ช่วงก่อนหน้านี้ผมเห็นมีข่าวฆ่ากันที่เกี่ยวข้องกับเรื่องหนี้ซะเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึงข่าวฆ่าตัวตายเพราะภาระหนี้ที่เยอะและไม่สามารถจ่ายได้ไหว รวมไปถึงกระทู้เรื่องปัญหาหนี้บัตรเครดิตที่ใช้แล้วผ่อนไม่ไหวค่อนข้างเยอะ อย่างเช่น จะหาเงินที่ไหนมาจ่าย หรือต้องจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสดต่อเดือนสูงเกือบที่จะเท่ากับเงินเดือนรวมรายรับอื่นๆ ทำให้เหลือเงินใช้ต่อเดือนไม่เพียงพอหรือต้องกดบัตรกดเงินสดมาหมุนใช้ให้รอดไปเดือนๆ
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ผมก็เคยประสบปัญหาเช่นนั้นมาก่อน และสามารถที่จะแก้ปัญหาไปทีละขั้น จนสามารถที่จะปิดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด 20 ใบ ประมาณ 2 ล้านบาทได้ภายใน 2 ปี
ช่วงก่อร่างสร้างตัวและสร้างหนี้ไปด้วย ช่วงนั้นก็ประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว หนี้ก้อนนี้เกิดขึ้นเกิดจากการลงทุนที่ต้องใช้เงินเกินจากเงินสดที่เรามีอยู่ จึงจำเป็นที่จะต้องใช้บัตรเครดิตทั้งหมดเพื่อให้โปรเจคดำเนินการจนจบไปได้ เพื่อที่จะให้มีรายรับเข้ามา ซึ่งช่วงที่เป็นหนี้บัตรเครดิตเยอะสุดก็ 20 ใบ ยอดหนี้รวมประมาณ 2 ล้าน หลังจากรู้ตัวแล้วผมใช้เวลาประมาณ 2 ปี หาเงินมาชำระจนหมด
ผมจึงอยากตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อแบ่งปันวิธีการ แชร์แนวคิด และแนวทางในการแก้ปัญหาหนี้บัตรเครดิต เพื่อที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังท้อหรือหาทางออกจากการเป็นหนี้ครับ
โดยผมจะแบ่งหัวข้อออกเป็นทั้งหมด 5 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
1. รู้ตัวเอง (ตรวจสอบยอดหนี้คงค้างทั้งหมด)
2. ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
3. ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
4. หารายได้เพิ่ม
5. ปิดหนี้บัตรทีละใบ
เพียง 5 ขั้นตอนเท่านั้น ไม่มาก ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย และมีความสำคัญทุกข้อ เพียงแค่พยายามทำความเข้าใจในแต่ละขั้นตอนแล้วทำแต่ละขั้นตอนอย่างจริงจัง แค่นั้นก็จะมีอิสระจากภาระหนี้ที่เราก่อขึ้นเอง สามารถจ่ายชำระหนี้และสามารถปิดยอดหนี้บัตรเครดิตได้หมดอย่างรวดเร็วครับ
มาเริ่มกันเลย !!!
1. รู้ตัวเอง (ตรวจสอบยอดหนี้คงค้างทั้งหมด)
มาเริ่มกันที่ข้อแรกเลยครับ เรื่องนี้ผมเอามาเริ่มให้เป็นข้อแรกเลย เพราะการที่เราจะไปถึงจุดหมายได้ เราต้องรู้ว่าเป้าหมายเราอยู่ที่ไหน ซึ่งเป้าหมายของเราในที่นี้ก็คือการที่จะปิดหนี้บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดที่เรามีทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่เราต้องรู้เริ่มแรกเลยมีดังนี้ครับ
- เรามีหนี้บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดอยู่ทั้งหมดกี่ใบ วงเงินเท่าไร
- แต่ละใบมีหนี้คงค้างทั้งหมดเท่าไร
- แต่ละใบต้องจ่ายชำระหนี้วันไหน
