เรามีอยากบอกเราและสอบถามด้วย คือ เราจะพูดรุ่นน้องที่เรียนมหาลัยมาด้วยกัน ห่างกันประมาณสองปี
เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อสมัยตอนเรียน น้องเป็นคนที่ไม่แต่งตัว เป็นเด็กเนิร์ด เรียนเก่ง เป็นคนเงียบๆเข้ากับคนยาก และที่สำคัญไม่ยอมคน และมักจะโดนคนอื่น บูลลี่ประจำ ทั้งเบาและหนักตามแต่คนบูลลี่ แต่น้องไม่ยอม และเถียง แต่สุดท้ายพอโดนมากๆเข้าน้องก็จะกลายเป็นคนเงียบๆไป ส่วนใหญ่ที่ล้อเลียนก็จะมีแต่เรื่องน้องแต่งตัวเรียบร้อยแต่น้องสิวเยอะ ใช้ของราคาถูก เช่นตอนสมัยเรียนเพื่อนรุ่นของน้องชอบเหยียดอ้อมๆ(รวมถึงเพื่อนรุ่นเรา)ว่าน้องนิสัยแปลกๆ (ทั้งที่น้องก็แค่ชอบอ่านหนังสือ) แล้วก็เอาไปล้อกันว่าไม่มีเพื่อน และน้องก็เป็นคนใช้ของประหยัดเช่น สมัยเรียนมหาลัย น้องมักจะขึ้นรถเมย์กลับบ้าน ไม่มีรถขับ ไม่ค่อยแต่งตัว คนเอาไปล้อเอานินทาลับหลัง และเรื่องที่หนักที่สุดที่น้องเจอในมหาลัย คือน้องโดนเพื่อนหญิงที่หน้าตาดีกับเพื่อนในกลุ่มอีกสองคนเอาเปรียบโดยเอาน้องไปอยู่ในงานกลุ่ม และใช้ให้น้องทำคนเดียว พอน้องโวยวายไม่ใส่ชื่อเพื่อน ทุกคนในกลุ่มก็ไปรุมด่าน้อง เราย้อนคิดกลับไปตอนนั้นเราเป็นรุ่นพี่ไม่กี่คนที่เข้าข้างน้องนะคะในตอนนั้น แต่อีกหลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมอคติเข้าข้างอริไปได้ โดยชอบให้เหตุผลว่าเรื่องแค่นี้เอง ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะส่วนใหญ่ที่เข้าข้างเพราะอริน้องมีคนหน้าตาดี พ่อแม่ฐานะดีในกลุ่ม เป็นเหมือนดาวของรุ่นในตอนนั้น อาจารย์ก็มาเคลียให้ แต่หลังจากนั้นมาน้องก็โดนแบนอย่างหนัก แต่น้องก็ยังเรียนจบมาได้ ส่วนตัวในมุมมองเราตอนนั้นที่เรารู้จักน้องนิสัยดีนะคะ ถ้าเราไม่อคิติเลย น้องนิสัยดี Mind set ดีมาก แต่ด้วยความที่น้องอาจจะผู้ใหญ่เกินตัว และคิดแต่เรื่องเรียนเลยไม่ค่อยได้คุยกับใคร เราคุยกับน้องเค้าบ่อยค่ะ บางทีก็สงสารน้อง แต่ต้อนนั้นก็ยอมรับว่าเวลาน้องถูกรุ่นเราบูลลี่บางทีเราก็ไม่กล้าออกตัวช่วย เพราะเรากลัวเพื่อนสนิทเราที่ดีกับเรา (แต่อคติกับน้อง) แบนเราไปด้วย
อันนี้จบและแยกย้ายกันไป พอหลังจากห้าปีผ่านไป เรามาเจอน้องอีก แต่คนละบทบาทกัน คือเราทำงานที่ต้องเจอน้องบ่อยๆ น้องไปเรียนเมืองนอก และน้องดูแลตัวเอง ด้วยความที่น้องหน้าตาดีอยู่แล้ว กลายเป็นคนสวยทุกอย่าง สวยแบบมากๆจนคนต้องเหลียวหลังมอง หน้าที่การงานน้องก็ดีมาก เป็นที่ยอมรับในสังคมแม้แต่คนที่อายุมากกว่าคนละหน่วยงานยังให้เกียรติ์ยกมือไหว้เลย แต่เราได้รู้มาจากเพื่อนที่ทำงานกับน้อง (แต่ไม่เคยเรียนมหาลัยกับน้อง) บอกว่าน้องนิสัยดี เป็นคนตรงๆรักในความเป็นธรรมมาก เราก็เลยงงว่าอ้าว ทำไมตอนเรียนน้องก็แบบนี้ ทำไมคนเราไม่มองวะ มามองตนคนมีเกียรติ์ ฐานะดี หน้าที่การงานดี