เรื่องมีอยู่ว่า
เราได้รับการแอดเพื่อนจากเฟสบุ๊ค เขาใช้ชื่อเกาหลี เราขอเรียกว่านายคิม ละกัน ในการสมัครเฟสบุ๊ค พอเราตรวจสอบชื่อและแหล่งที่มา ว่าเป็นเพื่อนของใครในเฟสบุ๊คเราถึงได้เด้งขึ้นมา (อ่ะมีเพื่อนด้วยกันเลยรับแอด)
พอตอบรับเป็นเพื่อน เขาจะแนะนำตัวก่อน และถามชื่อเรา ใช้ภาษาไทยในการโต้ตอบ ซึ่งเราสอบถามว่าทำไมเขาเข้าใจภาษาไทย เขาจะบอกว่าเขามีเพื่อนที่ทำงานเป็นคนไทย ทำให้พอเข้าใจได้บ้าง (ตรงนี้เราเข้าใจว่าด้วยเขาอายุมากแล้วสงสัยคงจะเข้าใจหลายภาษา) เขาจะชวนคุยด้วยดีมาก ถามเรื่องศาสนาก่อน (อ่ะความเชื่อเดียวกัน) ก็ถามว่าเราโสดมั้ย เขาโสดมานาน ทำงานอะไร แล้วขอแอดไลน์ได้มั้ย เพราะคุยเฟสบุ๊คไม่สะดวก และไม่จำเป็นต้องใช้เฟสบุ๊คอีกต่อไป เพราะเจอเราแล้ว
พอแอดไลน์ เขาจะพยายามสอบถามเรื่องราวชีวิตของเราในแต่ละวันว่าทำอะไรบ้าง...ทำงานกี่โมง
ชอบกินอะไร เพื่อปะติดปะต่อ เรื่องราว ..และจะทักมาในเวลาที่เราสะดวกตลอด เช่น ก่อนทำงานหรือหลังเลิกงาน ซึ่งตรงนี้มันทำให้เรารู้สึกดี ว่าเขาเอาใจใส่... แต่ทุกครั้งเราก็จะยังคงกะเวลาในการพูดคุยไม่เกิน 1-2 ชม. เพราะเราไม่อยากให้เวลากับเขาเยอะ เนื่องจากรู้จักกันทางอินเตอร์เน็ตมันไม่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว เขาก็บอกว่าเข้าใจ แต่อยากให้เรามั่นใจ และเชื่อใจเขา
เขาบอกว่าเขาเป็นหมอ ไปทำงานในเขตสงคราม ให้กับองค์การสหประชาชาติ เราเห็นว่าเขาอยู่ในสงครามก็พยายามคุยให้กำลังใจเขา สอบถามเรื่องทั่วไปๆ ไม่ให้เขาคิดมาก เขาบอกว่าเขาต้องอยู่ประจำ 1 ปี ซึ่งตอนนี้เขาอยู่มาได้ 4 เดือนแล้ว
ที่นั่น เขาบอกว่าลำบากมาก ข้าวไม่มีกิน คนไข้ คนเจ็บเยอะ และพยายามบอกเราว่า
อายุเยอะแล้วทำงานใกล้เกษียณแล้วไม่มีคนใช้ชีวิตด้วย มีเงินเก็บมากมาย
พ่อแม่ตายหมดแล้ว การทำงานในเขตสงครามทำให้เขาได้เงินเยอะ แต่เนื่องจากอยู่ในเขตสงคราม
เขาไม่มีสิทธิ์ใช้มือถือ หรือพกเงิน
ตรงนี้เราบอกเขาว่า คุณอย่าเที่ยวบอกใครว่าคุณรวย เพราะ
1. เขาจะหลอกเงินคุณ
2. เขาจะคิดว่าคุณหลอกเขา
เขาจะชมว่าไม่เคยพบ คนแบบเรา มันมหัศจรรย์มาก เขารู้สึกรักเรามาก ชีวิตนี้ทั้งหมดเป็นของเรา