- บัตรแต่ละใบ ต้องจ่ายเต็มจำนวนเท่าไร และจ่ายขั้นต่ำเท่าไร
- ดอกเบี้ยบัตรแต่ละใบ มีอัตราดอกเบี้ยต่อปีเท่าไร
ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่มีหนี้บัตรหลายๆใบ จำไม่ได้หรือไม่รู้ตัวด้วยว่าหนี้รวมทั้งหมดที่เราเป็นหนี้อยู่มีทั้งหมดเท่าไร ถ้าเราไม่ได้ตั้งสติ นั่งตามขั้นตอนข้างต้นมาก่อน
ผมคนนึงแหละในช่วงที่พีคสุดๆ เป็นหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด 20 ใบ เอาง่ายๆคือจำไม่ได้เลยว่ามีใบไหนบ้างหรือว่าใช้ใบไหนไปบ้าง ส่วนใหญ่จะจำได้แค่ใบหลักๆที่เราใช้บ่อยๆ แต่ใบอื่นๆที่ไม่ค่อยได้ใช้ก็จะจำไม่ได้ จนบางครั้งธนาคารโทรมาทวงถามให้จ่ายชำระหนี้ เราก็งงว่าใช้อะไรไปตอนไหน จนต้องมานั่งย้อนดูยอดใช้จ่ายตามสลิปที่เก็บไว้ก็รู้ว่าเราใช้จริงๆนะ
ขั้นตอนแรกนี้เป็นขั้นตอนที่วัดใจมาก เพราะขั้นตอนนี้เราจะทราบความจริง (ที่เราไม่อยากจะรู้) ว่าตอนนี้เรามีหนี้บัตรเครดิตทั้งหมดเท่าไร
ตอนนั้นผมใช้เวลา 1 วันนั่งทบทวนตัวเองดูว่าเรามีหนี้บัตรเครดิตทั้งหมดเท่าไร ทำการจดบันทึกข้อมูลของบัตรเครดิตทุกใบลงบน Excel File โดยระบุข้อมูลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลธนาคาร วงเงินบัตรเท่าไร หนี้ที่ค้างอยู่ในบัตรนั้นเท่าไร ต้องจ่ายวันไหน จ่ายขั้นต่ำเท่าไร และดอกเบี้ยบัตรกี่ % ต่อปี
เมื่อนั่งทบทวนจนหมดแล้วผลที่ได้ก็คือตกใจสิครับ 555 นี่เราเครดิตดีจนมีหนี้ได้ขนาดนี้เลยเหรอครับ ตอนนั้นเบ็ดเสร็จแล้วก็ยังไม่ถึง 2 ล้านนะครับ รวมแล้วก็ประมาณ 1.5 ล้าน และต้องจ่ายขั้นต่ำต่อเดือนประมาณแสนกว่าบาท เห็นข้อมูลแล้วทีแรกก็ท้อเหมือนกันนะ จะจ่ายยังไงหมด เดือนๆนึงรายรับจากเงินเดือนรวมจากธุรกิจที่ทำไปก็ไม่พอ แถมบางเดือนก็ต้องกดบัตรกดเงินสดมาจ่ายบัตรใบอื่น เพื่อที่จะไม่ให้เรามียอดค้างชำระ เพราะจะทำให้มีประวัติเสียในเครดิตบูโร ซึ่งข้อนี้ผมให้ความสำคัญมาก เพราะว่าจะต้องใช้เครดิตในการกู้เงินทำธุรกิจในอนาคตต่อไป
*** ขั้นตอนนี้ถ้าใครกลัวเขียนยอดหนี้ของตัวเองออกมาไม่หมด เราสามารถเช็คข้อมูลจากเครดิตบูโรได้ครับ ค่าใช้จ่าย 150 บ. สามารถขอข้อมูลได้ทางตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย ใช้เวลาส่งเอกสารประมาณ 1-2 สัปดาห์ครับ จะเห็นยอดเงินกู้ที่เราเป็นหนี้บัตรเครดิต หรือการกู้อื่นๆเช่น บ้าน รถยนต์ กับธนาคารทั้งหมด ยกเว้นกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาครับ
2. ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
หลังจากที่เรารู้ยอดหนี้ของเราแล้วว่ามีหนี้ทั้งหมดเท่าไร ต้องจ่ายต่อเดือนเท่าไร ต้องจ่ายวันไหนบ้าง ทีนี้ปัญหาต่อไปก็คือจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายเค้านี่สิครับ ขั้นตอนนี้เราก็กลับมานั่งกรอกข้อมูลลงบน Excel เหมือนเดิม กรอกไปเลยครับว่าเดือนๆนึงเรามีรายรับจากทางไหนบ้าง จำนวนเท่าไรต่อเดือน สำหรับใครที่ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ประจำวันของตัวเองในทุกๆวันอยู่แล้ว ก็ให้นำข้อมูลนั้นมาใช้ได้เลย ซึ่งข้อมูลการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันนี่เอง จะเป็นตัวที่จะบอกเราว่า สุดท้ายแล้ว ถ้าเรามีรายรับต่อเดือนเท่านี้แล้วหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จำเป็น (ไม่รวมหนี้บัตรเครดิตนะครับ) แล้วเราจะเหลือเงินเท่าไรในการใช้หนี้บัตรเครดิต
3. ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
หลังจากรู้แล้วว่าเงินไม่พอที่จะจ่ายบัตรเครดิตในทุกๆเดือน ผมก็เริ่มทำการลดค่าใช้จ่ายต่อเดือนของผมลงมาเอง โดยวิธีการลดค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองลงไปเช่น กินเที่ยวน้อยลง ปาร์ตี้น้อยลง เวลาเพื่อนชวนไปเที่ยวตามร้านเหล้าก็จะบอกว่าติดงานบ้าง ไม่สบายบ้าง เพราะการดื่มเหล้าแต่ละครั้งก็จะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 500-1000 บ. แต่โดยรวมเดือนๆหนึ่งก็มีไม่กี่ครั้ง ซึ่งมันทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงมาแค่หลักพัน ไม่ถึงหลักหมื่น เงินที่เหลืออยู่ก็ไม่สามารถที่จะเพียงพอต่อการชำระบัตรเครดิตอยู่ดี ช่วงนั้นผมยังคงต้องใช้บัตรกดเงินสดเพื่อที่จะเอามาชำระหนี้บางตัวที่ครบกำหนดอยู่ ก็ยิ่งทำให้ภาระหนี้ของผมเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งผมคิดว่าถ้าทำแบบนี้แล้วก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาหนี้ทั้งหมดได้อยู่ดี ก็เลยต้องมาคิดหาวิธีการที่จะหาเงินเพิ่มโดยการเริ่มทำธุรกิจเพื่อหารายได้เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง
4. หารายได้เพิ่ม
เมื่อรายรับไม่พอต้องทำยังไงล่ะ... หารายได้เพิ่มสิครับ
ตอนนั้นผมจะตั้ง deadline ไว้เลยนะครับว่า ธุรกิจใหม่จะต้องเริ่มกิจการให้ได้ภายในวันที่เรากำหนดนี้เท่านั้น ไม่ว่าอะไรจะพร้อมหรือไม่พร้อมก็ตาม ตอนนั้นเอาตรงๆเลยไม่มีอะไรที่พร้อมเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินลงทุน ทีมงาน หรืออะไรอื่นๆอีกหลายอย่าง จนเพื่อนๆบางคนบอกกับเราเองเลยว่า ไม่มีอะไรที่พร้อม อย่าเพิ่งเปิดเลยดีกว่า ตอนนั้นเอาจริงๆก็หมดกำลังใจเหมือนกันนะครับ แต่ทำยังไงได้ ลงทุนไปก็เยอะแล้ว ไม่เปิดก็ไม่มีเงินเข้ามา มีแต่เงินที่จะต้องจ่ายออกอย่างเดียว ยังไงก็ต้องเปิดให้ได้ครับ จนในที่สุดเราก็เปิดกิจการในธุรกิจใหม่แบบว่าไม่มีอะไรพร้อมเลย ที่เปิดตอนนั้นเพราะว่าถึง deadline ที่จะต้องเปิดและต้องการเงินรายรับเข้ามาประคองชีวิตแล้วจริงๆ ถามว่าตอนนั้นเป็นหนี้อยู่แล้วเอาเงินที่ไหนมาสร้างธุรกิจใหม่ ก็ไม่ยากครับ เงินจากบัตรกดเงินสดนี่แหละครับ 555 ง่ายดี ตอนนั้นผมใช้เงินทำธุรกิจใหม่ไปประมาณ 5 แสน จึงเป็นสาเหตุทำให้หนี้บัตรเครดิตผมเพิ่มขึ้นมาจากเดิมที่ 1.5 ล้าน มาเป็น 2 ล้านอย่างรวดเร็ว
