สวัสดีค่ะ วันนี้จะหยิบเอาเรื่องเล่าเขย่าขวัญตอนหนึ่งจากเว็บงานแปลของเราเองที่ชื่อว่า "นอนไม่หลับ" ซึ่งเราเลือกเอาเรื่องเล่าน่ากลัวๆ จากบอร์ด Reddit มาแปลให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน โดยปกติเราจะอัปเดตบ่อยๆ อาทิตย์ละประมาณ 2-3 เรื่องในเว็บของเราเองชื่อ "นอนไม่หลับ" ค่ะ (
ลิงก์นี้นะคะลิงก์นี้นะคะ) หรือถ้าใครสะดวกอ่านบน ReadAWrite ก็
ลิงก์นี้ค่ะ
ถ้าอ่านแล้วชอบ สามารถตามไปอ่านตอนอื่นๆ ได้นะคะ ^^
**ปล. ก่อนแปลทุกครั้ง เราได้ขออนุญาตเจ้าของเรื่องเป็นการส่วนตัว และได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องแล้วทั้งสิ้นนะคะ ทั้งนี้สำนวนการแปลเป็นถือเป็นลิขสิทธิ์ของเรา ห้ามก๊อบปี้ไปลงเว็บอื่น หรือเอาไปอ่านลง Youtube โดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาดนะคะ**
มาเริ่มกันเลยค่ะ
--------------------------------------------------
ตู้สารภาพบาป
มันอาจเป็นการทำผิดกฎที่ผมจะเขียนถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่าบาทหลวงไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลใดๆ เมื่อมีคนมาสารภาพบาป แต่ผมว่าชายคนนี้เป็นข้อยกเว้น ผมต้องบอกใครสักคน ใครก็ได้..
ผมเองเป็นบาทหลวงมาสองสามปีแล้วและเริ่มคุ้นเคยกับหน้าที่ที่ทำอยู่ ดังนั้นพอชายคนนี้เข้ามาในโบสถ์แล้วเดินตรงไปที่ตู้สารภาพบาป ผมเลยไม่ได้แปลกใจอะไรนัก เขาไม่ได้แนะนำตัวเอง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร บางครั้ง คนที่มาสารภาพบาปจะไม่อยากเปิดเผยตัวตน
ผมมองเห็นหน้าเขาไม่ชัดเพราะเขาสวมเสื้อกันหนาวมีฮู้ดซึ่งเขาดึงมาปิดหน้าไว้มิดชิด แต่ผมก็ยังไม่ได้คิดอะไรมากอยู่ดี ผมเดินเข้าไปยังตู้สารภาพบาปเพื่อรับฟังและกล่าวทักทายเขาด้วยคำพูดที่ผมพูดกับทุกคนเมื่อทำหน้าที่รับฟังมาหลายต่อหลายครั้ง
ในตอนแรกเขาเงียบ ผมให้เวลาเขาสักพักเพราะคิดว่าเขาอาจไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง แต่หลังจากเวลาผ่านไปหลายนาที ผมถามว่าวันนี้เขาอยากจะสารภาพบาปเรื่องอะไร เขาเงียบอยู่สองสามวินาทีก่อนจะพูดว่าเขาเข้าไปในป่า เขาพูดเป็นเชิงอย่างกับว่าผมรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว และเขาหยุดอยู่แค่นั้น ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม อย่างกับว่านั่นเป็นบาปที่เขาทำลงไป
ผมคิดว่าเขาเป็นนายพรานเลยมาสารภาพบาปเพราะได้คร่าชีวิตสัตว์ต่างๆ ที่เขาฆ่า บางทีมันอาจจะเป็นการออกล่าสัตว์เป็นครั้งแรกของเขาและรู้สึกแย่เพราะสิ่งที่ทำลงก็ได้ละมั้ง
ผมขอให้เขาพูดต่อ
เขาบอกผมเกี่ยวกับพื้นที่ว่างเล็กๆ ในป่านั้น ซึ่งที่ตรงนั้นมีหญ้าที่มีสีเขียวสดมากกว่าที่อื่นๆ ในป่า และมีกระท่อมหลังเล็กๆ บนพื้นที่นั้นด้วย จากนั้นเขาเงียบไปอีกครั้ง ผมถามเขาว่าทำไมเขาถึงคิดว่าสิ่งที่เขาพูดมาเป็นบาป นั่นทำให้เขาหัวเราะออกมา และเสียงหัวเราะนั่นทำเอาผมรำคาญ หงุดหงิดและขนหัวลุก มันฟังดูน่ารังเกียจและบ้าคลั่ง