ถ้าเขาออกจากฐานทัพ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อเรา ในระยะเวลาแค่ 10 วันเขารู้สึกดีมาก
ซึ่งเราบอกว่า คุณมั่นใจได้ยังไง คุณเห็นแต่ข้อดีที่ฉันแสดงออกไป คุณยังไม่เห็นข้อเสียของฉัน
ทำไมคุณถึงมั่นใจ..เขาจะยกความเชื่อในเรื่องศาสนามาทำให้เราคล้อยตาม
พอผ่านไปสักระยะ เขาจะยังคงบ่นถึงความลำบากที่พบเจอ มีหมอที่ตายจากสงคราม และหมอที่ได้รับการช่วยเหลือจากครอบครัว (เขาจะส่งรูปผู้คนในสงครามกลับมาให้เราดูด้วย ซึ่งมันน่าหดหู่ น่าสงสาร) เราก็ถามว่าแล้วตอนนี้คุณไม่ต้องทำงานเหรอ เขาจะบอกว่าหมอได้รับสิทธิ์ให้คุยกับคนในครอบครัวช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อให้มีกำลังใจในการอยู่ในเขตสงคราม
จนเราสงสัยจึงถามกลับไปว่า
ทำไมคุณไม่อยู่ช่วยเหลือผู้ป่วย เพราะพวกเขาก็ต้องการหมอ , ถ้าคุณออกมา แล้วคุณป่วยจะทำยังไง
เขาบอกว่า ถ้าเขาออกมาก็จะมีหมอคนใหม่เข้าไปแทนที่เขา ฐานทัพจะเป็นคนหาคนทดแทนให้
เขาบอกกับเราว่าหมอได้รับความช่วยเหลือจากคนในครอบครัว โดยการเขียนจดหมายถึงท่านนายพล
แต่เขาไม่มีครอบครัวแล้ว ไม่มีใครคุยกับท่านนายพลแทนเขา ให้เราช่วยเขาหน่อย...เราบอกว่าเราขอเวลาทำใจหน่อย เพราะเขาเป็นใครก็ไม่รู้ เราไม่รู้ต้องช่วยเหลือแบบไหน ต้องให้ใครช่วยบ้าง เขาบอกว่ามันไม่ยาก แค่เขียนจดหมายไปถึงท่านนายพล ซึ่งเราบอกว่าเราไม่เก่งภาษาอังกฤษ เขาบอกว่าไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาอังกฤษ เพราะท่านนายพลมีคนที่เข้าใจในทุกภาษา ท่านจะตอบกลับมาเป็นภาษาไทย
เราเลยบอกให้เขาลองพิมพ์ข้อความกลับมา ซึ่งเป็นข้อความธรรมดามาก แค่บอกว่าเราเป็นคนในครอบครัวเขา ต้องการให้เขากลับมาจัดการปัญหาในครอบครัว ให้ทำเรื่องเอาชื่อเขาออกจากฐานทัพ และปฏิบัติการทั้งหมดของทหาร ให้ลบชื่อเขาออกจากกระบวนการ
(อ่ะ ข้อความไม่รุนแรงเท่าไหร่) เราก็เลยยอมส่งอีเมล์ให้
จนเมื่อส่งจดหมายไปหาท่านนายพล ...1 วันถัดมา ท่านนายพลก็ตอบจดหมายกลับมา ว่าจะรีบดำเนินการให้
