สวัสดีค่ะ ทุกๆ ท่าน เป็นครั้งแรงที่ตั้งกระทู้ค่ะ เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะค่ะ ครอบครัวของหนู พ่อกับแม่แยกทางกัน ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ มีพี่น้องทั้งหมด 2 คน หนูเป็นพี่สาวและมีน้องชาย ซึ่งพ่อกับแม่ตกลงแบ่งลูก เพื่อดูแลฝ่ายละ 1 คน หนูอยู่กับพ่อ น้องชายอยู่กับแม่ ในระหว่างที่หนูใช้ชีวิตในความดูและของพ่อนั้นพ่อก็แต่งงานใหม่ (ซึ่งก่อนหน้านี้เขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน 3 คนผัวเมียในระยะเวลาหนึ่ง) สาเหตุที่เลิกกันเกิดความไม่เข้าใจกัน หนูย้ายโรงเรียนมาอยู่ที่บ้านแม่เลี้ยง เขาก็ดูแลเราในขั้นพื้นฐาน ฐานนะครอบครัวแย่มากในช่วงนั้น หนูได้รับการศึกษา ป.5-6 ม.3 และต่อ ปวช.1 หลังจากนั้น หนูได้ทะเลาะกับพ่อเรื่อง พ่อไปคบกับผู้หญิงคนใหม่นอกจากแม่เลี้ยง เป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต หากวันนั้นไม่มีพี่มูลนิธิเข้าช่วยเหลือ หนูคงเสียชีวิตไปแล้ว ตอนออกจากบ้านหนูมีแค่เสื้อผ้าชุดเดียวไปพร้อมกับเงินของยาย (แม่ของแม่เลี้ยง) บอกให้หนี หนูได้เดินทางไปหาย่าที่อยู่ จ.สระบุรี ทำงานส่งตัวเองจนจบ กศน.ม.6 ประมาณ 2 ปี พอเรียนจบ หนูไปทำงานต่อที่ จ.ชลบุรี อยู่กับป้าและยาย ช่วยขายของตลาดนัด ทำงานและเรียนต่อ จนจบ ปวส. หลังจากนั้นยายเสีย หนูมาหางานทำที่ จ.สมุทรปราการ เป็นเจ้าหน้าที่บุคคลที่บริษัทผลิตเมลามินแถวแพรกษา เช่าห้องอยู่ลำพัง ได้ทำงานและศึกษาต่อในระดับ ปริญาตรีพร้อมกับกู้ กยศ. บังเอินได้เจอยาย (แม่ของแม่เลี้ยง) เขาเล่าเรื่องพ่อระหว่างที่หนูไม่อยู่ ครอบครัวของพ่อมีความสุขดี และยายเขาก็คุยเกี่ยวกับว่าพ่อ เขาตราหน้าว่า ต้องท้องไม่มีพ่อ เรียนไม่จบ ชีวิตไม่ประสบความสำเร็จ ต่างๆ นานาๆ ที่ไม่มีภาพพจน์อันดีงาน เรารู้สึกเสียใจ พยายามพัฒนาตัวเอง ศึกษาหาความรู้ ตั้งใจทำงาน เก็บเงิน เป็นคนดี เพื่อตั้งตัว จากคำดูถูกของผู้เป็นพ่อ จนบางครั้งรู้สึกท้อ ขับมอไซร์ไปเรียนจากสมุทรปราการไปเรียนที่วิทยาลัยพละชลบุรี (วิชาเอกที่เรียน กทม.ไม่มี) ฝนตกจนมองไม่เห็นทางวิ่งของถนน อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลรู้สึกว่าเราเป็นผู้หญิงที่แสนลำบาก ท้อแท้กับชีวิต สิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่ผ่านเข้ามามันเกิดภาพในสมอง ภาพเหตุการณ์ที่พ่อใช้ท่อไม้ไผ่ตีแม่จนตับแตก เตะน้องจนติดข้างฝาบ้าน พ่อด่าย่าเรื่องเงินเวนคืนที่หนองงูเห่า ตรงนี้ที่มันเป็นกรรมเลยมาตกกับลูกหลายหรือเปล่าที่เกิดเหตุคล้ายๆ กันลักษณะใกล้เคียงกัน แต่ด้วยความสงสารแม่และน้อง ก็ได้พยายามเรียนจนจบ ป.