตีความไม่แตกหรือคิดเห็นต่างกันจะได้อ่านเนื้อเรื่องโดยละเอียดและทำความเข้าใจค่ะ
หากสนใจอ่านแค่วิเคราะห์ตอนจบจากมุมมองของเรา อยากข้ามเนื้อเรื่องไปอ่านแค่ตอนนั้น
(วิเคราะห์ตอนจบอยู่ในคห.ที่ 3 ค่ะ)
คห.1-2 : เล่าเนื้อเรื่องภาพยนตร์
คห.3 : วิเคราะห์ฉากจบ
คห.4 : กล่าวถึงตัวละครหลัก
วิเคราะห์ตอนจบภาพยนตร์ The Age of Innocence + สปอล์ยเนื้อหาฉบับเล่าเรื่อง
‘ยุคสมัยแห่งความไร้เดียงสา’ เราชอบการนิยามคำแปลชื่อเรื่องตรงๆและความหมายก็ตรงตามเนื้อหานี้มาก
ยุคแห่งการเสแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ยุคแห่งการแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไร..
ผู้มั่งคั่งแลผู้ตามสมัยนิยม, ในเมืองนิวยอร์ค ในปี 1870 คือเมืองที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์มากมาย :
ว่าเมื่อใดควรผูกไทด์ดำ เวลาอันควรเยี่ยมเยียนสหายยามบ่าย กฎเกณฑ์เกี่ยวกับใครที่คุณควรเชิญมางานเลี้ยง
นั่งข้างผู้ใดในโรงละคร ใครคือผู้ยอมรับในสังคม และใครไม่ใช่
นิวแลนด์ เมย์ และเอลเลน อยู่ระหว่างสงครามของความรัก เกียรติยศ และหน้าที่
การต่อสู้ที่ความรู้สึกอันมหาศาลซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มอันสุภาพ,
ที่หลายสิ่งหลายอย่างภายในใจถูกทิ้งไว้โดยไร้คำกล่าว,
และเพียงแค่หนึ่งสีหน้าท่าทางท่ามกลางผู้คนมากมายในห้องสามารถสื่อความหมายมากกว่าหนึ่งร้อยถ้อยคำ
(ส่วนหนึ่งจากหนังสือ The Age of Innocence)
The Age of Innocence (1993)
บอกเล่าเรื่องราวรักต้องห้ามในยุคสมัยที่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับทุกสิ่ง ยุคที่ทุกอย่างตั้งอยู่บนความถูกต้องและกฎระเบียบของสังคม
เอลเลน โอเลนสก้า (มิเชลล์ ไฟเฟอร์) คือสาวงามหัวสมัยใหม่ เดินทางกลับมาที่นิวยอร์คอีกครั้งพร้อมกับข่าวลืออื้อฉาวที่เธอกำลังจะหย่ากับสามี
แต่สิ่งที่เธอไม่รู้คือในสังคมชั้นสูงของนิวยอร์ค การหย่าร้างเป็นการละเมิดกฎของสังคม
นิวแลนด์ อาเชอร์ (แดเนียล เดย์-ลูวิส) สุภาพบุรุษที่ภายในตัวมีความขบถต่อธรรมเนียมสังคมไม่น้อย ถูกหญิงสาวผู้นี้ดึงดูดและตกหลุมรักเธอเข้า
ทว่าเขามีคู่หมั้นหมายอยู่แล้วคือเมย์ เวลแลนด์ (วิโวน่า ไรเดอร์) สาวงามที่อ่อนโยนและแสนสุภาพ ผู้ซึ่งเป็นญาติกับเอลเลน
นิวแลนด์จะทำอย่างไรเพื่อพิสูจน์ความรักที่มี
ภายใต้กรอบของสังคมอันแสนคุ้นเคยแต่แสนอึดอัดดูจะทวีความกดดันต่อความขบถของเขามากขึ้นเรื่อยๆ
เราขอยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวรักต้องห้ามของคนสองคนออกมาได้ดีมากๆ ทั้งบีบคั้นหัวใจ
อึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออกแทนตัวละครทั้งสอง แม้ว่าจะรู้ตอนจบของเรื่องมาก่อน (และเกิดอยากรู้เรื่องราวจึงไปดู) ก็ยังอินสุดๆ
มันน่าทึ่งในความรู้สึกของเรามาก เมื่อดูจบและทำความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของพระนางในตอนจบอย่างแจ่มชัด
เรื่องนี้ก็ประทับใจจนเป็นหนังขึ้นหิ้งในใจไปเลยค่ะ มันแบบทั้งค้างคาแต่ก็แสนจะเข้าใจ
คงต้องใช้คำว่า 'ตราตรึง' ถึงจะบรรยายความอินของเราออกมาได้อย่างตรงที่สุด
องค์ประกอบต่างๆตลอดเรื่องก็ดี บทดี ตัวละครแต่ละตัวมีมิติ คอมตูมสวย ภาพ บรรยากาศ อารมณ์ความรัก ความตึงเครียด บีบคั้น ดีงามไปเสียหมด
.