เขาไม่ได้อธิบายถึงเหตุผล แค่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากตู้ไป ที่จริงผมรู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เขาพูด แต่ผมเข้าใจไปเองว่ามันอาจเป็นการล้อกันเล่น ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ ผมแน่ใจว่าจะไม่ต้องเจอกับชายคนนี้อีก
แน่นอนว่าผมคิดผิด
เขากลับมาที่โบสถ์อีกครั้งในวันต่อมา แล้วเดินตรงไปยังตู้สารภาพบาปเหมือนครั้งที่แล้ว หวังจะให้ผมเดินตามเข้าไป แน่นอนว่าผมเข้าไปที่ตู้ด้วย ก็มันเป็นหน้าที่ของผมนี่นะ และคราวนี้ผมหวังว่าเขาจะตอบคำถามที่คาใจผมบางข้อด้วย เพราะผมเก็บเอาคำสารภาพบาปของเขาครั้งก่อนไปคิดอยู่นานเหมือนกัน
เขาแค่พูดว่าช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้นอนเอาเลย ผมเลยพูดไปว่าผมเองก็เป็นโรคนอนไม่หลับเหมือนกัน และถามเขาอีกครั้งว่าทำไมเขาถึงคิดว่าการนอนไม่หลับเป็นบาป
เขาหัวเราะอีกครั้ง มันทำให้ผมอยากทึ้งผิวหนังตัวเองให้หลุดออกมา
มีอีกคนหนึ่งที่มาที่โบสถ์นี้บ่อยๆ เธอเป็นหญิงสาวที่มักจะนั่งสวดอธิษฐานอยู่แถวหน้าเงียบๆ เราคุยกันบ้างเป็นบางครั้งและเธอพูดจาสุภาพเอามากๆ ผมชอบเธอ
ตอนเธอมาโบสถ์เมื่อคราวที่แล้ว เธอบอกผมว่ารู้สึกเหมือนมีคนสะกดรอยตามแม้แต่ในบ้านของเธอเอง และเธอรู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเลย เธออธิษฐานขอให้ความรู้สึกนั้นจางหายไปและผมสวดอธิษฐานขอให้เธอปลอดภัย
ชายประหลาดกลับมาที่โบสถ์ทุกวัน และเขามักจะพูดอย่างมากแค่สองสามประโยค และไม่มีอะไรที่ฟังดูเหมือนเป็นการทำบาปเลย หลังจากสามวันผ่านไป เขาเริ่มพูดซ้ำๆ เกี่ยวกับป่า กระท่อม และอาการนอนไม่กลับ พูดวนไปมาอยู่แบบนี้ไม่เลิก
แต่วันหนึ่งเขาพูดสิ่งที่ต่างจากครั้งก่อน มันเกิดขึ้นหลังจากที่ผมได้พูดคุยกับหญิงสาวคนนั้น เขาเงียบ ไม่พูดอะไรในตอนแรก ผมถามเขาว่ารู้จักหญิงสาวคนนั้นหรือเปล่า เพราะผมรู้สึกไม่ดีแปลกๆ เกี่ยวกับเขา
เขาหัวเราะ.. ผมกัดปากตัวเองจนเลือดออก
วันนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
ผมว่าแล้วว่าชายคนนั้นต้องเป็นตัวซวย เขาเข้ามาที่โบสถ์ทุกวันครบอาทิตย์หนึ่งแล้วและผมยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาชัดๆ เสียที เขามักจะใส่เสื้อมีฮู้ดและเดินตรงไปที่ตู้สารภาพบาปทุกครั้ง บางครั้ง ผมจะเห็นเขาทางหางตา เขามาที่โบสถ์ไม่เป็นเวลา ผมลองมาโบสถ์ช้ากว่าเดิมก็แล้ว เร็วกว่าเดิมก็แล้ว มันไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไปเลย ผมยังคงต้องพบเขาทุกวัน ราวกับว่าเขารู้ว่าควรจะมาถึงโบสถ์ตอนไหนถึงจะได้พบกับผม
หลังท่าทีแปลกๆ ของเขาตอนได้ยินคำถามผม ผมยิ่งกังวลเกี่ยวกับหญิงสาวคนนั้นเมื่อต้องรู้ว่าคนโรคจิตอย่างเขาอยู่ในพื้นที่ มันทำเอาผมนอนไม่หลับยิ่งไปกว่าเดิม ผมนอนมองเพดานบนเตียง ใจคิดเป็นห่วงหญิงสาวคนนั้นจนกระทั่งทนไม่ไหวอีกต่อไป ผมขับรถไปหาเธอที่บ้านเพื่อสวดอธิษฐานให้เธอและอะพาร์ตเม้นต์ของเธอได้รับการคุ้มครอง หวังว่ามันจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น