เราสงสัยจึงถามเขาไปว่า ทำไมท่านนายพลถึงตอบกลับเร็วแบบนี้ และเรารู้สึกประหลาดใจมากที่ท่านตอบเป็นภาษาไทย เขาบอกว่าท่านนายพล จะตอบจดหมายของคนในครอบครัว หมอ ทหาร ทุกคน
เราเลยบอกว่าเขาคงไม่ยิงเราใช่มั้ยกับการหลอกลวง เขาบอกว่าไม่ ท่านนายพลเป็นคนใจดี เขาต้องรักและดูแลคนในครอบครัวของหมอ และทหารเป็นอย่างดี ให้เราตอบกลับขอบคุณท่านนายพล..อ่ะเราก็ตอบกลับไป
ความพีค จะมาในจดหมายที่ตอบกลับจากท่านนายพล
ซึ่งมีข้อความว่า คุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมดังต่อไปนี้: เพื่อจะนำตัวคนในครอบครัวของคุณออกมา
1. จากอเมริกา (130,000 บาท) 1 ปี 6 เดือน
2. จากอังกฤษ (110,000 บาท) 1 ปี 2 เดือน
3. จากอินเดีย: (90,000 บาท) 9 เดือน
4 จากเบลเยี่ยม (70,000 บาท) 6 เดือน
5. จากสเปน: (50,000 บาท) 4 เดือน
เป็นค่าเครื่องบินที่ทหาร หรือ หมอจะเข้าไปเปลี่ยนประจำการ ถ้าเราตกลง ให้ตอบจดหมายกลับไป เขาจะบอกว่าต้องชำระเงินยังไง
เท่านั้นหล่ะ..เราบล๊อกอีเมล์นายพลเลย
แล้วไลน์ถาม นายคิมเลย....ว่าทำไมต้องเสียเงิน ฉันไม่มีหรอก
แต่สิ่งที่ฉันทำได้คือ
ให้คุณบอกมาว่า
1.คุณเรียนจบที่ไหน
2.บ้านเกิดคุณอยู่ที่ไหน
3.คุณมีเพื่อนสนิทคือใคร
4.คุณนับถือศาสนา..นิกายอะไร
สิ่งที่ฉันจะทำได้คือส่งรูปคุณในไลน์นี้ ให้กับทุกคนที่คุณรู้จัก และระดมทุนเพื่อนำคุณออกมา
ฉันมีเพื่อนเกาหลีสามารถแปลข้อความของคุณเป็นภาษาเกาหลีได้ และส่งให้ทุกคนที่คุณรู้จัก
พอนายคิม อ่านแล้ว ก็บอกว่าเขาไม่คิดว่าท่านนายพลจะเรียกเงิน แต่เขาไม่อยากตายในสงคราม
เราเลยบอกไปว่า คุณบอกว่าท่านนายพลรักและจะดูแลครอบครัวของหมอ ทหาร
ทำไมถึงเรียกร้องเงินจากพวกเขาอีก อีกอย่าง พวกคุณทำงานในองค์การสหประชาชาติ องค์การระดับโลก ค่าเครื่องบินทำไมยังไม่มี
ทำไมสงครามขนาดนี้เขาถึงเอาหมอที่มีอายุมากอย่างคุณไป แทนที่จะเป็นหมอหนุ่มกระฉับกระแฉง
พอเขาให้คำตอบเราไม่ได้ จากปกติที่เขาจะตอบกลับมาในทันที เราเลยรู้ละ
สิ่งที่เราทำคือ เราพิมพ์กลับไปว่า
ถ้าเรื่องนี้คือเรื่องจริง หากเขาตายในสงครามก็จงภูมิใจว่าได้ช่วยเหลือคน และการตายก็ดีกว่าอยู่โลกใบนี้ โลกที่วุ่นวาย มีแต่สงคราม
การตายอาจดีกว่าการอยู่บนโลกใบนี้...
