สวัสดีครับ
ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ตอนนี้อายุ 25 ครับ จบสายวิศวะมาครับ สมัยเรียนมหาลัยแทบจะไม่มีพื้นฐานทางด้านภาษาเลย ถนัดแต่ทางด้านวิชาที่เป็น logic ซะส่วนใหญ่ Cal, Physics, strength of materials, Machine Design etc. เรียนแล้วเข้าใจได้ง่ายกว่าทางด้านศิลปะหรือด้านภาษามาก แต่ด้วยตำราที่ใช้เรียนส่วนใหญ่เป็น text book และเนื้อหาที่ใช้สอนส่วนใหญ่ก็จะเป็นอิ้งซะส่วนมาก พอจะหาแปลที่เป็นภาษาไทยก็อ่านไม่รู้เรื่องอีก แต่ก็พอทำได้บ้าง แต่สำหรับอิ้งแล้วนี่ปาดเหงื่อแทบทุกคาบ เกรดดีสุดๆที่ทำได้คือ C ทุ่มอ่านหนังสือและแบบฝึกหัดกว่าวิชาภาคซะอีก...
จุดเปลี่ยนอยู่ที่ปลายเทอม 2 ตอนปี 3 อาจารย์ต้องการนักศึกษาฝึกงานที่บริษัทแห่ง 1 ในชลบุรีเป็นบ.ฝรั่ง ผมเลยอยากลองไปฝึกงานในบ.ฝรั่งดูเพราะส่วนมากเพื่อนในคลาสจะไปบ.ญี่ปุ่นซะส่วนใหญ่ เลยค่อนข้างท้าทายเพราะอิ้งไม่ค่อยได้อยู่แล้วแต่ก็ดีขึ้นกว่าตอนปี 2 โชคดีที่ผมได้พี่เลี้ยงถึง 2 คน และพี่เค้าก็ดูแลผมดีมากๆ ในระหว่างที่ฝึกงานอยู่ ต้องฝึกพรีเซ้นอิ้งทุกวีคอัพเดทความคืบหน้าโปรเจคฝึกงานเรื่อยๆ มันเลยทำให้กระตุ้นให้ต้องฝึกพูดมากๆช่วงๆแรกค่อนข้างๆกดดัน เพราะถ้าพูดไม่ได้ก็ไม่ผ่านฝึกงาน ในระหว่างฝึกงานก็เตรียมตัวสอบ Toeic ไปด้วย เพราะคิดว่ายังไงต้องใช้สมัครงานแน่ๆเลยหาข้อมูลจากในพันทิปนี่แหละว่าจะอ่านเล่มไหนดีจนไปเจอเล่มของ ดร.นเรศ สุรสิทธิ์ เลยซื้อมาอ่านและทำแบบฝึกหัดในเล่มจนหมด ฝึกฟังในยูทุปเอา เพราะไม่อยากเสียเงินเรียน เพราะคิดว่ายังพอมีเวลาอยู่ ช่วงใกล้ๆจะจบฝึกงานก็เขียนและท่องสคริป พรีเซ้นจบโปรเจค เพราะศัพท์ยังอยู่ในหัวไม่มากแต่พัฒนาจากการหนังสือนี่แหละ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีเพราะบอสที่เป็นชาวต่างชาติเข้าใจ 5555 และการเตรียมตัวมาดีรวมถึงการคิดคำถามและคำตอบล่วงหน้าที่บอสอาจจะถาม 55555
หลังจบฝึกงานเข้าสู่ช่วงปี 4 รู้สึกว่าตัวเองได้อะไรมาเยอะพอสมควรจากที่ฝึกงาน และการกระตุ้นจากพี่เลี้ยงฝึกงานที่คอยดูแลมาอย่างดีทั้ง 2 ท่านนั้น แต่ก็ยังกล้าๆกลัวๆตอนเวลาคุยกับชาวต่างชาติอยู่ดี อย่างเช่น ตอนโดนถามทาง ผมเป็นพวก Introvert และปกติพูดน้อยอยู่แล้วหากไม่สนิทจึงพัฒนาช้ากว่าคนอื่นๆเลยคิดว่าต้องหาโอกาสเอาความกลัวนี่ออกไปให้ได้ จนไปเจอโครงการ WAT เลยคิดอยู่พักนึงแล้วก็ตัดสินใจปรึกษากับเอเจ้นที่เลือก และสัมภาษณ์ระดับภาษา ได้ระดับต่ำสุดมา 55555 เลยเลือกงาน Housekeeping ไป ระหว่างนั้นก็เตรียมตัวสัมภาษณ์งานกับนายจ้างโดยเขียนสคริปและฝึกพูดคนเดียวไปเรื่อยๆและไม่รู้จะไปฝึกกับใครแต่ก็มีกรุ๊ปแชทที่เอาไว้เล่นเกมกับฝรั่งเลยได้แต่พิมคุยในนั้น พอถึงช่วงปลายปีที่มหาลัยจัดสอบ Toeic เลยลองไปสอบเล่นๆดูในนามมหาลัยค่าใช้จ่ายเสียครึ่งนึง(750 บาท) แต่น่าจะไม่สามารถใช้ทำอะไรได้
พอมาถึงช่วงกำลังใกล้จะจบปี 4 ก็เปลี่ยนทุกอย่างรอบตัวให้เป็นอิ้งแทบจะทั้งหมด ทั้งการ Language setting บนมือถือ คอม โปรแกรมต่างๆ เกมที่เล่นก็เป็นเกมที่ต้องสื่อสารเป็นอิ้ง ปกติผมชอบฟังเพลงอิ้งอยู่แล้วแต่ฟังไปเพราะชอบไม่ได้รู้ความหมายทุกเพลงก็ก็ฟังๆไปแต่เริ่มแมทการออกเสียงกับคำมากขึ้น เดือนสุดท้ายก่อนจบจะต้องมีสัมภาษณ์ Visa เป็นด่านสุดท้าย และคิดว่าคงต้องสอบ Toeic ด้วยก่อนจะบินไปเพื่อเอาผลสมัครงานเผื่อเรียกสัมภาษณ์ จะได้มีประสบการณ์สัมภาษณ์งานบ้างเผื่อจะช่วยให้ไม่ตื่นเต้น แล้วค่อยมายื่นบ.ที่อยากเข้าจริงๆหลังบินกลับ ตอนนั้นไม่รู้คิดไงทำแบบนี้5555 ก็เลยเตรียมตัวจากหนังสือเล่มเดิมนี่แหละ แต่ก็โหลดข้อสอบฟรีตามเว็บมาทำแต่มันไม่มีเฉลยละเอียดมาให้เลยต้องไปหาคำตอบเอาเองว่าทำไมถึงเป็นข้อนี้ๆมันทำให้จำได้แม่นขึ้นเพราะเราเป็นคนหาที่มาของคำตอบ การดูไลฟ์สดใน FB ครูที่มาสอนก็พอช่วยได้บ้างมันทำให้แม่นขึ้นเรื่องแกรมม่า พอถึงช่วงสัมภาษณ์วีซ่าก็ผ่านไปได้ด้วยดีเพราะเตรียมตัวมาดี 5555 หลังจากหลุดพ้นการสัม Visa ไปก็มาเตรียมตัวสอบ Toeic รอบสุดท้ายก็เน้นไปที่พาทฟังมากขึ้น ส่วนแกรมม่าเริ่มจะมีพื้นฐานมาระดับนึงแล้วเลยไม่ได้เตรียมตัวมาก ส่วนใหญ่หาฟังอิ้งตามคอนเทนที่เราสนใจจะได้ไม่รู้สึกว่ามันคือข้อสอบ แต่มันคือภาษา คะแนนก็อัพมาอีกระดับนึง ส่วนที่เพิ่มขึ้นมาแบบเห็นได้ชัดคือพาทฟังครับ