ช่วงแรกๆธุรกิจก็ไปได้ไม่ดีอย่างที่เราคิดไว้ คำพูดหลายๆคำจากเสียงรอบข้าง คำสบประมาทจากผู้คนที่คอยบั่นทอนกำลังใจ มันก้องเข้ามาอยู่ในหัวเรื่อยๆ หลายๆครั้งบางความคิดก็กลับมาคิดว่าเราไม่น่ารีบเกินไปเลย แต่บางความคิดก็ปลอบตัวเองว่าดีนะที่ได้เริ่มทำแล้ว มันก็ยังมีโอกาสกลับมาสร้างรายได้ให้เราขึ้นมาอีก อย่างน้อยระหว่างนี้ก็ยังได้เรียนรู้จากความผิดพลาดหลายๆอย่าง ได้ลองแก้ปัญหาต่างๆมากมายที่เราไม่เคยพบเจอ
จนกระทั่ง 1 ปีผ่านไป เหมือนเป็นเวลาที่นานมากๆ ที่เราได้ลองผิดลองถูก ล้มลุกคลุกคลานกับธุรกิจใหม่ คอยประคองตัวเองจากภาระหนี้โดยใช้เงินเดือนและเงินรายได้จากกิจการแรกที่ทำไว้ คอยประคับประคองตัวเองมานาน แต่หลังจากเปิดกิจการในธุรกิจใหม่ได้ 1 ปี ช่วงนั้นลูกค้าเริ่มเข้ามาเยอะมากขึ้น และมากขึ้นๆเรื่อยๆ จนในที่สุดเราเริ่มกลับมามีกำไรเพิ่มมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆมาทุกๆเดือน จนในที่สุดก็สามารถสร้างรายได้ที่เป็นกำไรที่มากกว่าเงินเดือนจากงานประจำที่ทำอยู่ ซึ่งผมสามารถนำกำไรมาช่วยจ่ายหนี้บัตรเครดิตได้มากขึ้นในทุกๆเดือน
โดยวิธีการจ่ายหนี้บัตรที่สำคัญที่สุดของผมอีกอย่างก็คือ การเลือกชำระหนี้ทุกใบเพื่อไม่ให้ติดเสียประวัติในเครดิตบูโร และทำการปิดบัตรทีละใบ ผมมีวิธีการเลือกยังไง ผมจะอธิบายในหัวข้อต่อไปครับ
5.ปิดหนี้บัตรทีละใบ
เมื่อมีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว พอหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่ากินอยู่ และอื่นๆที่จะต้องจ่ายอยู่แล้ว ทีนี้เหลือเท่าไรก็จะต้องนำเงินที่เหลือนี้ไปจ่ายหนี้บัตรเครดิตทีละใบ ซึ่งวิธีการเลือกปิดผมจะดูตามนี้ครับ
- ดูจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดก่อน ถ้ารายการไหนดอกเบี้ยสูงสุด ให้จ่ายไปที่บัตรใบนั้นให้มากที่สุดก่อน ส่วนที่เหลือให้จ่ายขั้นต่ำ
- พยายามปิดบัตรที่เราสามารถปิดได้ไวที่สุดก่อน โดยดูจากยอดหนี้ที่เหลือค้างน้อยที่สุด
ผมใช้แค่ 2 วิธีแค่นี้ในการเลือกปิดบัตรเครดิต แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเงินของแต่ละบุคคลด้วยนะครับ ซึ่งบางจังหวะเรามีเงินก้อนใหญ่เข้ามาและสามารถที่จะปิดยอดไหนไปได้ก่อนถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะต่ำกว่าไม่มากนัก ก็ให้ทำการปิดได้เลย เพราะจะได้เหลือจำนวนธนาคารที่เราเป็นหนี้อยู่น้อยลงไปอย่างรวดเร็วครับ ไม่ต้องทำขั้นตอนที่ 1 ก่อนจนหมดแล้วถึงทำขั้นตอนที่ 2 เสมอไปครับ ทำขั้นไหนก่อนก็ได้แล้วแต่สถานการณ์ครับ
ให้ทำแค่ 2 วิธีนี้ไปเรื่อยๆ โดยมีข้อแม้ว่าต้องไม่ไปก่อหนี้เพิ่มขึ้นมาอีก หรือหากจำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่มจริงๆก็ให้เอาหนี้ก้อนใหม่เข้ามาทำการคิดในตารางรายการบัตรเครดิตของเราแล้วก็ทำตามวิธีการเลือกปิดบัตรจนสามารถปิดได้ครบหมดไปครับ
ทีนี้หลายๆคนคงอยากทราบวิธีการคิดดอกเบี้ยเพื่อเปรียบเทียบกันว่าบัตรไหนจ่ายดอกเบี้ยวันละเท่าไรบ้าง ให้ลองคิดตามนี้ครับ
เช่น เงินต้น 300,000 บ. อัตราดอกเบี้ย 18% ต่อปี จะเสียดอกเบี้ยวันละเท่าไร
วิธีคิด เงินต้น 300,000 บ. อัตราดอกเบี้ย 18% ต่อปี ถ้ากู้ 1 ปี (365 วัน) จะเสียดอกเบี้ย = 300,000x18% = 54,000 บ.