ในตอนแรกเธอไม่แน่ใจและรู้สึกอึดอัด ไม่เต็มใจจะให้ผมเข้าไปในบ้าน น่าสงสารจัง นี่เธอคงจะหวาดกลัวและกังวลไปหมด ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความกลัวนั้นสมเหตุสมผลหรือเปล่า เพราะเธอไม่เคยเห็นใครหรืออะไรที่ทำให้เกิดรู้สึกหวาดกลัวนั้นเลย ผมบอกเธอถึงความตั้งใจที่จะมาสวดอธิษฐานให้เธอและในที่สุดเธอก็ยอมให้ผมเข้าไปข้างใน
ผมเลือกห้องที่สำคัญที่สุดก่อนคือห้องนอนของเธอ มันมีหน้าต่างบานเดี่ยวที่หันหน้าไปทางสนามหลังบ้าน ผมยืนอยู่กลางห้องแล้วมองออกไปข้างนอก ในตอนนั้นเองผมมองเห็นชายคนนั้น เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นกำลังมองมาทางผม แม้ว่าผมจะไม่เห็นหน้าของเขาเพราะมันถูกบังไว้ด้วยฮู้ดผมก็รู้ว่าเป็นเขา พวกเรายืนจ้องกันอยู่แบบนั้นอยู่หลายวินาที
จากนั้นเขาเริ่มหัวเราะ ตอนนั้นหน้าต่างบานนั้นปิดอยู่ แต่เสียงหัวเราะของเขาดังมากอย่างกับว่าเขายืนอยู่ข้างๆ ผมนี่เอง ผมเริ่มใช้มือขูดข่วนผิวหนังตัวเองอย่างแรง
หญิงสาวเจ้าของอะพาร์ตเม้นต์โผล่เข้ามาในห้องแล้วตะคอกขู่ให้ผมออกไปให้พ้น ผมพยายามถามเธอว่ารู้จักชายที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างหรือเปล่า แต่เธอไม่ยอมฟังผมพูดเลย เอาแต่ตะโกนใส่ผม บอกให้ผมออกไปจากบ้านของเธอและอย่าได้กลับมาอีก เธอร้องไห้และผลักผมออกไปข้างนอก ผมบอกให้เธอโทรแจ้งตำรวจเรื่องชายนอกหน้าต่าง แต่เธอปิดประตูใส่หน้าผม
ชายคนเดิมกลับมาที่โบสถ์อีก แต่การสารภาพบาปของเขาเปลี่ยนไป ผมจำคำพูดของเขาได้ชัดเจน “อย่าพยายามให้ผมต้องถูกจับเข้าคุกนะคุณพ่อ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชามีแววข่มขู่ “ผมถูกกักขังมานานเกินไปแล้ว”
หญิงสาวคนนั้นไม่มาที่โบสถ์อีกเลย..
การสารภาพบาปของชายคนนั้นยังดำเนินต่อไปทุกวัน ทั้งเรื่องป่า เรื่องนอนไม่หลับ พูดเหมือนเดิมทุกครั้ง ผมพยายามมองเขาตอนเดินออกไปจากตู้สารภาพบาปเพื่อจะได้เห็นหน้าชัดๆ สักครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล
หลังจากนั้นสองสามวัน ผมตัดสินใจไปที่พื้นที่ว่างเล็กๆ ในป่าตามที่เขาพูดให้ฟัง หญ้าที่นั่นเขียวสดกว่าที่อื่นจริงอย่างที่เขาพูดจริงๆ ด้วย และยังมีกระท่อมหลังเล็กๆ อยู่ที่พื้นที่นั้น ขณะกำลังเดินไปที่กระท่อมหลังนั้น ผมรู้สึกเหมือนเดจาวู ทุกอย่างดูคุ้นตาราวกับว่าผมเคยมาที่นี่มาก่อน มีกลิ่นเหม็นเน่าลอยคละคลุ้งลอยค้างในอากาศ ผมกำลังจะเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูตอนที่อยู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกคลื่นไส้และหน้ามืดอย่างรุนแรง
ผมคงเป็นลมหมดสติไปตอนนั้น เพราะพอรู้สึกตัวอีกทีผมก็นั่งอยู่ในตู้สารภาพบาปอีกครั้ง โดยมีชายคนเดิมนั่งอยู่อีกด้าน เขาถามผมว่าได้นอนหลับครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
ผมตอบคำถามนั้นไม่ได้และเขาหัวเราะ และมันทำให้ผมลากเล็บยาวๆ ไปทั่วทั้งหน้าตัวเองจนเลือดออกซิบๆ
อาการนอนไม่หลับกำเริบอีกแล้ว ผมหมดสติไปพักใหญ่ และวันต่อมา ผมพบตัวเองกำลังคุกเข่าอยู่หน้าแท่นบูชาในโบสถ์ ในมือถือถ้วยทองพร้อมไวน์แดงเอาไว้ และผมจำไม่ได้ว่าผมไปที่นั่นได้ยังไง จำได้แค่ว่าผมตั้งใจจะอธิษฐานให้หญิงสาวคนนั้น ผมอธิษฐานอยู่นาน จากนั้นยกถ้วยไวน์ขึ้นแตะริมฝีปากแล้วดื่ม ไวน์แดงรสแปลกไป มันมีรสเหมือนสนิมเหล็กเจืออยู่ด้วย ผมนึกสงสัยว่าถ้วยทองอาจจะมีสนิมหรือเปล่า