เลยยอมรับในสิ่งที่มันควรจะถูกยอมรับอยู่แล้วรึเปล่า ? แต่มันพีคตรงที่คนที่เคยเป็นอริกับน้องกลับต้องไปเป็นลูกน้องของน้องทั้งคนที่สวยและคนที่เป็นอริโดยตรง เพื่อนร่วมงานเราเล่าให้ฟังว่า ดันมีรุ่นน้องที่รู้เรื่องที่เค้าเคยพิพาทกันในอดีต ดันไปปากเสียเล่าให้คนที่ทำงานน้องซึ่งเป็นลูกน้องของน้องฟังว่าสองคนนี้เคยทะเลาะเรื่องงานกลุ่มสมัยมหาลัย คือทุกคนในที่ทำงานคราวนี้รุมด่านินทาสองคนนี้ใหญ่เลยค่ะ (จริงๆมันก็ควรจะเป็นแบบนั้นตั้งแต่แรกละเพราะเรื่องนั้นน้องถูก) คือเปลี่ยนเลย นอกจากนี้ คนสวยยังย้ายข้างไปอยู่ข้างน้องอีกว่า ตอนนั้นน่ะ เพื่อนมันชวนให้ไม่ทำงาน เราบอกให้จบแล้วไม่ยอมจบ ... เราก็งงว่าทำไมมันกลับตาลปัตรได้ขนาดนี้
แต่น้องกลับไม่ได้พูดอะไรออกมานะคะกับเรื่องนี้ แถมไม่ได้เอาเรื่องพวกนี้ไปรังแกสองคนนั้นที่เป็นลูกน้องตัวเองในปัจจุบันอีก เรามีโอกาสเจอน้อง ถามน้องว่ารู้สึกยังไงกับปัจจุบัน น้องบอกว่าทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว แม้ผู้ถูกกระทำจะไม่ลืมแต่ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร
เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าคนเราจะได้รับความเป็นธรรม ทำไมบางครั้งมันต้องมีองค์ประกอบอื่น ถึงจะสามารถพูดให้คนอื่นเคารพสิทธิเราได้ ทั้งๆที่เราควรมองแค่ว่าเรื่องนี้มันถูกมันผิดคะ
คนเราบางคนจะได้รับความเป็นธรรม ทำไมบางเรื่องขึ้นอยู่กับเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องที่ทะเลาะกันคะ
เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อสมัยตอนเรียน น้องเป็นคนที่ไม่แต่งตัว เป็นเด็กเนิร์ด เรียนเก่ง เป็นคนเงียบๆเข้ากับคนยาก และที่สำคัญไม่ยอมคน และมักจะโดนคนอื่น บูลลี่ประจำ ทั้งเบาและหนักตามแต่คนบูลลี่ แต่น้องไม่ยอม และเถียง แต่สุดท้ายพอโดนมากๆเข้าน้องก็จะกลายเป็นคนเงียบๆไป ส่วนใหญ่ที่ล้อเลียนก็จะมีแต่เรื่องน้องแต่งตัวเรียบร้อยแต่น้องสิวเยอะ ใช้ของราคาถูก เช่นตอนสมัยเรียนเพื่อนรุ่นของน้องชอบเหยียดอ้อมๆ(รวมถึงเพื่อนรุ่นเรา)ว่าน้องนิสัยแปลกๆ (ทั้งที่น้องก็แค่ชอบอ่านหนังสือ) แล้วก็เอาไปล้อกันว่าไม่มีเพื่อน และน้องก็เป็นคนใช้ของประหยัดเช่น สมัยเรียนมหาลัย น้องมักจะขึ้นรถเมย์กลับบ้าน ไม่มีรถขับ ไม่ค่อยแต่งตัว คนเอาไปล้อเอานินทาลับหลัง และเรื่องที่หนักที่สุดที่น้องเจอในมหาลัย คือน้องโดนเพื่อนหญิงที่หน้าตาดีกับเพื่อนในกลุ่มอีกสองคนเอาเปรียบโดยเอาน้องไปอยู่ในงานกลุ่ม และใช้ให้น้องทำคนเดียว พอน้องโวยวายไม่ใส่ชื่อเพื่อน ทุกคนในกลุ่มก็ไปรุมด่าน้อง เราย้อนคิดกลับไปตอนนั้นเราเป็นรุ่นพี่ไม่กี่คนที่เข้าข้างน้องนะคะในตอนนั้น แต่อีกหลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมอคติเข้าข้างอริไปได้ โดยชอบให้เหตุผลว่าเรื่องแค่นี้เอง ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะส่วนใหญ่ที่เข้าข้างเพราะอริน้องมีคนหน้าตาดี พ่อแม่ฐานะดีในกลุ่ม เป็นเหมือนดาวของรุ่นในตอนนั้น อาจารย์ก็มาเคลียให้ แต่หลังจากนั้นมาน้องก็โดนแบนอย่างหนัก แต่น้องก็ยังเรียนจบมาได้ ส่วนตัวในมุมมองเราตอนนั้นที่เรารู้จักน้องนิสัยดีนะคะ ถ้าเราไม่อคิติเลย น้องนิสัยดี Mind set ดีมาก แต่ด้วยความที่น้องอาจจะผู้ใหญ่เกินตัว และคิดแต่เรื่องเรียนเลยไม่ค่อยได้คุยกับใคร เราคุยกับน้องเค้าบ่อยค่ะ บางทีก็สงสารน้อง แต่ต้อนนั้นก็ยอมรับว่าเวลาน้องถูกรุ่นเราบูลลี่บางทีเราก็ไม่กล้าออกตัวช่วย เพราะเรากลัวเพื่อนสนิทเราที่ดีกับเรา (แต่อคติกับน้อง) แบนเราไปด้วย
อันนี้จบและแยกย้ายกันไป พอหลังจากห้าปีผ่านไป เรามาเจอน้องอีก แต่คนละบทบาทกัน คือเราทำงานที่ต้องเจอน้องบ่อยๆ น้องไปเรียนเมืองนอก และน้องดูแลตัวเอง ด้วยความที่น้องหน้าตาดีอยู่แล้ว กลายเป็นคนสวยทุกอย่าง สวยแบบมากๆจนคนต้องเหลียวหลังมอง หน้าที่การงานน้องก็ดีมาก เป็นที่ยอมรับในสังคมแม้แต่คนที่อายุมากกว่าคนละหน่วยงานยังให้เกียรติ์ยกมือไหว้เลย แต่เราได้รู้มาจากเพื่อนที่ทำงานกับน้อง (แต่ไม่เคยเรียนมหาลัยกับน้อง) บอกว่าน้องนิสัยดี เป็นคนตรงๆรักในความเป็นธรรมมาก เราก็เลยงงว่าอ้าว ทำไมตอนเรียนน้องก็แบบนี้ ทำไมคนเราไม่มองวะ มามองตนคนมีเกียรติ์ ฐานะดี หน้าที่การงานดี เลยยอมรับในสิ่งที่มันควรจะถูกยอมรับอยู่แล้วรึเปล่า ? แต่มันพีคตรงที่คนที่เคยเป็นอริกับน้องกลับต้องไปเป็นลูกน้องของน้องทั้งคนที่สวยและคนที่เป็นอริโดยตรง เพื่อนร่วมงานเราเล่าให้ฟังว่า ดันมีรุ่นน้องที่รู้เรื่องที่เค้าเคยพิพาทกันในอดีต ดันไปปากเสียเล่าให้คนที่ทำงานน้องซึ่งเป็นลูกน้องของน้องฟังว่าสองคนนี้เคยทะเลาะเรื่องงานกลุ่มสมัยมหาลัย คือทุกคนในที่ทำงานคราวนี้รุมด่านินทาสองคนนี้ใหญ่เลยค่ะ (จริงๆมันก็ควรจะเป็นแบบนั้นตั้งแต่แรกละเพราะเรื่องนั้นน้องถูก) คือเปลี่ยนเลย นอกจากนี้ คนสวยยังย้ายข้างไปอยู่ข้างน้องอีกว่า ตอนนั้นน่ะ เพื่อนมันชวนให้ไม่ทำงาน เราบอกให้จบแล้วไม่ยอมจบ ... เราก็งงว่าทำไมมันกลับตาลปัตรได้ขนาดนี้
แต่น้องกลับไม่ได้พูดอะไรออกมานะคะกับเรื่องนี้ แถมไม่ได้เอาเรื่องพวกนี้ไปรังแกสองคนนั้นที่เป็นลูกน้องตัวเองในปัจจุบันอีก เรามีโอกาสเจอน้อง ถามน้องว่ารู้สึกยังไงกับปัจจุบัน น้องบอกว่าทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว แม้ผู้ถูกกระทำจะไม่ลืมแต่ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร
เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าคนเราจะได้รับความเป็นธรรม ทำไมบางครั้งมันต้องมีองค์ประกอบอื่น ถึงจะสามารถพูดให้คนอื่นเคารพสิทธิเราได้ ทั้งๆที่เราควรมองแค่ว่าเรื่องนี้มันถูกมันผิดคะ