ต้องขอบอกว่าการรีวิวต่อไปนี้อาจจะมีเนื้อหาพูดถึงเนื้อเรื่องบางอย่างในตัวของซีรีย์เเต่อาจจะไม่เยอะ สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูมา ไปดูก่อนได้ครับเเล้วค่อยมาคุยกัน โอเคมาเริ่มกันเลย ....
(หนังสยองขวัญที่ฉาบหลังด้วยหนังปรัชญา)
Midnight Mass นั้นได้เล่าเรื่องราวของชุมชนเล็กๆ ในเกาะ Crocket Island โดยเล่าเรื่องราวผ่านชายคนหนึ่งที่เคยเป็นผู้อยู่อาศัยในชุมชนนี้มาก่อนทที่ได้กลับมาเยือนถิ่นกำเนิดของเขาอีกครั้ง และก็ได้พบว่าที่ชุมชนของเขามันมีการมาของนักบวกปริศนาที่ดูเหมือนจะเป็นต้นต่อที่ทำให้เรื่องราวอันไม่สามารถอธิบายได้เกิดขึ้น
สำหรับใครที่ได้ดูมาเเล้ว อาจจะมีทั้งชอบ ไม่ชอบ สงสัยใคร่รู้ เเละงงงวย 555 ซึ่งถ้าคุณกำลังงง ก็ขอให้มาคุยเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ เพราะประเด็นหนังนั้นมันตีความได้หลากหลายรูปเเบบจริงๆ เเต่ต้องออกตัวก่อนว่าผมเป็นเเฟนผู้กำกับคนนี้มาตั้งเเต่ฮิลเฮาส์เเล้ว เพราะเรื่องนั้นถือว่าขึ้นหิ้งในใจผม สำหรับผมเรื่องนี้ก็เช่นกัน ถือว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่ผมประทับใจ โดยเรื่อง Midnight Mass มีการสอดเเทรกประเด็นศาสนาเข้าไปเยอะมากโดยเฉพาะศาสนาคริสต์ เรียกง่ายๆว่าถ้ายกคัมภีร์มาทั้งหมดได้คงยกมาเเล้ว สำหรับผมก็มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับศาสนาคริสต์อยู่บ้างเลยเข้าใจถึงสัญญะบางอย่างในหนัง เเต่ต้องบอกก่อนว่า ถึงคนไม่เข้าใจศาสนาคริสต์ก็ดูได้เช่นกันนะครับ เพราะหนังมันก็มีการอธิบายภายในตัวของมันเอง
เนื้อเรื่องคร่าวๆไร้สปอย์
องก์เเรก
องก์เเรกของหนังคือองก์การปูตัวละครที่เเท้ทรู มีบทการเล่าที่ยาวเหยียด จนหลายคนอาจเบื่อหน่ายเเละกดทิ้งไว้เพื่อไปทำอย่างอื่น .......เเต่ช้าก่อนคุณควรหยุดการกระทำเช่นนั้นของคุณไว้เลยซ่าร่า เพราะซีรีย์เรื่องนี้ไม่ได้เร้าใจเรื่องความตื่นเต้น เเต่มันเร้าใจเรื่องของบทต่างหากล่ะ ใช่ครับบทของเรื่องนี้มันมีรายระเอียดยิบย่อยเต็มไปหมด ถ้าคุณไม่โฟกัสดีๆ คุณจะไม่มีทางอินเลยจริงๆ เเต่ฉากหนึ่งที่อยากให้ดูจริงๆๆเเบบมากๆๆเลยคือ ฉากคุยกันที่ชายหาดหลังพายุพัด เเล้วเช้าวันต่อมามันจะนำมาด้วยเหตุการบางอย่าง นั่นเเหละ คือพลังการเเสดงที่เเท้ทรู คือถ้าใครดูหนังเรื่อง 1917 