ตรี แต่ก่อนจบมีเหตุการณ์ที่ทำให้ได้เจอกับพ่ออีกครั้งโดยบังเอิญที่โรงพยาบาล ลูกพี่ลูกน้องได้รับอุบัติเหตุ หนูได้ไปเยี่ยมและเจอกัน บรรยาศเต็มไปด้วยความเงียบ หนูได้พูดกล่าวทักทายตามมารยาท พ่อก็ถามว่าทำอะไรอยู่ที่ไหน (หนูแต่งตัวนักศึกษา) หนูก็ตอบตามที่เขาถาม หลังจากนั้น พ่อขอเบอร์โทรหนูจากลูกพี่ลูกน้อง และเขาก็ติดต่อเรามาเรื่อยๆ ความสัมพันธ์เราเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จนมีวันหนึ่งที่บริษัทหนูทำงานเขาอยากได้บริษัท รปภ. ใหม่ หนูจึงแนะนำ บริษัทของพ่อหนูให้เขามานำเสนอ และผู้จัดการทราบว่าเป็นพ่อหนู จึงเลือกใช้บริการ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พ่อเริ่มมีเงิน เดือนละไม่ต่ำกว่า 180,000 บาทต่อเดือน จนทำให้พ่อมีเงินเก็บหลักล้านบาท และมีการซิ้ออสังหาริมทรัพย์ ราคาประมาณ 2,000,000 บาท และมาซื้อที่ดินปลูกบ้านเป็นสวนมะขามอีกประมาณ 4 ไร่ ประมาณ 300,000 บาท และบ้าน 1 หลัง ในระหว่งที่พ่อทำบริษัท รปภ. หนูก็ลาออกจากบริษัทมาเปิดบริษัททัวร์กับเพื่อน โดยของยืมเงินพ่อ 30,000 บาท เพื่อมาเริ่มต้น หลังจากนั้น บริษัททัวร์ไปได้สวยและมีรายได้ดีมาก หนูจีงคืนเงินให้กับพ่อ 30,000+40,000 = 70,000 เพราะแม่เลี้ยงอยากเปิดร้านขายอาหารตามสั่ง หลังจากนั้นหนูคิดอยากได้ที่ดินสักแปลงไว้ปลูกบ้าน และสร้างครอบครัว (หนูอายุ 34 ปี กำลังจะแต่งงาน) จึงปรึกษาพ่อว่าอยากได้ที่ใกล้ๆ กับพ่อ จากนั้นพ่อดำเนินการหาที่ให้ห่างจากบ้านพ่อประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งเป็นที่สวยค่ะ หน้าติดถนนดำหลังติดคลองเล็ก เนื้อที่วัดได้ประมาณ 3 ไร่ 1 งาน 50 ตารางวา เจ้าของเขาขายให้ไร่ละ 100,000 บาท ราคาตกอยู่ที่ประมาณ 350,000 กว่าๆ ซึ่งเงินที่หนูมี คือเงินแม่ 100,000 บาทเป็นเงินที่น้องชายถูกรถชนแล้วพิการชั่วล่างไม่สามารถเดินได้ เงินของหนูอีก 100,000 บาทเกิดจากการเก็บออม เงินหนูยังขาดอีก 150,000 บาท พ่อเลยเสนอให้เอาโฉนดที่ของพ่อเข้าธนาคาร จึงได้เงินมาครบ หนูซื้อที่ดินผืนนนี้มาตั้งแต่ 2560 ปรับพี้นที่รกให้เตียน และพูนดินเพื่อปลูกบ้าน หนูใช้เวลาในการปลูกบ้าน 2 ปี เพราะเราลงมือสร้างกันเอง 4 คน แม่,พ่อเลี้ยง,แฟนหนู และตัวหนูที่กำลังตั้งท้องอ่อนๆ ทำงานมาก็ได้ทุ่มปลูกบ้าน ส่วนโฉนดที่จำนองก็ส่งแต่ดอกเบี้ย ธกส. บวกกับมีสถานะการโควิดทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวไม่ดีนัก ทำให้หนูต้องใช้ทุนเก่า