แต่คำอธิษฐานของผมไม่เป็นผล เพราะได้ยินมาว่าหญิงสาวคนนั้นได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ผมรู้ว่าเธอตายไปแล้วและรู้ด้วยว่าเธอถูกฝังไว้ที่ไหน แต่ผมไม่มีหลักฐานอะไรและไม่อยากให้ใครเห็นผมเป็นผู้ต้องสงสัยเสียเอง ผมเลยไม่โทรแจ้งตำรวจ ผมบอกตัวเองว่าพระเจ้าจะลงโทษชายคนนั้นเอง เขาหลบหนีบาปที่เขาทำไม่ได้แน่
หนึ่งวันหลังจากวันที่ผมได้รู้ข่าวการหายตัวไปของหญิงสาวคนนั้น ชายคนนั้นรอผมอยู่ในตู้สารภาพบาปแล้วตอนผมไปถึงโบสถ์ ไม่มีร่อยรอยอะไรที่บ่งบอกว่าเขาอยู่ที่นั่นแต่ผมแน่ใจ และถึงแม้ว่าผมควรจะหันหลังกลับแล้วเดินออกจากโบสถ์ไปเสีย แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมเดินเข้าไปที่ตู้สารภาพบาปอยู่ดี
คราวนี้เขาพูดโดยไม่ลังเลว่า “คุณพ่ออยากจะสารภาพบาปหรือเปล่า?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ผมเงียบ ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาหวังจะให้ผมพูดอะไร ผมไม่คิดว่าตัวเองได้ทำบาปอะไรลงไปที่มันจะน่าสนใจนักหนาสำหรับเขา แต่ใจอยากจะถามเขาว่าทำไมวันนี้อยู่ๆ บทบาทของเราถึงสลับกัน เขาทำหน้าที่บาทหลวงและผมกลายเป็นคนมาสารภาพบาป
แต่เขาเริ่มหัวเราะ และผมพยายามข่วนหน้าตัวเองแรงๆ อีกครั้ง
สองสามวันต่อมา ผมได้พบกับหญิงสาวอีกคนที่โบสถ์ ผมเห็นเธอบ่อยๆ เราไม่เคยได้พูดคุยกันมาก่อนแต่เธอมักจะยิ้มอย่างสุภาพให้ผมเสมอ วันนี้เธอรอให้คนอื่นๆ กลับออกไปก่อนแล้วถามว่าผมโอเคหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าเธอกังวลที่เห็นหน้าของผมเต็มไปด้วยรอยข่วน แต่ผมบอกความจริงกับเธอไม่ได้ เลยไม่ได้พูดอะไร
เธอดีกับผมมาก บอกว่าผมไม่จำเป็นต้องบอกเธอก็ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมอยากระบายเธอพร้อมที่จะรับฟังเสมอ
สถานการณ์ของผมกับชายลึกลับยังเหมือนเดิม เขารอผมอยู่ตู้สารภาพบาปทุกวัน และถามคำถามเดิมซ้ำๆ
“คุณพ่ออยากจะสารภาพบาปหรือเปล่า?”
ผมไม่เคยตอบคำถามนั้นได้ เขาเริ่มหัวเราะและผมขีดข่วนหน้าตัวเองจนเป็นแผลกว้าง
เป็นแบบนี้มาได้หกอาทิตย์แล้ว
ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีแล้ว จำไม่ได้ว่าตัวเองได้นอนหลับครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เสียงหัวเราะของชายลึกลับยังดังก้องในหัวตลอดเวลา ผมข่วนตัวเองแรงๆ จนผิวหนังเป็นแผลเต็มไปหมดและเสื้อผ้าผมเลอะเลือดซักไม่ออก
ผมรู้ว่าไม่ควรเดินเข้าตู้สารภาพบาปอีก ผมควรหยุดพูดกับเขา แต่ก็ทำไม่ได้ ตอนนี้ผมเหนื่อยเหลือเกิน ผมเอาแต่เดินเข้าตู้สารภาพบาปและขูดเนื้อตัวเองจนหนังเปิดขณะเขาหัวเราะชอบใจ
บางทีผมควรจะสารภาพบาปออกไปซะให้รู้แล้วรู้รอด...
ถ้าผมรู้ว่าเขาอยากให้ผมพูดอะไรก็คงจะดี..
ผมจะหยุดเขียนแค่นี้ บางทีพวกคุณอาจจะบอกผมได้ว่าจะกำจัดเขาออกไปจากชีวิตผมได้ยังไง จนกว่าจะถึงวันนั้น ผมมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ งานในโบสถ์ครั้งหน้ากำลังจะมาถึงและไวน์กำลังจะหมด
ผมต้องออกไปหาไวน์มาเพิ่มสักหน่อย..