ดังนั้น ถ้ากู้แค่ 1 วันจะเสียดอกเบี้ย (300,000x18%)/365 = 147.945 บ./วัน
ถ้าหากกู้ 25 วัน จากยอดเงินต้น 300,000 บ. อัตราดอกเบี้ย 18% ต่อปี จะเสียดอกเบี้ย = 147.945x25 = 3,698.625 บ. ครับ
ลองเอาไปคำนวนกันดูได้ครับผม
ตอนนี้ผมได้ทำการปิดหนี้บัตรเครดิตไปจนหมดแล้ว และผลลัพธ์ที่ได้จากการปิดบัตรไม่ได้แค่ไม่มีหนี้เท่านั้น แต่ยังมีรายได้ที่ได้รับเพิ่มมากขึ้นจากกิจการที่เราได้ทำไว้ ซึ่งมากกว่ารายได้จากงานประจำที่ได้รับอีกด้วยครับ
และหลังจากที่ปิดบัตรไปจนหมดแล้ว "ตอนนี้ผมมีเงินเก็บถึงหลักล้านแล้วครับ"
สุดท้ายนี้ผมยกเครดิตให้กับ หนังสือ”เปลี่ยนหนี้เป็นอิสรภาพทางการเงิน” โดย โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์ ซึ่งผมได้ใช้หลายๆแนวคิดที่ได้จากในหนังสือเล่มนี้ มาช่วยทำให้สามารถปลดหนี้ได้จนหมดครับ
แชร์ประสบการณ์ปลดหนี้บัตรเครดิต 2 ล้านใน 2 ปี จนมีเงินเก็บหลักล้าน (ฉบับมนุษย์เงินเดือน)
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ผมก็เคยประสบปัญหาเช่นนั้นมาก่อน และสามารถที่จะแก้ปัญหาไปทีละขั้น จนสามารถที่จะปิดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด 20 ใบ ประมาณ 2 ล้านบาทได้ภายใน 2 ปี
ช่วงก่อร่างสร้างตัวและสร้างหนี้ไปด้วย ช่วงนั้นก็ประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว หนี้ก้อนนี้เกิดขึ้นเกิดจากการลงทุนที่ต้องใช้เงินเกินจากเงินสดที่เรามีอยู่ จึงจำเป็นที่จะต้องใช้บัตรเครดิตทั้งหมดเพื่อให้โปรเจคดำเนินการจนจบไปได้ เพื่อที่จะให้มีรายรับเข้ามา ซึ่งช่วงที่เป็นหนี้บัตรเครดิตเยอะสุดก็ 20 ใบ ยอดหนี้รวมประมาณ 2 ล้าน หลังจากรู้ตัวแล้วผมใช้เวลาประมาณ 2 ปี หาเงินมาชำระจนหมด
ผมจึงอยากตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อแบ่งปันวิธีการ แชร์แนวคิด และแนวทางในการแก้ปัญหาหนี้บัตรเครดิต เพื่อที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังท้อหรือหาทางออกจากการเป็นหนี้ครับ
โดยผมจะแบ่งหัวข้อออกเป็นทั้งหมด 5 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
1. รู้ตัวเอง (ตรวจสอบยอดหนี้คงค้างทั้งหมด)
2. ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
3. ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
4. หารายได้เพิ่ม
5. ปิดหนี้บัตรทีละใบ
เพียง 5 ขั้นตอนเท่านั้น ไม่มาก ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย และมีความสำคัญทุกข้อ เพียงแค่พยายามทำความเข้าใจในแต่ละขั้นตอนแล้วทำแต่ละขั้นตอนอย่างจริงจัง แค่นั้นก็จะมีอิสระจากภาระหนี้ที่เราก่อขึ้นเอง สามารถจ่ายชำระหนี้และสามารถปิดยอดหนี้บัตรเครดิตได้หมดอย่างรวดเร็วครับ
มาเริ่มกันเลย !!!
1. รู้ตัวเอง (ตรวจสอบยอดหนี้คงค้างทั้งหมด)
มาเริ่มกันที่ข้อแรกเลยครับ เรื่องนี้ผมเอามาเริ่มให้เป็นข้อแรกเลย เพราะการที่เราจะไปถึงจุดหมายได้ เราต้องรู้ว่าเป้าหมายเราอยู่ที่ไหน ซึ่งเป้าหมายของเราในที่นี้ก็คือการที่จะปิดหนี้บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดที่เรามีทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่เราต้องรู้เริ่มแรกเลยมีดังนี้ครับ
- เรามีหนี้บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดอยู่ทั้งหมดกี่ใบ วงเงินเท่าไร
- แต่ละใบมีหนี้คงค้างทั้งหมดเท่าไร