หรือถ้าเขายังอยู่ในสงครามก็ให้เข้าใจว่าเป็นประสงค์ของพระเจ้า ที่ต้องการให้เขาอยู่ ถ้าคนมันเป็นคู่กัน สักวันก็ต้องได้เจอกัน
แต่ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องโกหก
เราขอให้เขาหยุดการกระทำ..และเราจะขอภาวนาให้พระเจ้ารีบเอาตัวเขาไปจากโลกใบนี้เร็ว เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องหลอกลวงใครอีก
และการที่เขาเอาความรักของคนมาล้อเล่น เราจะขอให้เขาไม่พบเจอความรักอีก ให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว อยู่ตัวคนเดียว ให้คนมองเขาไร้ประโยชน์
ไร้คุณค่า ถึงแม้เขาจะมีความสุข เราก็ขอให้เขามีความทุกข์ฝังอยู่ในใจตลอดเวลา
ทุกข้อความหลังจากท่านนายพล ตอบกลับมา เขาอ่านแต่ไม่ตอบ...สงสัยคงเบลอไปแล้วมั้ง
ความรักไม่ใช่เรื่องเล่นๆ (รักในโลกอินเตอร์เน็ตไม่มีจริง)
เราได้รับการแอดเพื่อนจากเฟสบุ๊ค เขาใช้ชื่อเกาหลี เราขอเรียกว่านายคิม ละกัน ในการสมัครเฟสบุ๊ค พอเราตรวจสอบชื่อและแหล่งที่มา ว่าเป็นเพื่อนของใครในเฟสบุ๊คเราถึงได้เด้งขึ้นมา (อ่ะมีเพื่อนด้วยกันเลยรับแอด)
พอตอบรับเป็นเพื่อน เขาจะแนะนำตัวก่อน และถามชื่อเรา ใช้ภาษาไทยในการโต้ตอบ ซึ่งเราสอบถามว่าทำไมเขาเข้าใจภาษาไทย เขาจะบอกว่าเขามีเพื่อนที่ทำงานเป็นคนไทย ทำให้พอเข้าใจได้บ้าง (ตรงนี้เราเข้าใจว่าด้วยเขาอายุมากแล้วสงสัยคงจะเข้าใจหลายภาษา) เขาจะชวนคุยด้วยดีมาก ถามเรื่องศาสนาก่อน (อ่ะความเชื่อเดียวกัน) ก็ถามว่าเราโสดมั้ย เขาโสดมานาน ทำงานอะไร แล้วขอแอดไลน์ได้มั้ย เพราะคุยเฟสบุ๊คไม่สะดวก และไม่จำเป็นต้องใช้เฟสบุ๊คอีกต่อไป เพราะเจอเราแล้ว
พอแอดไลน์ เขาจะพยายามสอบถามเรื่องราวชีวิตของเราในแต่ละวันว่าทำอะไรบ้าง...ทำงานกี่โมง
ชอบกินอะไร เพื่อปะติดปะต่อ เรื่องราว ..และจะทักมาในเวลาที่เราสะดวกตลอด เช่น ก่อนทำงานหรือหลังเลิกงาน ซึ่งตรงนี้มันทำให้เรารู้สึกดี ว่าเขาเอาใจใส่... แต่ทุกครั้งเราก็จะยังคงกะเวลาในการพูดคุยไม่เกิน 1-2 ชม. เพราะเราไม่อยากให้เวลากับเขาเยอะ เนื่องจากรู้จักกันทางอินเตอร์เน็ตมันไม่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว เขาก็บอกว่าเข้าใจ แต่อยากให้เรามั่นใจ และเชื่อใจเขา
เขาบอกว่าเขาเป็นหมอ ไปทำงานในเขตสงคราม ให้กับองค์การสหประชาชาติ เราเห็นว่าเขาอยู่ในสงครามก็พยายามคุยให้กำลังใจเขา สอบถามเรื่องทั่วไปๆ ไม่ให้เขาคิดมาก เขาบอกว่าเขาต้องอยู่ประจำ 1 ปี ซึ่งตอนนี้เขาอยู่มาได้ 4 เดือนแล้ว
ที่นั่น เขาบอกว่าลำบากมาก ข้าวไม่มีกิน คนไข้ คนเจ็บเยอะ และพยายามบอกเราว่า
อายุเยอะแล้วทำงานใกล้เกษียณแล้วไม่มีคนใช้ชีวิตด้วย มีเงินเก็บมากมาย