จบ
------------------------------
*จากใจผู้แปล: ตอนได้อ่านเรื่องนี้ฉบับภาษาอังกฤษคือถูกใจมาก (เจ้าของเรื่องนี้คือคนเดียวกันกับคนเขียนเรื่อง "รถไฟสายเที่ยงคืน") เป็นอะไรที่ออกจะซับซ้อน แต่ถ้าอ่านดีๆ จะมีคำตอบสำหรับแทบทุกคำถามที่คุณผู้อ่านอาจจะมีอยู่ในใจเลย คือเค้าเขียนมาได้สมบูรณ์มากๆ แอดเองเป็นคนชอบอ่านแนวจิตวิทยาอยู่แล้วเลยยิ่งถูกใจเข้าไปใหญ่ เลยรีบเอามาแปลให้ได้อ่านกันจ้าา ใครอ่านแล้วยังติดใจสงสัยอะไร ถามมานะคะ คอมเม้นไว้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวแอดมาไขข้อข้องใจให้นะคะ ^^
ตู้สารภาพบาป [เรื่องแปลลี้ลับจากบอร์ดฝรั่งดัง, เล่าเรื่องผี]
ถ้าอ่านแล้วชอบ สามารถตามไปอ่านตอนอื่นๆ ได้นะคะ ^^
**ปล. ก่อนแปลทุกครั้ง เราได้ขออนุญาตเจ้าของเรื่องเป็นการส่วนตัว และได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องแล้วทั้งสิ้นนะคะ ทั้งนี้สำนวนการแปลเป็นถือเป็นลิขสิทธิ์ของเรา ห้ามก๊อบปี้ไปลงเว็บอื่น หรือเอาไปอ่านลง Youtube โดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาดนะคะ**
มาเริ่มกันเลยค่ะ
--------------------------------------------------
ตู้สารภาพบาป
มันอาจเป็นการทำผิดกฎที่ผมจะเขียนถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่าบาทหลวงไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลใดๆ เมื่อมีคนมาสารภาพบาป แต่ผมว่าชายคนนี้เป็นข้อยกเว้น ผมต้องบอกใครสักคน ใครก็ได้..
ผมเองเป็นบาทหลวงมาสองสามปีแล้วและเริ่มคุ้นเคยกับหน้าที่ที่ทำอยู่ ดังนั้นพอชายคนนี้เข้ามาในโบสถ์แล้วเดินตรงไปที่ตู้สารภาพบาป ผมเลยไม่ได้แปลกใจอะไรนัก เขาไม่ได้แนะนำตัวเอง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร บางครั้ง คนที่มาสารภาพบาปจะไม่อยากเปิดเผยตัวตน
ผมมองเห็นหน้าเขาไม่ชัดเพราะเขาสวมเสื้อกันหนาวมีฮู้ดซึ่งเขาดึงมาปิดหน้าไว้มิดชิด แต่ผมก็ยังไม่ได้คิดอะไรมากอยู่ดี ผมเดินเข้าไปยังตู้สารภาพบาปเพื่อรับฟังและกล่าวทักทายเขาด้วยคำพูดที่ผมพูดกับทุกคนเมื่อทำหน้าที่รับฟังมาหลายต่อหลายครั้ง
ในตอนแรกเขาเงียบ ผมให้เวลาเขาสักพักเพราะคิดว่าเขาอาจไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง แต่หลังจากเวลาผ่านไปหลายนาที ผมถามว่าวันนี้เขาอยากจะสารภาพบาปเรื่องอะไร เขาเงียบอยู่สองสามวินาทีก่อนจะพูดว่าเขาเข้าไปในป่า เขาพูดเป็นเชิงอย่างกับว่าผมรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว และเขาหยุดอยู่แค่นั้น ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม อย่างกับว่านั่นเป็นบาปที่เขาทำลงไป
ผมคิดว่าเขาเป็นนายพรานเลยมาสารภาพบาปเพราะได้คร่าชีวิตสัตว์ต่างๆ ที่เขาฆ่า บางทีมันอาจจะเป็นการออกล่าสัตว์เป็นครั้งแรกของเขาและรู้สึกแย่เพราะสิ่งที่ทำลงก็ได้ละมั้ง
ผมขอให้เขาพูดต่อ
เขาบอกผมเกี่ยวกับพื้นที่ว่างเล็กๆ ในป่านั้น ซึ่งที่ตรงนั้นมีหญ้าที่มีสีเขียวสดมากกว่าที่อื่นๆ ในป่า และมีกระท่อมหลังเล็กๆ บนพื้นที่นั้นด้วย จากนั้นเขาเงียบไปอีกครั้ง ผมถามเขาว่าทำไมเขาถึงคิดว่าสิ่งที่เขาพูดมาเป็นบาป นั่นทำให้เขาหัวเราะออกมา และเสียงหัวเราะนั่นทำเอาผมรำคาญ หงุดหงิดและขนหัวลุก มันฟังดูน่ารังเกียจและบ้าคลั่ง