- แต่ละใบต้องจ่ายชำระหนี้วันไหน
- บัตรแต่ละใบ ต้องจ่ายเต็มจำนวนเท่าไร และจ่ายขั้นต่ำเท่าไร
- ดอกเบี้ยบัตรแต่ละใบ มีอัตราดอกเบี้ยต่อปีเท่าไร
ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่มีหนี้บัตรหลายๆใบ จำไม่ได้หรือไม่รู้ตัวด้วยว่าหนี้รวมทั้งหมดที่เราเป็นหนี้อยู่มีทั้งหมดเท่าไร ถ้าเราไม่ได้ตั้งสติ นั่งตามขั้นตอนข้างต้นมาก่อน
ผมคนนึงแหละในช่วงที่พีคสุดๆ เป็นหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด 20 ใบ เอาง่ายๆคือจำไม่ได้เลยว่ามีใบไหนบ้างหรือว่าใช้ใบไหนไปบ้าง ส่วนใหญ่จะจำได้แค่ใบหลักๆที่เราใช้บ่อยๆ แต่ใบอื่นๆที่ไม่ค่อยได้ใช้ก็จะจำไม่ได้ จนบางครั้งธนาคารโทรมาทวงถามให้จ่ายชำระหนี้ เราก็งงว่าใช้อะไรไปตอนไหน จนต้องมานั่งย้อนดูยอดใช้จ่ายตามสลิปที่เก็บไว้ก็รู้ว่าเราใช้จริงๆนะ
ขั้นตอนแรกนี้เป็นขั้นตอนที่วัดใจมาก เพราะขั้นตอนนี้เราจะทราบความจริง (ที่เราไม่อยากจะรู้) ว่าตอนนี้เรามีหนี้บัตรเครดิตทั้งหมดเท่าไร
ตอนนั้นผมใช้เวลา 1 วันนั่งทบทวนตัวเองดูว่าเรามีหนี้บัตรเครดิตทั้งหมดเท่าไร ทำการจดบันทึกข้อมูลของบัตรเครดิตทุกใบลงบน Excel File โดยระบุข้อมูลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลธนาคาร วงเงินบัตรเท่าไร หนี้ที่ค้างอยู่ในบัตรนั้นเท่าไร ต้องจ่ายวันไหน จ่ายขั้นต่ำเท่าไร และดอกเบี้ยบัตรกี่ % ต่อปี
เมื่อนั่งทบทวนจนหมดแล้วผลที่ได้ก็คือตกใจสิครับ 555 นี่เราเครดิตดีจนมีหนี้ได้ขนาดนี้เลยเหรอครับ ตอนนั้นเบ็ดเสร็จแล้วก็ยังไม่ถึง 2 ล้านนะครับ รวมแล้วก็ประมาณ 1.5 ล้าน และต้องจ่ายขั้นต่ำต่อเดือนประมาณแสนกว่าบาท เห็นข้อมูลแล้วทีแรกก็ท้อเหมือนกันนะ จะจ่ายยังไงหมด เดือนๆนึงรายรับจากเงินเดือนรวมจากธุรกิจที่ทำไปก็ไม่พอ แถมบางเดือนก็ต้องกดบัตรกดเงินสดมาจ่ายบัตรใบอื่น เพื่อที่จะไม่ให้เรามียอดค้างชำระ เพราะจะทำให้มีประวัติเสียในเครดิตบูโร ซึ่งข้อนี้ผมให้ความสำคัญมาก เพราะว่าจะต้องใช้เครดิตในการกู้เงินทำธุรกิจในอนาคตต่อไป
*** ขั้นตอนนี้ถ้าใครกลัวเขียนยอดหนี้ของตัวเองออกมาไม่หมด เราสามารถเช็คข้อมูลจากเครดิตบูโรได้ครับ ค่าใช้จ่าย 150 บ. สามารถขอข้อมูลได้ทางตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย ใช้เวลาส่งเอกสารประมาณ 1-2 สัปดาห์ครับ จะเห็นยอดเงินกู้ที่เราเป็นหนี้บัตรเครดิต หรือการกู้อื่นๆเช่น บ้าน รถยนต์ กับธนาคารทั้งหมด ยกเว้นกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาครับ
2. ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
หลังจากที่เรารู้ยอดหนี้ของเราแล้วว่ามีหนี้ทั้งหมดเท่าไร ต้องจ่ายต่อเดือนเท่าไร ต้องจ่ายวันไหนบ้าง ทีนี้ปัญหาต่อไปก็คือจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายเค้านี่สิครับ ขั้นตอนนี้เราก็กลับมานั่งกรอกข้อมูลลงบน Excel เหมือนเดิม กรอกไปเลยครับว่าเดือนๆนึงเรามีรายรับจากทางไหนบ้าง จำนวนเท่าไรต่อเดือน สำหรับใครที่ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ประจำวันของตัวเองในทุกๆวันอยู่แล้ว ก็ให้นำข้อมูลนั้นมาใช้ได้เลย ซึ่งข้อมูลการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันนี่เอง จะเป็นตัวที่จะบอกเราว่า สุดท้ายแล้ว ถ้าเรามีรายรับต่อเดือนเท่านี้แล้วหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จำเป็น (ไม่รวมหนี้บัตรเครดิตนะครับ) แล้วเราจะเหลือเงินเท่าไรในการใช้หนี้บัตรเครดิต
3. ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
หลังจากรู้แล้วว่าเงินไม่พอที่จะจ่ายบัตรเครดิตในทุกๆเดือน ผมก็เริ่มทำการลดค่าใช้จ่ายต่อเดือนของผมลงมาเอง โดยวิธีการลดค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองลงไปเช่น กินเที่ยวน้อยลง ปาร์ตี้น้อยลง เวลาเพื่อนชวนไปเที่ยวตามร้านเหล้าก็จะบอกว่าติดงานบ้าง ไม่สบายบ้าง เพราะการดื่มเหล้าแต่ละครั้งก็จะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 500-1000 บ. แต่โดยรวมเดือนๆหนึ่งก็มีไม่กี่ครั้ง ซึ่งมันทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงมาแค่หลักพัน ไม่ถึงหลักหมื่น เงินที่เหลืออยู่ก็ไม่สามารถที่จะเพียงพอต่อการชำระบัตรเครดิตอยู่ดี ช่วงนั้นผมยังคงต้องใช้บัตรกดเงินสดเพื่อที่จะเอามาชำระหนี้บางตัวที่ครบกำหนดอยู่ ก็ยิ่งทำให้ภาระหนี้ของผมเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งผมคิดว่าถ้าทำแบบนี้แล้วก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาหนี้ทั้งหมดได้อยู่ดี ก็เลยต้องมาคิดหาวิธีการที่จะหาเงินเพิ่มโดยการเริ่มทำธุรกิจเพื่อหารายได้เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง
4. หารายได้เพิ่ม
เมื่อรายรับไม่พอต้องทำยังไงล่ะ... หารายได้เพิ่มสิครับ
ตอนนั้นผมจะตั้ง deadline ไว้เลยนะครับว่า ธุรกิจใหม่จะต้องเริ่มกิจการให้ได้ภายในวันที่เรากำหนดนี้เท่านั้น ไม่ว่าอะไรจะพร้อมหรือไม่พร้อมก็ตาม ตอนนั้นเอาตรงๆเลยไม่มีอะไรที่พร้อมเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินลงทุน ทีมงาน หรืออะไรอื่นๆอีกหลายอย่าง จนเพื่อนๆบางคนบอกกับเราเองเลยว่า ไม่มีอะไรที่พร้อม อย่าเพิ่งเปิดเลยดีกว่า ตอนนั้นเอาจริงๆก็หมดกำลังใจเหมือนกันนะครับ แต่ทำยังไงได้ ลงทุนไปก็เยอะแล้ว ไม่เปิดก็ไม่มีเงินเข้ามา มีแต่เงินที่จะต้องจ่ายออกอย่างเดียว ยังไงก็ต้องเปิดให้ได้ครับ จนในที่สุดเราก็เปิดกิจการในธุรกิจใหม่แบบว่าไม่มีอะไรพร้อมเลย ที่เปิดตอนนั้นเพราะว่าถึง deadline ที่จะต้องเปิดและต้องการเงินรายรับเข้ามาประคองชีวิตแล้วจริงๆ ถามว่าตอนนั้นเป็นหนี้อยู่แล้วเอาเงินที่ไหนมาสร้างธุรกิจใหม่ ก็ไม่ยากครับ เงินจากบัตรกดเงินสดนี่แหละครับ 555 ง่ายดี ตอนนั้นผมใช้เงินทำธุรกิจใหม่ไปประมาณ 5 แสน จึงเป็นสาเหตุทำให้หนี้บัตรเครดิตผมเพิ่มขึ้นมาจากเดิมที่ 1.5 ล้าน มาเป็น 2 ล้านอย่างรวดเร็ว
ช่วงแรกๆธุรกิจก็ไปได้ไม่ดีอย่างที่เราคิดไว้ คำพูดหลายๆคำจากเสียงรอบข้าง คำสบประมาทจากผู้คนที่คอยบั่นทอนกำลังใจ มันก้องเข้ามาอยู่ในหัวเรื่อยๆ หลายๆครั้งบางความคิดก็กลับมาคิดว่าเราไม่น่ารีบเกินไปเลย แต่บางความคิดก็ปลอบตัวเองว่าดีนะที่ได้เริ่มทำแล้ว มันก็ยังมีโอกาสกลับมาสร้างรายได้ให้เราขึ้นมาอีก อย่างน้อยระหว่างนี้ก็ยังได้เรียนรู้จากความผิดพลาดหลายๆอย่าง ได้ลองแก้ปัญหาต่างๆมากมายที่เราไม่เคยพบเจอ