พ่อแม่ตายหมดแล้ว การทำงานในเขตสงครามทำให้เขาได้เงินเยอะ แต่เนื่องจากอยู่ในเขตสงคราม
เขาไม่มีสิทธิ์ใช้มือถือ หรือพกเงิน
ตรงนี้เราบอกเขาว่า คุณอย่าเที่ยวบอกใครว่าคุณรวย เพราะ
1. เขาจะหลอกเงินคุณ
2. เขาจะคิดว่าคุณหลอกเขา
เขาจะชมว่าไม่เคยพบ คนแบบเรา มันมหัศจรรย์มาก เขารู้สึกรักเรามาก ชีวิตนี้ทั้งหมดเป็นของเรา
ถ้าเขาออกจากฐานทัพ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อเรา ในระยะเวลาแค่ 10 วันเขารู้สึกดีมาก
ซึ่งเราบอกว่า คุณมั่นใจได้ยังไง คุณเห็นแต่ข้อดีที่ฉันแสดงออกไป คุณยังไม่เห็นข้อเสียของฉัน
ทำไมคุณถึงมั่นใจ..เขาจะยกความเชื่อในเรื่องศาสนามาทำให้เราคล้อยตาม
พอผ่านไปสักระยะ เขาจะยังคงบ่นถึงความลำบากที่พบเจอ มีหมอที่ตายจากสงคราม และหมอที่ได้รับการช่วยเหลือจากครอบครัว (เขาจะส่งรูปผู้คนในสงครามกลับมาให้เราดูด้วย ซึ่งมันน่าหดหู่ น่าสงสาร) เราก็ถามว่าแล้วตอนนี้คุณไม่ต้องทำงานเหรอ เขาจะบอกว่าหมอได้รับสิทธิ์ให้คุยกับคนในครอบครัวช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อให้มีกำลังใจในการอยู่ในเขตสงคราม
จนเราสงสัยจึงถามกลับไปว่า
ทำไมคุณไม่อยู่ช่วยเหลือผู้ป่วย เพราะพวกเขาก็ต้องการหมอ , ถ้าคุณออกมา แล้วคุณป่วยจะทำยังไง
เขาบอกว่า ถ้าเขาออกมาก็จะมีหมอคนใหม่เข้าไปแทนที่เขา ฐานทัพจะเป็นคนหาคนทดแทนให้
เขาบอกกับเราว่าหมอได้รับความช่วยเหลือจากคนในครอบครัว โดยการเขียนจดหมายถึงท่านนายพล
แต่เขาไม่มีครอบครัวแล้ว ไม่มีใครคุยกับท่านนายพลแทนเขา ให้เราช่วยเขาหน่อย...เราบอกว่าเราขอเวลาทำใจหน่อย เพราะเขาเป็นใครก็ไม่รู้ เราไม่รู้ต้องช่วยเหลือแบบไหน ต้องให้ใครช่วยบ้าง เขาบอกว่ามันไม่ยาก แค่เขียนจดหมายไปถึงท่านนายพล ซึ่งเราบอกว่าเราไม่เก่งภาษาอังกฤษ เขาบอกว่าไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาอังกฤษ เพราะท่านนายพลมีคนที่เข้าใจในทุกภาษา ท่านจะตอบกลับมาเป็นภาษาไทย
เราเลยบอกให้เขาลองพิมพ์ข้อความกลับมา ซึ่งเป็นข้อความธรรมดามาก แค่บอกว่าเราเป็นคนในครอบครัวเขา ต้องการให้เขากลับมาจัดการปัญหาในครอบครัว ให้ทำเรื่องเอาชื่อเขาออกจากฐานทัพ และปฏิบัติการทั้งหมดของทหาร ให้ลบชื่อเขาออกจากกระบวนการ
(อ่ะ ข้อความไม่รุนแรงเท่าไหร่) เราก็เลยยอมส่งอีเมล์ให้
จนเมื่อส่งจดหมายไปหาท่านนายพล ...1 วันถัดมา ท่านนายพลก็ตอบจดหมายกลับมา ว่าจะรีบดำเนินการให้
เราสงสัยจึงถามเขาไปว่า ทำไมท่านนายพลถึงตอบกลับเร็วแบบนี้ และเรารู้สึกประหลาดใจมากที่ท่านตอบเป็นภาษาไทย เขาบอกว่าท่านนายพล จะตอบจดหมายของคนในครอบครัว หมอ ทหาร ทุกคน
เราเลยบอกว่าเขาคงไม่ยิงเราใช่มั้ยกับการหลอกลวง เขาบอกว่าไม่ ท่านนายพลเป็นคนใจดี เขาต้องรักและดูแลคนในครอบครัวของหมอ และทหารเป็นอย่างดี ให้เราตอบกลับขอบคุณท่านนายพล..อ่ะเราก็ตอบกลับไป