เขาไม่ได้อธิบายถึงเหตุผล แค่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากตู้ไป ที่จริงผมรู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เขาพูด แต่ผมเข้าใจไปเองว่ามันอาจเป็นการล้อกันเล่น ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ ผมแน่ใจว่าจะไม่ต้องเจอกับชายคนนี้อีก
แน่นอนว่าผมคิดผิด
เขากลับมาที่โบสถ์อีกครั้งในวันต่อมา แล้วเดินตรงไปยังตู้สารภาพบาปเหมือนครั้งที่แล้ว หวังจะให้ผมเดินตามเข้าไป แน่นอนว่าผมเข้าไปที่ตู้ด้วย ก็มันเป็นหน้าที่ของผมนี่นะ และคราวนี้ผมหวังว่าเขาจะตอบคำถามที่คาใจผมบางข้อด้วย เพราะผมเก็บเอาคำสารภาพบาปของเขาครั้งก่อนไปคิดอยู่นานเหมือนกัน
เขาแค่พูดว่าช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้นอนเอาเลย ผมเลยพูดไปว่าผมเองก็เป็นโรคนอนไม่หลับเหมือนกัน และถามเขาอีกครั้งว่าทำไมเขาถึงคิดว่าการนอนไม่หลับเป็นบาป
เขาหัวเราะอีกครั้ง มันทำให้ผมอยากทึ้งผิวหนังตัวเองให้หลุดออกมา
มีอีกคนหนึ่งที่มาที่โบสถ์นี้บ่อยๆ เธอเป็นหญิงสาวที่มักจะนั่งสวดอธิษฐานอยู่แถวหน้าเงียบๆ เราคุยกันบ้างเป็นบางครั้งและเธอพูดจาสุภาพเอามากๆ ผมชอบเธอ
ตอนเธอมาโบสถ์เมื่อคราวที่แล้ว เธอบอกผมว่ารู้สึกเหมือนมีคนสะกดรอยตามแม้แต่ในบ้านของเธอเอง และเธอรู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเลย เธออธิษฐานขอให้ความรู้สึกนั้นจางหายไปและผมสวดอธิษฐานขอให้เธอปลอดภัย
ชายประหลาดกลับมาที่โบสถ์ทุกวัน และเขามักจะพูดอย่างมากแค่สองสามประโยค และไม่มีอะไรที่ฟังดูเหมือนเป็นการทำบาปเลย หลังจากสามวันผ่านไป เขาเริ่มพูดซ้ำๆ เกี่ยวกับป่า กระท่อม และอาการนอนไม่กลับ พูดวนไปมาอยู่แบบนี้ไม่เลิก
แต่วันหนึ่งเขาพูดสิ่งที่ต่างจากครั้งก่อน มันเกิดขึ้นหลังจากที่ผมได้พูดคุยกับหญิงสาวคนนั้น เขาเงียบ ไม่พูดอะไรในตอนแรก ผมถามเขาว่ารู้จักหญิงสาวคนนั้นหรือเปล่า เพราะผมรู้สึกไม่ดีแปลกๆ เกี่ยวกับเขา
เขาหัวเราะ.. ผมกัดปากตัวเองจนเลือดออก
วันนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
ผมว่าแล้วว่าชายคนนั้นต้องเป็นตัวซวย เขาเข้ามาที่โบสถ์ทุกวันครบอาทิตย์หนึ่งแล้วและผมยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาชัดๆ เสียที เขามักจะใส่เสื้อมีฮู้ดและเดินตรงไปที่ตู้สารภาพบาปทุกครั้ง บางครั้ง ผมจะเห็นเขาทางหางตา เขามาที่โบสถ์ไม่เป็นเวลา ผมลองมาโบสถ์ช้ากว่าเดิมก็แล้ว เร็วกว่าเดิมก็แล้ว มันไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไปเลย ผมยังคงต้องพบเขาทุกวัน ราวกับว่าเขารู้ว่าควรจะมาถึงโบสถ์ตอนไหนถึงจะได้พบกับผม
หลังท่าทีแปลกๆ ของเขาตอนได้ยินคำถามผม ผมยิ่งกังวลเกี่ยวกับหญิงสาวคนนั้นเมื่อต้องรู้ว่าคนโรคจิตอย่างเขาอยู่ในพื้นที่ มันทำเอาผมนอนไม่หลับยิ่งไปกว่าเดิม ผมนอนมองเพดานบนเตียง ใจคิดเป็นห่วงหญิงสาวคนนั้นจนกระทั่งทนไม่ไหวอีกต่อไป ผมขับรถไปหาเธอที่บ้านเพื่อสวดอธิษฐานให้เธอและอะพาร์ตเม้นต์ของเธอได้รับการคุ้มครอง หวังว่ามันจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น
ในตอนแรกเธอไม่แน่ใจและรู้สึกอึดอัด ไม่เต็มใจจะให้ผมเข้าไปในบ้าน น่าสงสารจัง นี่เธอคงจะหวาดกลัวและกังวลไปหมด ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความกลัวนั้นสมเหตุสมผลหรือเปล่า เพราะเธอไม่เคยเห็นใครหรืออะไรที่ทำให้เกิดรู้สึกหวาดกลัวนั้นเลย ผมบอกเธอถึงความตั้งใจที่จะมาสวดอธิษฐานให้เธอและในที่สุดเธอก็ยอมให้ผมเข้าไปข้างใน