ว่าด้วยการถ่ายเเบบลองเทคเเล้ว หรือ วันช็อต ฉากนี้ในซีรีย์เรื่องนี้ไม่เเพ้กัน เเถมบทพูดเยอะมากกก จนคิดว่าโหนักเเสดงจำได้ไงไหวเนี่ย เเล้วมันคือการถ่ายเเบบยาวววช็อตเดียวเป็นนาทีกว่าๆเลย ยาวกว่าตอนที่ฉากพี่น้องทะเลาะกันในฮิลเฮาส์อีก หนังจะเล่าเรื่องมาเรื่อยๆให้เห็นถึงตัวละครต่างๆในเกาะที่มีความสัมพันธ์กันต่างๆนาๆ ซึ่งเรามองว่าตรงนี้หนังตัวเรื่องพยายามเเทรกประเด็นเรื่องของสังคมย่อมๆที่มีการปกครองด้วยความเชื่อโดยตรงจากโบสถ์ มันเปรียบเหมือนศูนย์กลางของหมู่บ้านได้ เเละมาถึงการเริ่มจุดเปลี่ยนคือมีบาทหลวงเข้ามาในหมู่บ้าน นั่นคือองค์เเรกๆของเรื่อง
องก์กลาง
เนื้อเรื่องมาถึงจุดเปลี่ยนในเรื่องที่เด็กหญิงเดินได้ จริงๆเนื้อหานี้ไม่ได้สปอย์เพราะในทิลเลอร์มีครับ การเดินได้ของเด็กหญิงนำมาซึ่งความเปลี่ยนเเปลงครั้งใหญ่มากเลย เเละจุดนี้เเหละมันสะท้อนถึงความเชื่อของคนได้เเบบมีมิติมากๆ มีความเชื่อทั้งระดับต่ำจนไปถึงการคลั่งศาสนาเเละก่อเกิดเป็นลัทธิที่ใช้นามของพระเจ้าเป็นเสมือนประตูผ่านในการปกครองทั้งหมด เรียกได้ว่าถ้าเอ่ยว่าเป็นบัญชาของพระเจ้า ใครก็ขัดข้าไม่ได้ ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าจริงๆเเล้วต่อให้มนุษย์จะก้าวไกลเพียงใด ความเชื่อก็ยังมีพลังมหาศาลอยู่เสมอ เมื่อถึงคราวที่เราหมดหวัง คนก็พร้อมที่จะเชื่อได้ทุกอย่างที่สามารถทำให้ชีวิตตนเองดีขึ้น
องก์ที่สุดท้าย
หนังมาเข้าบทสรุปที่เรื่องปมต่างๆเริ่มเปิดขึ้นมา ซึ่งปมที่เปิดมาขัดกับหลักความเชื่อทั้งสองฝั่งเลย ทั้งวิทย์เเละศาสนาคริสต์ ทำให้เห็นถึงความขัดเเย้งว่าเเล้วถ้าเหตุการณ์มันเป็นไปในรูปเเบบนี้ เราจะเลือกเชื่อสิ่งใด? ถ้าบางครั้งสิ่งที่เราเชื่อมาทั้งหมด ถูกหักล้างทิ้ง เราจะยังเชื่ออยู่ไหม เพราะบทสุดท้ายขององก์นี้เปลี่ยนความคิดของตัวละครทุกคน มันเเสดงสิ่งที่เราเชื่อกันมาสรุปเเล้วมันถูกต้องจริงไหม สรุปเเล้วอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าถูก ทั้งวิทย์ คริสต์ เกือบลืม มีอิสลามด้วย ทั้งหมดทั้งมวลนี้อะไรคือจุดกลางเเละสิ่งที่เราเข้าใจตรงกัน กันเเน่ หนังช่วงท้าย จะมีการใส่ฉากไล่ล่ามาพอสมควรบอกเเค่นี้ ซึ่งทำให้เนื้อเรื่องดูตื่นเต้นขึ้นมา 1ระดับ เเต่อาจจจะไม่มากเท่าไหร่สำหรับใครที่เป็นสายบู้ เเละจบเรื่องได้อย่างงดงาม ผมว่ามันงดงามมากนะ