The Age of Innocence สร้างจากนิยายคลาสสิคของ Edith Warton ในปี 1920
เรายังไม่มีโอกาสอ่านหนังสือแบบเต็มๆจนจบ แต่ได้อ่านวิจารณ์ รู้สึกว่าน่าสนใจเป็นอย่างมากเลยค่ะ
เราอ่านแค่หนังสือ Oxford Bookwarms ซึ่งค่อนข้างตรงกับฉบับภาพยนตร์ มีรายละเอียดบทสนทนาบางส่วนมากกว่ากันนิดหน่อย
ในกระทู้นี้เราจะขอพูดถึงโดยตีความแค่ในฉบับภาพยนตร์ที่เราดูนะคะ
.
ฉากที่ประทับใจที่สุดในหนังคือฉากจบเลยค่ะ ที่ทำให้เราอึ้งด้วยความเงียบ และสุดท้ายตกหลุมรักในความค้างคาใจนั้นไปเลย
ทำไมเมื่อความฝันทั้งชีวิตวางอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่คว้ามันไว้?
สำหรับเรื่องนี้ ที่อยากเขียนถ่ายทอดนอกจากเพราะเนื้อหาที่เราชอบมากแล้ว ยังเพื่ออธิบายตอนจบในมุมมองของเราด้วยค่ะ
สารภาพว่าเมื่อเขียนแล้วเราต้องกลับไปดูอีกครั้ง เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และมีความซับซ้อนในความรู้สึก
การจบในปลายเชิงเปิดที่ทำให้คนดูค้างคา คิดไปต่างๆนาๆด้วยความคาใจ แต่ที่จริงแล้วเราคิดว่าก็มีคำตอบอยู่ตรงนั้นเพียงแต่ผู้ชมจะสังเกตและเข้าใจความรู้สึกลึกซึ้งพอหรือไม่ เพราะงั้นการมาสรุปวิเคราะห์ตอนจบตามที่เราเข้าใจ
เราต้องมั่นใจว่าเราเข้าใจมันจริงๆถึงจะกล้าเขียน ซึ่งเราได้กลับไปดูอีกครั้งและมั่นใจในความคิดนั้นแล้ว
ต่อจากนี้ (โพสด้านล่าง) จะเป็นสปอล์ยเนื้อหาแบบการเล่าเรื่อง เพราะอยากจะ Lead ทุกคนไปสู่บทวิเคราะห์ฉากจบ ที่หลายคนอาจตีความไม่แตกหรือคิดเห็นต่างกันจะได้อ่านเนื้อเรื่องโดยละเอียดและทำความเข้าใจค่ะ
หากสนใจอ่านแค่วิเคราะห์ตอนจบจากมุมมองของเรา อยากข้ามเนื้อเรื่องไปอ่านแค่ตอนนั้น (วิเคราะห์ตอนจบอยู่ในคห.ที่ 3 ค่ะ)
คห.1-2 : เล่าเนื้อเรื่องภาพยนตร์
คห.3 : วิเคราะห์ฉากจบ
คห.4 : กล่าวถึงตัวละครหลัก