ผมเลือกห้องที่สำคัญที่สุดก่อนคือห้องนอนของเธอ มันมีหน้าต่างบานเดี่ยวที่หันหน้าไปทางสนามหลังบ้าน ผมยืนอยู่กลางห้องแล้วมองออกไปข้างนอก ในตอนนั้นเองผมมองเห็นชายคนนั้น เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นกำลังมองมาทางผม แม้ว่าผมจะไม่เห็นหน้าของเขาเพราะมันถูกบังไว้ด้วยฮู้ดผมก็รู้ว่าเป็นเขา พวกเรายืนจ้องกันอยู่แบบนั้นอยู่หลายวินาที
จากนั้นเขาเริ่มหัวเราะ ตอนนั้นหน้าต่างบานนั้นปิดอยู่ แต่เสียงหัวเราะของเขาดังมากอย่างกับว่าเขายืนอยู่ข้างๆ ผมนี่เอง ผมเริ่มใช้มือขูดข่วนผิวหนังตัวเองอย่างแรง
หญิงสาวเจ้าของอะพาร์ตเม้นต์โผล่เข้ามาในห้องแล้วตะคอกขู่ให้ผมออกไปให้พ้น ผมพยายามถามเธอว่ารู้จักชายที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างหรือเปล่า แต่เธอไม่ยอมฟังผมพูดเลย เอาแต่ตะโกนใส่ผม บอกให้ผมออกไปจากบ้านของเธอและอย่าได้กลับมาอีก เธอร้องไห้และผลักผมออกไปข้างนอก ผมบอกให้เธอโทรแจ้งตำรวจเรื่องชายนอกหน้าต่าง แต่เธอปิดประตูใส่หน้าผม
ชายคนเดิมกลับมาที่โบสถ์อีก แต่การสารภาพบาปของเขาเปลี่ยนไป ผมจำคำพูดของเขาได้ชัดเจน “อย่าพยายามให้ผมต้องถูกจับเข้าคุกนะคุณพ่อ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชามีแววข่มขู่ “ผมถูกกักขังมานานเกินไปแล้ว”
หญิงสาวคนนั้นไม่มาที่โบสถ์อีกเลย..
การสารภาพบาปของชายคนนั้นยังดำเนินต่อไปทุกวัน ทั้งเรื่องป่า เรื่องนอนไม่หลับ พูดเหมือนเดิมทุกครั้ง ผมพยายามมองเขาตอนเดินออกไปจากตู้สารภาพบาปเพื่อจะได้เห็นหน้าชัดๆ สักครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล
หลังจากนั้นสองสามวัน ผมตัดสินใจไปที่พื้นที่ว่างเล็กๆ ในป่าตามที่เขาพูดให้ฟัง หญ้าที่นั่นเขียวสดกว่าที่อื่นจริงอย่างที่เขาพูดจริงๆ ด้วย และยังมีกระท่อมหลังเล็กๆ อยู่ที่พื้นที่นั้น ขณะกำลังเดินไปที่กระท่อมหลังนั้น ผมรู้สึกเหมือนเดจาวู ทุกอย่างดูคุ้นตาราวกับว่าผมเคยมาที่นี่มาก่อน มีกลิ่นเหม็นเน่าลอยคละคลุ้งลอยค้างในอากาศ ผมกำลังจะเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูตอนที่อยู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกคลื่นไส้และหน้ามืดอย่างรุนแรง
ผมคงเป็นลมหมดสติไปตอนนั้น เพราะพอรู้สึกตัวอีกทีผมก็นั่งอยู่ในตู้สารภาพบาปอีกครั้ง โดยมีชายคนเดิมนั่งอยู่อีกด้าน เขาถามผมว่าได้นอนหลับครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
ผมตอบคำถามนั้นไม่ได้และเขาหัวเราะ และมันทำให้ผมลากเล็บยาวๆ ไปทั่วทั้งหน้าตัวเองจนเลือดออกซิบๆ
อาการนอนไม่หลับกำเริบอีกแล้ว ผมหมดสติไปพักใหญ่ และวันต่อมา ผมพบตัวเองกำลังคุกเข่าอยู่หน้าแท่นบูชาในโบสถ์ ในมือถือถ้วยทองพร้อมไวน์แดงเอาไว้ และผมจำไม่ได้ว่าผมไปที่นั่นได้ยังไง จำได้แค่ว่าผมตั้งใจจะอธิษฐานให้หญิงสาวคนนั้น ผมอธิษฐานอยู่นาน จากนั้นยกถ้วยไวน์ขึ้นแตะริมฝีปากแล้วดื่ม ไวน์แดงรสแปลกไป มันมีรสเหมือนสนิมเหล็กเจืออยู่ด้วย ผมนึกสงสัยว่าถ้วยทองอาจจะมีสนิมหรือเปล่า
แต่คำอธิษฐานของผมไม่เป็นผล เพราะได้ยินมาว่าหญิงสาวคนนั้นได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ผมรู้ว่าเธอตายไปแล้วและรู้ด้วยว่าเธอถูกฝังไว้ที่ไหน แต่ผมไม่มีหลักฐานอะไรและไม่อยากให้ใครเห็นผมเป็นผู้ต้องสงสัยเสียเอง ผมเลยไม่โทรแจ้งตำรวจ ผมบอกตัวเองว่าพระเจ้าจะลงโทษชายคนนั้นเอง เขาหลบหนีบาปที่เขาทำไม่ได้แน่