นัยยะที่ซ่อนยู่อย่างลึกซึ้ง (สปอย์บางฉาก)
"บทสนาความตายที่เราไม่เคยนึกถึง"
มีอยู่ฉากหนึ่งที่ผมประทบใจมากๆ คือฉากที่ตัวละครเอกสองคนนี้สนทนาเกี่ยวกับเรื่องความตาย ใช่ครับความตายที่ถ้าใครบางคนพูดขึ้นมาก็ไม่อยากให้พูดต่อเเล้วเพราะถือเป็นรางไม่ดี เเต่สองคนนี้คุยกันเรื่องความตายเสมือนเป็นเรื่องปกติของเรา เเละที่ลึกไปกว่านั้นคือฝ่ายชายจะเล่าความตายในเเบบของตนผ่านมุมมองวิทยาศาสตร์ เเละฝ่ายหญิงจะเล่าความตายของตนผ่านมุมมองของศาสนา โดยที่ทั้งสองความเชื่อสามารถเดินทางร่วมไปด้วยกันโดยที่ไม่มีผิดถูกเลย มันกลมกล่อมมากๆ ลบภาพจำที่ว่าวิทย์ก็ส่วนวิทย์ ศาสนาก็ส่วนศาสนาไปเลย ซึ่งสิ่งนี้มันทัชใจตรงที่ว่า เออจริงเเฮะ เราไม่เคยคิดกันเลยว่าถ้าเราตายเราจะตายเเบบไหน ลำดับขั้นตอนการตายเป็นยังไง เเละจุดจบที่ตายสมบูรณ์ไปเเล้วจะไปในรูปเเบบไหน เพราะมนุษย์ทุกคนโหยหาที่จะมีชีวิตอยู่กันอย่างเดียว โดยที่ลืมนึกถึงความตายที่เรากลัวมาโดยตลอด เเต่ถ้าเรามาเเกะลงลึกรายละเอียดเเละทำความเข้าใจกับมันดีๆเเล้ว เราอาจพบว่าความตายมันให้อะไรกับเราเยอะมากทั้งตนเอง เเละต่อโลก
"ความต่างศาสนาที่ระบบการศึกษาไม่เคยให้ความเท่าเทียม"
(ภาพที่ยกมาไม่ได้ตรงตามฉาก) มันเป็นฉากหนึ่งของหนังที่เล่าเรื่องประเด็นความต่างศาสนาระหว่างคริสต์เเละอิสลามที่ว่าด้วยเรื่องความคล้ายกันของที่มา เเต่ต่างกันที่คำสอนเเละการปฏิบัติ โดยในเรื่องมีการให้โรงเรียนเปลี่ยนมาใช้คัมภีร์ไบเบิลทั้งหมดสอนเด็ก เเม้เเต่เด็กอิสลามก็ตามก็ต้องใช้ตำรานี้ ซึ่งมันสะท้อนอย่างมากเลยถึงค่านิยมการปกครองที่ในไทยก็มีเช่นกัน เราไม่เคยตั้งคำถามเลยว่าการสอนศาสนาในโรงเรียนนั้น ถ้าคนต่างศาสนาล่ะ ทำยังไง ผมว่าต้องมีเพื่อนใครสักคนที่เป็นมุสลิมเเล้วเข้ามาเรียนในโรงเรียนที่สอนศาสนาพุทธ ซึ่งหลักคำสอนต่างกันมากๆ เขาหล่านั้นจะทำยังไง ? เราไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ เเถมบางครั้งยังเข้าข้างศาสนาตนเองว่าดีกว่าของคนอื่น เช่นกันกับเรื่องนี้ที่ว่าด้วยเรื่องของการมองเหยียดศาสนาอื่น หาว่าคำสอนนั้นมาที่หลังบ้าง ผิดบ้าง ไม่บริสุทธิ์บ้าง หรือประชามติลงความเห็นโดยไม่สนใจเสียงข้างน้อยเเต่อย่างใด ทำให้เห็นว่าเเม้โลกเราจะเปิดเสรีภาพเพียงใด เเต่ศาสนานั้นมันยังมีกฎเกณฑ์การเเบ่งเเยกสังคมบางอย่างอยู่ ซึ่งตรงจุดนี้ซีรีย์สะท้อนได้เจ็บมากเเละถือว่าเป็นฉากชวนขบคิดที่ดี