พอเรียนจบก็เป็นช่วง WAT เลย ด้วยความที่งานเป็นงานทำความสะอาดห้องพักในโรงแรมเลยไมไ่ด้ใช้ภาษาเท่าไรจึงจำเป็นต้องหางานที่ 2 ทำหลังเลิกงงานก็เดินตระเวนไปร้านอาหาร, Minimart etc. รวมถึงหางานตามIndeedจนมาได้มาทำที่ Subway ร้านแซนวิช ผมลงตารางทำงานทุกวันจนร้านเลิก แบบNo day off ไปเลย5555 ก็ได้ใช้ภาษาคุยกับลูกค้า เพื่อนร่วมงานตามใจอยากเลย เจอทั้งลูกค้าดีและงี่เง่าบ้างแต่สนุกดี แต่งานหนักเพราะชิพกลางคืนทำกันแค่ 2 คน กว่าจะเคลียร์/เก็บร้านและถึงห้องก็5ทุ่มกว่า
พอหลังจากกลับจาก WAT ก็ทำงานอยู่พักนึงแต่ภาษาไม่ค่อยได้ใช้ เลยหางานใหม่เป็น Overseas purchasing eng. เลยได้ใช้เยอะเลยทั้งฟังพูดอ่านเขียนเพราะต้องเมลตอบรวมถึงการคุยด้วย ทักษะเลยค่อยๆเพิ่มมาเรื่อยๆแบบไม่รู้ตัวจนถึงช่วงโควิทเลยออกจากงานมาแล้วช่วงกลางปี จะหางานใหม่ที่ใช่แต่ดันเจอโควิทรอบ 2 เลยหนักเลยศูนย์สอบปิดยาว จนพึ่งเปิดให้สอบช่วงปลายเดือน 09/2021 ก็เลยเตรียมตัวสอบ Toeic เพื่อเอาคะแนนไปยื่นสมัครงานใหม่ผมเตรียมตัวโดยฝึก Listening และ Reading โดย search จาก Youtube เพื่อให้ชินกับรูปแบบข้อสอบ จากหลายๆช่อง เช่น
https://www.youtube.com/c/SiamSeo/videos
คะแนนหลังจากที่ไม่ได้สอบมา2ปีกว่า ก็เพิ่มขึ้นทั้ง 2 ส่วน คงเป็นเพราะประสบการณ์ในการทำงาน ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เพลงที่ฟัง คอนเทนที่เสพทำให้คะแนนเพิ่มขึ้นแบบที่ไม่ต้องไปเทคคอร์สเรียน
อุปสรรคในการสอบรอบนี้ในส่วนพาร์ทฟัง คือ สติครับ สติอย่างเดียว เพราะข้อสอบไม่ได้ถามแบบตรงไปตรงมาซะทีเดียว มันถามอย่างเช่นผู้พูดมีความหมายว่ายังไง ถ้าหลุดไปก็ต้องมั่ว ดังนั้นควรทำหัวให้โล่งๆ นอนให้พอก่อนสอบครับ ส่วนพาทอ่าน คือ ทำไม่ทันไป 10 กว่าข้อเลยเพราะข้อความค่อนข้างเยอะยิ่งช่วงใกล้หมดเวลายิ่งล้ามากปวดตาสุด P7 นี่ต้องเลือกทำเลย อ่านคำถามแล้วไปไล่หา Keyword เลย ขนาดทำแบบนี้แล้วยังทำไม่ทัน5555
สรุปแล้วไม่มีหลักการตายตัวในการพัฒนา ผมไม่ได้ชอบภาษาตั้งแต่แรกแต่ด้วยความจำเป็นเลยต้องชอบมัน 5555 เพราะมันเปิดโอกาสในชีวิตให้ได้หลายๆด้าน ถ้าคุณชอบฟังเพลงอาจเลือกฟังเพลงง่ายๆ ร้องช้าๆอย่างเช่น
แรกๆอาจจะฟังยากถ้าหากพื้นฐานและศัพท์คุณไม่มีเลย อยากให้ลองฟังเปิดใจไปก่อน(เพลง Rap ก้ได้แต่ Slang เยอะหน่อย5555) แต่เมื่อคุณเริ่มฟังรู้เรื่องคุณจะรู้สึกดีมากๆ
"The moment when you come back to a song and your English has improved enough to actually understand the lyrics."