หนึ่งวันหลังจากวันที่ผมได้รู้ข่าวการหายตัวไปของหญิงสาวคนนั้น ชายคนนั้นรอผมอยู่ในตู้สารภาพบาปแล้วตอนผมไปถึงโบสถ์ ไม่มีร่อยรอยอะไรที่บ่งบอกว่าเขาอยู่ที่นั่นแต่ผมแน่ใจ และถึงแม้ว่าผมควรจะหันหลังกลับแล้วเดินออกจากโบสถ์ไปเสีย แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมเดินเข้าไปที่ตู้สารภาพบาปอยู่ดี
คราวนี้เขาพูดโดยไม่ลังเลว่า “คุณพ่ออยากจะสารภาพบาปหรือเปล่า?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ผมเงียบ ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาหวังจะให้ผมพูดอะไร ผมไม่คิดว่าตัวเองได้ทำบาปอะไรลงไปที่มันจะน่าสนใจนักหนาสำหรับเขา แต่ใจอยากจะถามเขาว่าทำไมวันนี้อยู่ๆ บทบาทของเราถึงสลับกัน เขาทำหน้าที่บาทหลวงและผมกลายเป็นคนมาสารภาพบาป
แต่เขาเริ่มหัวเราะ และผมพยายามข่วนหน้าตัวเองแรงๆ อีกครั้ง
สองสามวันต่อมา ผมได้พบกับหญิงสาวอีกคนที่โบสถ์ ผมเห็นเธอบ่อยๆ เราไม่เคยได้พูดคุยกันมาก่อนแต่เธอมักจะยิ้มอย่างสุภาพให้ผมเสมอ วันนี้เธอรอให้คนอื่นๆ กลับออกไปก่อนแล้วถามว่าผมโอเคหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าเธอกังวลที่เห็นหน้าของผมเต็มไปด้วยรอยข่วน แต่ผมบอกความจริงกับเธอไม่ได้ เลยไม่ได้พูดอะไร
เธอดีกับผมมาก บอกว่าผมไม่จำเป็นต้องบอกเธอก็ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมอยากระบายเธอพร้อมที่จะรับฟังเสมอ
สถานการณ์ของผมกับชายลึกลับยังเหมือนเดิม เขารอผมอยู่ตู้สารภาพบาปทุกวัน และถามคำถามเดิมซ้ำๆ
“คุณพ่ออยากจะสารภาพบาปหรือเปล่า?”
ผมไม่เคยตอบคำถามนั้นได้ เขาเริ่มหัวเราะและผมขีดข่วนหน้าตัวเองจนเป็นแผลกว้าง
เป็นแบบนี้มาได้หกอาทิตย์แล้ว
ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีแล้ว จำไม่ได้ว่าตัวเองได้นอนหลับครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เสียงหัวเราะของชายลึกลับยังดังก้องในหัวตลอดเวลา ผมข่วนตัวเองแรงๆ จนผิวหนังเป็นแผลเต็มไปหมดและเสื้อผ้าผมเลอะเลือดซักไม่ออก
ผมรู้ว่าไม่ควรเดินเข้าตู้สารภาพบาปอีก ผมควรหยุดพูดกับเขา แต่ก็ทำไม่ได้ ตอนนี้ผมเหนื่อยเหลือเกิน ผมเอาแต่เดินเข้าตู้สารภาพบาปและขูดเนื้อตัวเองจนหนังเปิดขณะเขาหัวเราะชอบใจ
บางทีผมควรจะสารภาพบาปออกไปซะให้รู้แล้วรู้รอด...
ถ้าผมรู้ว่าเขาอยากให้ผมพูดอะไรก็คงจะดี..
ผมจะหยุดเขียนแค่นี้ บางทีพวกคุณอาจจะบอกผมได้ว่าจะกำจัดเขาออกไปจากชีวิตผมได้ยังไง จนกว่าจะถึงวันนั้น ผมมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ งานในโบสถ์ครั้งหน้ากำลังจะมาถึงและไวน์กำลังจะหมด
ผมต้องออกไปหาไวน์มาเพิ่มสักหน่อย..
จบ
------------------------------
*จากใจผู้แปล: ตอนได้อ่านเรื่องนี้ฉบับภาษาอังกฤษคือถูกใจมาก (เจ้าของเรื่องนี้คือคนเดียวกันกับคนเขียนเรื่อง "รถไฟสายเที่ยงคืน") เป็นอะไรที่ออกจะซับซ้อน แต่ถ้าอ่านดีๆ จะมีคำตอบสำหรับแทบทุกคำถามที่คุณผู้อ่านอาจจะมีอยู่ในใจเลย คือเค้าเขียนมาได้สมบูรณ์มากๆ แอดเองเป็นคนชอบอ่านแนวจิตวิทยาอยู่แล้วเลยยิ่งถูกใจเข้าไปใหญ่ เลยรีบเอามาแปลให้ได้อ่านกันจ้าา ใครอ่านแล้วยังติดใจสงสัยอะไร ถามมานะคะ คอมเม้นไว้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวแอดมาไขข้อข้องใจให้นะคะ ^^