ความพีค จะมาในจดหมายที่ตอบกลับจากท่านนายพล
ซึ่งมีข้อความว่า คุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมดังต่อไปนี้: เพื่อจะนำตัวคนในครอบครัวของคุณออกมา
1. จากอเมริกา (130,000 บาท) 1 ปี 6 เดือน
2. จากอังกฤษ (110,000 บาท) 1 ปี 2 เดือน
3. จากอินเดีย: (90,000 บาท) 9 เดือน
4 จากเบลเยี่ยม (70,000 บาท) 6 เดือน
5. จากสเปน: (50,000 บาท) 4 เดือน
เป็นค่าเครื่องบินที่ทหาร หรือ หมอจะเข้าไปเปลี่ยนประจำการ ถ้าเราตกลง ให้ตอบจดหมายกลับไป เขาจะบอกว่าต้องชำระเงินยังไง
เท่านั้นหล่ะ..เราบล๊อกอีเมล์นายพลเลย
แล้วไลน์ถาม นายคิมเลย....ว่าทำไมต้องเสียเงิน ฉันไม่มีหรอก
แต่สิ่งที่ฉันทำได้คือ
ให้คุณบอกมาว่า
1.คุณเรียนจบที่ไหน
2.บ้านเกิดคุณอยู่ที่ไหน
3.คุณมีเพื่อนสนิทคือใคร
4.คุณนับถือศาสนา..นิกายอะไร
สิ่งที่ฉันจะทำได้คือส่งรูปคุณในไลน์นี้ ให้กับทุกคนที่คุณรู้จัก และระดมทุนเพื่อนำคุณออกมา
ฉันมีเพื่อนเกาหลีสามารถแปลข้อความของคุณเป็นภาษาเกาหลีได้ และส่งให้ทุกคนที่คุณรู้จัก
พอนายคิม อ่านแล้ว ก็บอกว่าเขาไม่คิดว่าท่านนายพลจะเรียกเงิน แต่เขาไม่อยากตายในสงคราม
เราเลยบอกไปว่า คุณบอกว่าท่านนายพลรักและจะดูแลครอบครัวของหมอ ทหาร
ทำไมถึงเรียกร้องเงินจากพวกเขาอีก อีกอย่าง พวกคุณทำงานในองค์การสหประชาชาติ องค์การระดับโลก ค่าเครื่องบินทำไมยังไม่มี
ทำไมสงครามขนาดนี้เขาถึงเอาหมอที่มีอายุมากอย่างคุณไป แทนที่จะเป็นหมอหนุ่มกระฉับกระแฉง
พอเขาให้คำตอบเราไม่ได้ จากปกติที่เขาจะตอบกลับมาในทันที เราเลยรู้ละ
สิ่งที่เราทำคือ เราพิมพ์กลับไปว่า
ถ้าเรื่องนี้คือเรื่องจริง หากเขาตายในสงครามก็จงภูมิใจว่าได้ช่วยเหลือคน และการตายก็ดีกว่าอยู่โลกใบนี้ โลกที่วุ่นวาย มีแต่สงคราม
การตายอาจดีกว่าการอยู่บนโลกใบนี้...
หรือถ้าเขายังอยู่ในสงครามก็ให้เข้าใจว่าเป็นประสงค์ของพระเจ้า ที่ต้องการให้เขาอยู่ ถ้าคนมันเป็นคู่กัน สักวันก็ต้องได้เจอกัน
แต่ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องโกหก
เราขอให้เขาหยุดการกระทำ..และเราจะขอภาวนาให้พระเจ้ารีบเอาตัวเขาไปจากโลกใบนี้เร็ว เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องหลอกลวงใครอีก
และการที่เขาเอาความรักของคนมาล้อเล่น เราจะขอให้เขาไม่พบเจอความรักอีก ให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว อยู่ตัวคนเดียว ให้คนมองเขาไร้ประโยชน์
ไร้คุณค่า ถึงแม้เขาจะมีความสุข เราก็ขอให้เขามีความทุกข์ฝังอยู่ในใจตลอดเวลา
ทุกข้อความหลังจากท่านนายพล ตอบกลับมา เขาอ่านแต่ไม่ตอบ...สงสัยคงเบลอไปแล้วมั้ง