จนกระทั่ง 1 ปีผ่านไป เหมือนเป็นเวลาที่นานมากๆ ที่เราได้ลองผิดลองถูก ล้มลุกคลุกคลานกับธุรกิจใหม่ คอยประคองตัวเองจากภาระหนี้โดยใช้เงินเดือนและเงินรายได้จากกิจการแรกที่ทำไว้ คอยประคับประคองตัวเองมานาน แต่หลังจากเปิดกิจการในธุรกิจใหม่ได้ 1 ปี ช่วงนั้นลูกค้าเริ่มเข้ามาเยอะมากขึ้น และมากขึ้นๆเรื่อยๆ จนในที่สุดเราเริ่มกลับมามีกำไรเพิ่มมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆมาทุกๆเดือน จนในที่สุดก็สามารถสร้างรายได้ที่เป็นกำไรที่มากกว่าเงินเดือนจากงานประจำที่ทำอยู่ ซึ่งผมสามารถนำกำไรมาช่วยจ่ายหนี้บัตรเครดิตได้มากขึ้นในทุกๆเดือน
โดยวิธีการจ่ายหนี้บัตรที่สำคัญที่สุดของผมอีกอย่างก็คือ การเลือกชำระหนี้ทุกใบเพื่อไม่ให้ติดเสียประวัติในเครดิตบูโร และทำการปิดบัตรทีละใบ ผมมีวิธีการเลือกยังไง ผมจะอธิบายในหัวข้อต่อไปครับ
5.ปิดหนี้บัตรทีละใบ
เมื่อมีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว พอหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่ากินอยู่ และอื่นๆที่จะต้องจ่ายอยู่แล้ว ทีนี้เหลือเท่าไรก็จะต้องนำเงินที่เหลือนี้ไปจ่ายหนี้บัตรเครดิตทีละใบ ซึ่งวิธีการเลือกปิดผมจะดูตามนี้ครับ
- ดูจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดก่อน ถ้ารายการไหนดอกเบี้ยสูงสุด ให้จ่ายไปที่บัตรใบนั้นให้มากที่สุดก่อน ส่วนที่เหลือให้จ่ายขั้นต่ำ
- พยายามปิดบัตรที่เราสามารถปิดได้ไวที่สุดก่อน โดยดูจากยอดหนี้ที่เหลือค้างน้อยที่สุด
ผมใช้แค่ 2 วิธีแค่นี้ในการเลือกปิดบัตรเครดิต แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเงินของแต่ละบุคคลด้วยนะครับ ซึ่งบางจังหวะเรามีเงินก้อนใหญ่เข้ามาและสามารถที่จะปิดยอดไหนไปได้ก่อนถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะต่ำกว่าไม่มากนัก ก็ให้ทำการปิดได้เลย เพราะจะได้เหลือจำนวนธนาคารที่เราเป็นหนี้อยู่น้อยลงไปอย่างรวดเร็วครับ ไม่ต้องทำขั้นตอนที่ 1 ก่อนจนหมดแล้วถึงทำขั้นตอนที่ 2 เสมอไปครับ ทำขั้นไหนก่อนก็ได้แล้วแต่สถานการณ์ครับ
ให้ทำแค่ 2 วิธีนี้ไปเรื่อยๆ โดยมีข้อแม้ว่าต้องไม่ไปก่อหนี้เพิ่มขึ้นมาอีก หรือหากจำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่มจริงๆก็ให้เอาหนี้ก้อนใหม่เข้ามาทำการคิดในตารางรายการบัตรเครดิตของเราแล้วก็ทำตามวิธีการเลือกปิดบัตรจนสามารถปิดได้ครบหมดไปครับ
ทีนี้หลายๆคนคงอยากทราบวิธีการคิดดอกเบี้ยเพื่อเปรียบเทียบกันว่าบัตรไหนจ่ายดอกเบี้ยวันละเท่าไรบ้าง ให้ลองคิดตามนี้ครับ
เช่น เงินต้น 300,000 บ. อัตราดอกเบี้ย 18% ต่อปี จะเสียดอกเบี้ยวันละเท่าไร
วิธีคิด เงินต้น 300,000 บ. อัตราดอกเบี้ย 18% ต่อปี ถ้ากู้ 1 ปี (365 วัน) จะเสียดอกเบี้ย = 300,000x18% = 54,000 บ.
ดังนั้น ถ้ากู้แค่ 1 วันจะเสียดอกเบี้ย (300,000x18%)/365 = 147.945 บ./วัน
ถ้าหากกู้ 25 วัน จากยอดเงินต้น 300,000 บ. อัตราดอกเบี้ย 18% ต่อปี จะเสียดอกเบี้ย = 147.945x25 = 3,698.625 บ. ครับ
ลองเอาไปคำนวนกันดูได้ครับผม
ตอนนี้ผมได้ทำการปิดหนี้บัตรเครดิตไปจนหมดแล้ว และผลลัพธ์ที่ได้จากการปิดบัตรไม่ได้แค่ไม่มีหนี้เท่านั้น แต่ยังมีรายได้ที่ได้รับเพิ่มมากขึ้นจากกิจการที่เราได้ทำไว้ ซึ่งมากกว่ารายได้จากงานประจำที่ได้รับอีกด้วยครับ
และหลังจากที่ปิดบัตรไปจนหมดแล้ว "ตอนนี้ผมมีเงินเก็บถึงหลักล้านแล้วครับ"
สุดท้ายนี้ผมยกเครดิตให้กับ หนังสือ”เปลี่ยนหนี้เป็นอิสรภาพทางการเงิน” โดย โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์ ซึ่งผมได้ใช้หลายๆแนวคิดที่ได้จากในหนังสือเล่มนี้ มาช่วยทำให้สามารถปลดหนี้ได้จนหมดครับ