ถ้าคุณชอบเล่นเกม คุณอาจจะหา Community/Guild/Clan ที่เป็นต่างชาติแล้วเข้าไปหาข้อมูลเพื่อคุยแลกเปลี่ยนความรู้ดูผมได้เพื่อนต่างชาติที่ทุกวันนี้ยังคุยอยู่จากเกมมือถือนี่แหละ 55555 หรือกระทู้อย่าง Reddit, Quora ทำนองเดียวกัน สุดท้ายก็อยู่ที่ความพยายาม การฝึกฝน และแรงกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมรวมถึงการถูกบูลลี่จากเพื่อนในมหาลัยด้วย. Practice always makes perfect ครับ
ขอบคุณที่อ่านมาจนจบ หรือเลื่อนลงมาดูครับ 5555 ถ้าเขียนงงๆวนไปวนมาขออภัยด้วยครับ
แบ่งปันประสบการณ์การพัฒนาภาษา จาก Toeic 500 จนเกิน 850
ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ตอนนี้อายุ 25 ครับ จบสายวิศวะมาครับ สมัยเรียนมหาลัยแทบจะไม่มีพื้นฐานทางด้านภาษาเลย ถนัดแต่ทางด้านวิชาที่เป็น logic ซะส่วนใหญ่ Cal, Physics, strength of materials, Machine Design etc. เรียนแล้วเข้าใจได้ง่ายกว่าทางด้านศิลปะหรือด้านภาษามาก แต่ด้วยตำราที่ใช้เรียนส่วนใหญ่เป็น text book และเนื้อหาที่ใช้สอนส่วนใหญ่ก็จะเป็นอิ้งซะส่วนมาก พอจะหาแปลที่เป็นภาษาไทยก็อ่านไม่รู้เรื่องอีก แต่ก็พอทำได้บ้าง แต่สำหรับอิ้งแล้วนี่ปาดเหงื่อแทบทุกคาบ เกรดดีสุดๆที่ทำได้คือ C ทุ่มอ่านหนังสือและแบบฝึกหัดกว่าวิชาภาคซะอีก...
จุดเปลี่ยนอยู่ที่ปลายเทอม 2 ตอนปี 3 อาจารย์ต้องการนักศึกษาฝึกงานที่บริษัทแห่ง 1 ในชลบุรีเป็นบ.ฝรั่ง ผมเลยอยากลองไปฝึกงานในบ.ฝรั่งดูเพราะส่วนมากเพื่อนในคลาสจะไปบ.ญี่ปุ่นซะส่วนใหญ่ เลยค่อนข้างท้าทายเพราะอิ้งไม่ค่อยได้อยู่แล้วแต่ก็ดีขึ้นกว่าตอนปี 2 โชคดีที่ผมได้พี่เลี้ยงถึง 2 คน และพี่เค้าก็ดูแลผมดีมากๆ ในระหว่างที่ฝึกงานอยู่ ต้องฝึกพรีเซ้นอิ้งทุกวีคอัพเดทความคืบหน้าโปรเจคฝึกงานเรื่อยๆ มันเลยทำให้กระตุ้นให้ต้องฝึกพูดมากๆช่วงๆแรกค่อนข้างๆกดดัน เพราะถ้าพูดไม่ได้ก็ไม่ผ่านฝึกงาน ในระหว่างฝึกงานก็เตรียมตัวสอบ Toeic ไปด้วย เพราะคิดว่ายังไงต้องใช้สมัครงานแน่ๆเลยหาข้อมูลจากในพันทิปนี่แหละว่าจะอ่านเล่มไหนดีจนไปเจอเล่มของ ดร.นเรศ สุรสิทธิ์ เลยซื้อมาอ่านและทำแบบฝึกหัดในเล่มจนหมด ฝึกฟังในยูทุปเอา เพราะไม่อยากเสียเงินเรียน เพราะคิดว่ายังพอมีเวลาอยู่ ช่วงใกล้ๆจะจบฝึกงานก็เขียนและท่องสคริป พรีเซ้นจบโปรเจค เพราะศัพท์ยังอยู่ในหัวไม่มากแต่พัฒนาจากการหนังสือนี่แหละ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีเพราะบอสที่เป็นชาวต่างชาติเข้าใจ 5555 และการเตรียมตัวมาดีรวมถึงการคิดคำถามและคำตอบล่วงหน้าที่บอสอาจจะถาม 55555