"โบสถ์เเละคำสรรเสริญ ลาภเเละเกียรติยศต่อความเชื่อ"
คงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "หากินกับเรื่องความเชื่อเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด" ฉากโบสถ์ในเรื่องคงตอบคำถามเรื่องนี้ได้ทั้งหมด ใช่ครับความเชื่อของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก มันดลบันดาลให้เราทำอะไรได้หลากหลายอย่างในเเบบที่เราไม่คิดว่าจะทำได้ก็มี ซึ่งฉากโบสถ์ในเเต่ละตอนมันเเสดงถึงพลังของความศรัทธาของคนในเกาะที่พร้อมใจถวายชีวิตก็ว่าได้ ถ้าเขาได้เข้าถึงพระเจ้า เเม้สิ่งที่ทำจะเป็นด้านลบหรือดีก็ตาม ก็พร้อมใจที่จะทำโดยไม่มีความลังเลใดๆ เหมือนในสังคมไทยที่เรามักจะเข้าหาความเชื่อ ร่างทรง น้ำมนต์ ภูตผี ขอโชคลาภ ที่เราเชื่อว่าเราทำเเล้วสบายใจเรา หรือในวันที่เราไร้ซึ่งทางออก โดยที่เราไม่มองหาเหตุเเละผลก่อนเลยด้วยซ้ำ เเต่คิดว่ามันดีต่อใจก็เลยเชื่อเท่านั้น จนบางครั้งลืมสามัญสำนึกต่างๆทั้งผิดชอบชั่วดีหรือตัวตนของตนเองไป
"สถานที่ที่บริสุทธิ์เเต่เปลือก เเต่ข้างในเคลือบไปด้วยความสกปรก"
โบสถ์เเละสถานที่ทางศาสนาต่างๆบริสุทธิ์จริงๆหรือ? เป็นคำถามที่หนังเเฝงนัยยะได้อย่างคมคาย บางครั้งสถานที่ที่ว่าบริสุทธิ์ สะอาด เเต่อาจฉาบไปด้วยความสกปรกของกิเลสต่างๆของมนุษย์ ซึ่งช่วงหลังๆเลยที่เห็นข่าวนำเสนอการหากินกับความศรัทธาของคนโดยผ่านวัด นั่นคือสิ่งที่เราว่าหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ดี เพราะมันเเสดงถึงความขัดเเยงที่เห็นได้ชัดเลยว่า สิ่งที่ดีก็อาจเต็มไปด้วยสิ่งที่ชั่วร้ายเเต่สิ่งที่ชั่วร้ายสำหรับเรา ภายในมันอาจซ่อนสิ่งที่ดีเอาไว้ มันคือการมองให้ลึกถึงความเทาของโลก ที่โลกไม่ได้มีสิ่งที่ขาว หรือ ดำ เเม้เเต่ความบริสุทธิ์ที่เราคิด มันก็อาจมีสีดำปนอยู่ก็ได้
มิติของตัวละครหลัก
ไรลีย์ ฟลินน์
แสดงโดย: แซ็ค กิลฟอร์ด
ตัวละครที่เป็นตัวเเทนของฝั่งความเชื่อเเบบวิทย์ เป็นตัวละครที่มานิ่งๆ เเต่ยิ่งใหญ่ เพราะตัวเขาเจอปัญหามาหนักหน่วงมาก จนเขาละทิ้งความเชื่อหลายอย่างออกไป ทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครตัวนี้เป็นตัวละครที่มีเหตุเเละผลมากที่สุดในเรื่อง เพราะตัวเขาผ่านทั้งความเชื่อเเละหมดศรัทธาที่จะไม่เชื่อมาเเล้ว จึงเป็นตัวละครที่เป็นกลางมากที่สุดของเรื่อง เเละมีสติที่สุดเเม้เจอเรื่องที่ไม่คาดฝันกับตนเองก็ตาม