และมาตรวจเจอ แม่เป็นมะเร็จในระยะที่ 3 เงินที่มีหนูรักษาให้แม่หมด แต่โชคดีที่หนูได้ส่งประกันสังคมไว้ให้แม่ทำให้ไม่ต้องเสียมากนัก แต่โรคนี้ต้องใช้ความรวดเร็ว จึงใช้เงินซื้อความเร็วในการรักษา ซึ่งเป็นเงินทุนสำรองสำหรับพ่อแม่พี่น้องเจ็บป่วนฉุกเฉิน ตั้งแต่โควิดระลอก 1-3 แม่และพ่อเลี้ยง หนูรับมาอยู่ที่บ้านหนู เพื่อเลี้ยงหลาน และหนูจะได้ดูแลแม่อย่างเต็มที่ แต่เมื่อวานที่ผ่าน 10 ต.ค. 2564 พ่อขอคุยเรื่องที่ดินของหนู ซึ่งพ่อแจ้งว่าพื้นที่ของพ่อนั้นเป็นสวนมะขามหวาน ด้านหลังติดเขา ด้านหน้าติดถนนดำ ปัจจุบันแม่เลี้ยงเปิดขายอาหารตามสั่ง เขาไม่มีรายได้ ขายของไม่ดี พื้นที่สวนมะขามดินเพาะปลูกผักสวนครัวไม่ได้ จึงอยากจะขอที่ดินของหนู 1 ไร่ โดยคำพูดของพ่อขู่หนูว่า 1.ถ้าไม่ให้จะบีบให้อยู่กันไม่ได้ทั้งครอบครัว 2.ทำไมต้องพาแม่มาอยู่ 3.ที่ดินตรงนั้นถ้าหนูไม่ซื้อ พ่อก็จะซื้ออยู่แล้ว เขาพูดว่าหนูอยากได้เลยให้ (ณ เวลานั้นพ่อเลิกทำบริษัท รปภ. นานแล้ว รายได้หลักขายอาหารตามสั่ง ) ณ เวลานั้น มีคำขู่มากมาย ซึ่งหนูจำได้ไม่หมด แต่มีประโยชน์นึ่งที่หนูตอบเขาไปเกี่ยวกับแม่ ว่า หนูมีปมด้อยด้านครอบครัวที่แตกแยก แค่อยากเอาครอบครัวของพ่อ กับ ครอบครัวของแม่ มาอยู่ใกล้กัน เพื่อความสะดวกในการดูแลทั้ง 2 ฝ่าย อีกเหตุผล ถ้าหนูคิดถึงพ่อขับรถ 5 นาทีได้เจอพ่อ ดูแลสาระทุกร์สุขดิบได้ อีกใจได้ยินคำขู่ของพ่ออยากจะขายทิ้งทั้งหมดไม่อยากอยู่เลย แต่ติดตรงที่ว่ามันเป็นเงินก้อนสุดท้ายของหนูแล้ว มันไม่สามารถทำได้ คำตอบที่จะให้พ่อ คือพ่ออยากได้หนูแบ่งให้ได้นะ 1 ไร่ เพื่อใช้ปลูกผักปลูกหญ้าขาย แต่พ่อไม่สงสารจิตใจหนูบ้างเหรอ หนูดูแลแม่ที่มีลูกที่พิการ และลูกๆ หนูอีก 2 คน ซึ่งต่างจากครอบครัวของพ่อที่มีลูกกับแม่เลี้ยง 3 คน เป็นวัยทำงานแล้ว 2 คน ทำไมไม่ถามหาจากพวกเขาบ้าง หนูอุดหนุนและสนับสนุนน้องต่างมารดามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม และกำลังเรียน 1 คน ป.5 ที่ผ่านมากหนูกตัญญู พ่อ แม่ มาโดยตลอด อยากได้สิ่งใด หากไม่เกินความสามารถลูกหยิบยื่นให้ตลอด ไม่เคยมีคำว่าไม่ พ่อใจร้ายกับหนูเกินไปไหม หนูสัญญากับตัวเองว่า ถ้าหนูให้ที่ดินไป จะขอดูอยู่ห่างๆ ไม่เข้าไปวุ่นว้ากับครอบครัวเขา ลูกของเขาควรเลี้ยงดูพ่อแม่ของเขาเอง หนูต้องทำอย่างไร หนูมีทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ (ให้พูดคุยกับพ่อดีๆ ด้วยเหตุผล เขาคงไม่ฟังเรา เพราะเขาอยากได้) หนูน้อมรับทุกความคิดเห็น ขอบพระคุณที่อ่านจนจบค่ะ
พ่อขอแบ่งที่ดินที่เราซื้อมาด้วยลำแข้ง