หลังจบฝึกงานเข้าสู่ช่วงปี 4 รู้สึกว่าตัวเองได้อะไรมาเยอะพอสมควรจากที่ฝึกงาน และการกระตุ้นจากพี่เลี้ยงฝึกงานที่คอยดูแลมาอย่างดีทั้ง 2 ท่านนั้น แต่ก็ยังกล้าๆกลัวๆตอนเวลาคุยกับชาวต่างชาติอยู่ดี อย่างเช่น ตอนโดนถามทาง ผมเป็นพวก Introvert และปกติพูดน้อยอยู่แล้วหากไม่สนิทจึงพัฒนาช้ากว่าคนอื่นๆเลยคิดว่าต้องหาโอกาสเอาความกลัวนี่ออกไปให้ได้ จนไปเจอโครงการ WAT เลยคิดอยู่พักนึงแล้วก็ตัดสินใจปรึกษากับเอเจ้นที่เลือก และสัมภาษณ์ระดับภาษา ได้ระดับต่ำสุดมา 55555 เลยเลือกงาน Housekeeping ไป ระหว่างนั้นก็เตรียมตัวสัมภาษณ์งานกับนายจ้างโดยเขียนสคริปและฝึกพูดคนเดียวไปเรื่อยๆและไม่รู้จะไปฝึกกับใครแต่ก็มีกรุ๊ปแชทที่เอาไว้เล่นเกมกับฝรั่งเลยได้แต่พิมคุยในนั้น พอถึงช่วงปลายปีที่มหาลัยจัดสอบ Toeic เลยลองไปสอบเล่นๆดูในนามมหาลัยค่าใช้จ่ายเสียครึ่งนึง(750 บาท) แต่น่าจะไม่สามารถใช้ทำอะไรได้
พอมาถึงช่วงกำลังใกล้จะจบปี 4 ก็เปลี่ยนทุกอย่างรอบตัวให้เป็นอิ้งแทบจะทั้งหมด ทั้งการ Language setting บนมือถือ คอม โปรแกรมต่างๆ เกมที่เล่นก็เป็นเกมที่ต้องสื่อสารเป็นอิ้ง ปกติผมชอบฟังเพลงอิ้งอยู่แล้วแต่ฟังไปเพราะชอบไม่ได้รู้ความหมายทุกเพลงก็ก็ฟังๆไปแต่เริ่มแมทการออกเสียงกับคำมากขึ้น เดือนสุดท้ายก่อนจบจะต้องมีสัมภาษณ์ Visa เป็นด่านสุดท้าย และคิดว่าคงต้องสอบ Toeic ด้วยก่อนจะบินไปเพื่อเอาผลสมัครงานเผื่อเรียกสัมภาษณ์ จะได้มีประสบการณ์สัมภาษณ์งานบ้างเผื่อจะช่วยให้ไม่ตื่นเต้น แล้วค่อยมายื่นบ.ที่อยากเข้าจริงๆหลังบินกลับ ตอนนั้นไม่รู้คิดไงทำแบบนี้5555 ก็เลยเตรียมตัวจากหนังสือเล่มเดิมนี่แหละ แต่ก็โหลดข้อสอบฟรีตามเว็บมาทำแต่มันไม่มีเฉลยละเอียดมาให้เลยต้องไปหาคำตอบเอาเองว่าทำไมถึงเป็นข้อนี้ๆมันทำให้จำได้แม่นขึ้นเพราะเราเป็นคนหาที่มาของคำตอบ การดูไลฟ์สดใน FB ครูที่มาสอนก็พอช่วยได้บ้างมันทำให้แม่นขึ้นเรื่องแกรมม่า พอถึงช่วงสัมภาษณ์วีซ่าก็ผ่านไปได้ด้วยดีเพราะเตรียมตัวมาดี 5555 หลังจากหลุดพ้นการสัม Visa ไปก็มาเตรียมตัวสอบ Toeic รอบสุดท้ายก็เน้นไปที่พาทฟังมากขึ้น ส่วนแกรมม่าเริ่มจะมีพื้นฐานมาระดับนึงแล้วเลยไม่ได้เตรียมตัวมาก ส่วนใหญ่หาฟังอิ้งตามคอนเทนที่เราสนใจจะได้ไม่รู้สึกว่ามันคือข้อสอบ แต่มันคือภาษา คะแนนก็อัพมาอีกระดับนึง ส่วนที่เพิ่มขึ้นมาแบบเห็นได้ชัดคือพาทฟังครับ
พอเรียนจบก็เป็นช่วง WAT เลย ด้วยความที่งานเป็นงานทำความสะอาดห้องพักในโรงแรมเลยไมไ่ด้ใช้ภาษาเท่าไรจึงจำเป็นต้องหางานที่ 2 ทำหลังเลิกงงานก็เดินตระเวนไปร้านอาหาร, Minimart etc. รวมถึงหางานตามIndeedจนมาได้มาทำที่ Subway ร้านแซนวิช ผมลงตารางทำงานทุกวันจนร้านเลิก แบบNo day off ไปเลย5555 ก็ได้ใช้ภาษาคุยกับลูกค้า เพื่อนร่วมงานตามใจอยากเลย เจอทั้งลูกค้าดีและงี่เง่าบ้างแต่สนุกดี แต่งานหนักเพราะชิพกลางคืนทำกันแค่ 2 คน กว่าจะเคลียร์/เก็บร้านและถึงห้องก็5ทุ่มกว่า