เอริน กรีน
แสดงโดย: เคท ซีเกล
เป็นตัวละครที่มีความเชื่อทางศาสนาที่เป็นกลาง คือมีความเชื่อเเต่ก็มีเหตุผลเเละรับฟังผู้อื่น บทสุดท้ายของตัวละครนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ผมประทับใจมาก เพราะเหมือนกรีนได้เข้าใจสารบางอย่างที่ได้คุยกับพระเอกเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องความตาย ซึ่งเป็นอะไรที่สวยงามเเละปริ่มใจมากๆในบทสรุปของตัวละครนี้
Father Paul Hill
แสดงโดย: ฮามิช ลิงคเลเตอร์
ตัวละครที่เป็นหัวหอกของเรื่องราวทั้งหมดเลยก็ว่าได้ ซี่งสิ่งที่หลวงพ่อคนนี้ได้พบมานั้น มันเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้หลวงพ่อนั้น มีความคิดที่ต่างออกไปจากศาสนาคริสต์เเบบเดิม ซึ่งเป็นตัวละครที่มีเหตุผลในการกระทำพอสมควรทำให้เราเข้าใจเเละรับรู้ได้ถึงเหตุผลที่กระทำลงไป
เบเวอร์ลี คีน
แสดงโดย: ซาแมนธา สโลยาน
เจ๊เเกคือตัวเเสบของเรื่อง 5555 คือเป็นคนที่คลั่งศาสนาคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เเถมยังเป็นคนที่บงการทุกอย่างเลย ตัวละครนี้สะท้อนคนที่คลั่งศาสนาเเละใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องหรือทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้มาโดยชอบหรือมิชอบก็ตาม เพราะเชื่อว่าตนเองคือผู้เหนือกว่า เเละผู้คุมกฎเกณฑ์ต่างๆ อันเเสดงถึงอำนาจที่ใช้ศาสนาเป็นโล่กันบังปกปิดความผิด เปลี่ยนดำเป็นขาวได้ เพียงเพราะรู้ศาสนาเเละเข้าถึงพระเจ้าดีกว่าคนอื่นๆ สะท้อนสังคมไทยที่คนมีภูมิมักจะข่มคนผู้น้อยเสมอ เพียงเพราะคิดว่าตนเองอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ตนเองดีถึงมีสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นได้
สรุป
Midnight Mass คือซีรีย์น้ำดีอีกเรื่องที่ผมเทใจให้ เพราะด้วยบท การเเสดง เเละบทสรุป มันทำให้เราได้ขบคิดประเด็นหลายๆอย่างที่ซีรีย์ต้องการจะสะท้อนภาพของสังคมเล็กๆสังคมหนึ่งที่อาศัยความเชื่อในการปกครอง เเละผลลัพธ์ที่ตามมาที่ทรงพลังในตอนจบ เเต่สำหรับใครที่ถามหาความหลอนคงต้องบอกเลยอาจผิดหวังนิดหน่อย 55555 เพราะอย่างที่บอกหนังเน้นบทเเละปรัชญามากกว่าความหลอน เท่าผลงานเก่าๆของผู้กำกับคนนี้
สุดท้ายอยากจะบอกว่า เปิดใจดูเเล้วจะรู้ถึงความสวยงาม
"เพราะมนุษย์อยู่ได้ด้วยความเชื่อ"
ฉายเเล้วที่ Netflix
Midnight Mass หนังสยองขวัญที่ฉาบหลังด้วยหนังปรัชญา
(หนังสยองขวัญที่ฉาบหลังด้วยหนังปรัชญา)
Midnight Mass นั้นได้เล่าเรื่องราวของชุมชนเล็กๆ ในเกาะ Crocket Island โดยเล่าเรื่องราวผ่านชายคนหนึ่งที่เคยเป็นผู้อยู่อาศัยในชุมชนนี้มาก่อนทที่ได้กลับมาเยือนถิ่นกำเนิดของเขาอีกครั้ง และก็ได้พบว่าที่ชุมชนของเขามันมีการมาของนักบวกปริศนาที่ดูเหมือนจะเป็นต้นต่อที่ทำให้เรื่องราวอันไม่สามารถอธิบายได้เกิดขึ้น
สำหรับใครที่ได้ดูมาเเล้ว อาจจะมีทั้งชอบ ไม่ชอบ สงสัยใคร่รู้ เเละงงงวย 555 ซึ่งถ้าคุณกำลังงง ก็ขอให้มาคุยเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ เพราะประเด็นหนังนั้นมันตีความได้หลากหลายรูปเเบบจริงๆ เเต่ต้องออกตัวก่อนว่าผมเป็นเเฟนผู้กำกับคนนี้มาตั้งเเต่ฮิลเฮาส์เเล้ว เพราะเรื่องนั้นถือว่าขึ้นหิ้งในใจผม สำหรับผมเรื่องนี้ก็เช่นกัน ถือว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่ผมประทับใจ โดยเรื่อง Midnight Mass มีการสอดเเทรกประเด็นศาสนาเข้าไปเยอะมากโดยเฉพาะศาสนาคริสต์ เรียกง่ายๆว่าถ้ายกคัมภีร์มาทั้งหมดได้คงยกมาเเล้ว สำหรับผมก็มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับศาสนาคริสต์อยู่บ้างเลยเข้าใจถึงสัญญะบางอย่างในหนัง เเต่ต้องบอกก่อนว่า ถึงคนไม่เข้าใจศาสนาคริสต์ก็ดูได้เช่นกันนะครับ เพราะหนังมันก็มีการอธิบายภายในตัวของมันเอง
เนื้อเรื่องคร่าวๆไร้สปอย์
องก์เเรก
องก์เเรกของหนังคือองก์การปูตัวละครที่เเท้ทรู มีบทการเล่าที่ยาวเหยียด จนหลายคนอาจเบื่อหน่ายเเละกดทิ้งไว้เพื่อไปทำอย่างอื่น .......เเต่ช้าก่อนคุณควรหยุดการกระทำเช่นนั้นของคุณไว้เลยซ่าร่า เพราะซีรีย์เรื่องนี้ไม่ได้เร้าใจเรื่องความตื่นเต้น เเต่มันเร้าใจเรื่องของบทต่างหากล่ะ ใช่ครับบทของเรื่องนี้มันมีรายระเอียดยิบย่อยเต็มไปหมด ถ้าคุณไม่โฟกัสดีๆ คุณจะไม่มีทางอินเลยจริงๆ เเต่ฉากหนึ่งที่อยากให้ดูจริงๆๆเเบบมากๆๆเลยคือ ฉากคุยกันที่ชายหาดหลังพายุพัด เเล้วเช้าวันต่อมามันจะนำมาด้วยเหตุการบางอย่าง นั่นเเหละ คือพลังการเเสดงที่เเท้ทรู