พอหลังจากกลับจาก WAT ก็ทำงานอยู่พักนึงแต่ภาษาไม่ค่อยได้ใช้ เลยหางานใหม่เป็น Overseas purchasing eng. เลยได้ใช้เยอะเลยทั้งฟังพูดอ่านเขียนเพราะต้องเมลตอบรวมถึงการคุยด้วย ทักษะเลยค่อยๆเพิ่มมาเรื่อยๆแบบไม่รู้ตัวจนถึงช่วงโควิทเลยออกจากงานมาแล้วช่วงกลางปี จะหางานใหม่ที่ใช่แต่ดันเจอโควิทรอบ 2 เลยหนักเลยศูนย์สอบปิดยาว จนพึ่งเปิดให้สอบช่วงปลายเดือน 09/2021 ก็เลยเตรียมตัวสอบ Toeic เพื่อเอาคะแนนไปยื่นสมัครงานใหม่ผมเตรียมตัวโดยฝึก Listening และ Reading โดย search จาก Youtube เพื่อให้ชินกับรูปแบบข้อสอบ จากหลายๆช่อง เช่น https://www.youtube.com/c/SiamSeo/videos
คะแนนหลังจากที่ไม่ได้สอบมา2ปีกว่า ก็เพิ่มขึ้นทั้ง 2 ส่วน คงเป็นเพราะประสบการณ์ในการทำงาน ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เพลงที่ฟัง คอนเทนที่เสพทำให้คะแนนเพิ่มขึ้นแบบที่ไม่ต้องไปเทคคอร์สเรียน
อุปสรรคในการสอบรอบนี้ในส่วนพาร์ทฟัง คือ สติครับ สติอย่างเดียว เพราะข้อสอบไม่ได้ถามแบบตรงไปตรงมาซะทีเดียว มันถามอย่างเช่นผู้พูดมีความหมายว่ายังไง ถ้าหลุดไปก็ต้องมั่ว ดังนั้นควรทำหัวให้โล่งๆ นอนให้พอก่อนสอบครับ ส่วนพาทอ่าน คือ ทำไม่ทันไป 10 กว่าข้อเลยเพราะข้อความค่อนข้างเยอะยิ่งช่วงใกล้หมดเวลายิ่งล้ามากปวดตาสุด P7 นี่ต้องเลือกทำเลย อ่านคำถามแล้วไปไล่หา Keyword เลย ขนาดทำแบบนี้แล้วยังทำไม่ทัน5555
สรุปแล้วไม่มีหลักการตายตัวในการพัฒนา ผมไม่ได้ชอบภาษาตั้งแต่แรกแต่ด้วยความจำเป็นเลยต้องชอบมัน 5555 เพราะมันเปิดโอกาสในชีวิตให้ได้หลายๆด้าน ถ้าคุณชอบฟังเพลงอาจเลือกฟังเพลงง่ายๆ ร้องช้าๆอย่างเช่น
แรกๆอาจจะฟังยากถ้าหากพื้นฐานและศัพท์คุณไม่มีเลย อยากให้ลองฟังเปิดใจไปก่อน(เพลง Rap ก้ได้แต่ Slang เยอะหน่อย5555) แต่เมื่อคุณเริ่มฟังรู้เรื่องคุณจะรู้สึกดีมากๆ
"The moment when you come back to a song and your English has improved enough to actually understand the lyrics."
ถ้าคุณชอบเล่นเกม คุณอาจจะหา Community/Guild/Clan ที่เป็นต่างชาติแล้วเข้าไปหาข้อมูลเพื่อคุยแลกเปลี่ยนความรู้ดูผมได้เพื่อนต่างชาติที่ทุกวันนี้ยังคุยอยู่จากเกมมือถือนี่แหละ 55555 หรือกระทู้อย่าง Reddit, Quora ทำนองเดียวกัน สุดท้ายก็อยู่ที่ความพยายาม การฝึกฝน และแรงกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมรวมถึงการถูกบูลลี่จากเพื่อนในมหาลัยด้วย. Practice always makes perfect ครับ
ขอบคุณที่อ่านมาจนจบ หรือเลื่อนลงมาดูครับ 5555 ถ้าเขียนงงๆวนไปวนมาขออภัยด้วยครับ