คือถ้าใครดูหนังเรื่อง 1917 ว่าด้วยการถ่ายเเบบลองเทคเเล้ว หรือ วันช็อต ฉากนี้ในซีรีย์เรื่องนี้ไม่เเพ้กัน เเถมบทพูดเยอะมากกก จนคิดว่าโหนักเเสดงจำได้ไงไหวเนี่ย เเล้วมันคือการถ่ายเเบบยาวววช็อตเดียวเป็นนาทีกว่าๆเลย ยาวกว่าตอนที่ฉากพี่น้องทะเลาะกันในฮิลเฮาส์อีก หนังจะเล่าเรื่องมาเรื่อยๆให้เห็นถึงตัวละครต่างๆในเกาะที่มีความสัมพันธ์กันต่างๆนาๆ ซึ่งเรามองว่าตรงนี้หนังตัวเรื่องพยายามเเทรกประเด็นเรื่องของสังคมย่อมๆที่มีการปกครองด้วยความเชื่อโดยตรงจากโบสถ์ มันเปรียบเหมือนศูนย์กลางของหมู่บ้านได้ เเละมาถึงการเริ่มจุดเปลี่ยนคือมีบาทหลวงเข้ามาในหมู่บ้าน นั่นคือองค์เเรกๆของเรื่อง
องก์กลาง
เนื้อเรื่องมาถึงจุดเปลี่ยนในเรื่องที่เด็กหญิงเดินได้ จริงๆเนื้อหานี้ไม่ได้สปอย์เพราะในทิลเลอร์มีครับ การเดินได้ของเด็กหญิงนำมาซึ่งความเปลี่ยนเเปลงครั้งใหญ่มากเลย เเละจุดนี้เเหละมันสะท้อนถึงความเชื่อของคนได้เเบบมีมิติมากๆ มีความเชื่อทั้งระดับต่ำจนไปถึงการคลั่งศาสนาเเละก่อเกิดเป็นลัทธิที่ใช้นามของพระเจ้าเป็นเสมือนประตูผ่านในการปกครองทั้งหมด เรียกได้ว่าถ้าเอ่ยว่าเป็นบัญชาของพระเจ้า ใครก็ขัดข้าไม่ได้ ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าจริงๆเเล้วต่อให้มนุษย์จะก้าวไกลเพียงใด ความเชื่อก็ยังมีพลังมหาศาลอยู่เสมอ เมื่อถึงคราวที่เราหมดหวัง คนก็พร้อมที่จะเชื่อได้ทุกอย่างที่สามารถทำให้ชีวิตตนเองดีขึ้น
องก์ที่สุดท้าย
หนังมาเข้าบทสรุปที่เรื่องปมต่างๆเริ่มเปิดขึ้นมา ซึ่งปมที่เปิดมาขัดกับหลักความเชื่อทั้งสองฝั่งเลย ทั้งวิทย์เเละศาสนาคริสต์ ทำให้เห็นถึงความขัดเเย้งว่าเเล้วถ้าเหตุการณ์มันเป็นไปในรูปเเบบนี้ เราจะเลือกเชื่อสิ่งใด? ถ้าบางครั้งสิ่งที่เราเชื่อมาทั้งหมด ถูกหักล้างทิ้ง เราจะยังเชื่ออยู่ไหม เพราะบทสุดท้ายขององก์นี้เปลี่ยนความคิดของตัวละครทุกคน มันเเสดงสิ่งที่เราเชื่อกันมาสรุปเเล้วมันถูกต้องจริงไหม สรุปเเล้วอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าถูก ทั้งวิทย์ คริสต์ เกือบลืม มีอิสลามด้วย ทั้งหมดทั้งมวลนี้อะไรคือจุดกลางเเละสิ่งที่เราเข้าใจตรงกัน กันเเน่ หนังช่วงท้าย จะมีการใส่ฉากไล่ล่ามาพอสมควรบอกเเค่นี้ ซึ่งทำให้เนื้อเรื่องดูตื่นเต้นขึ้นมา 1ระดับ เเต่อาจจจะไม่มากเท่าไหร่สำหรับใครที่เป็นสายบู้ เเละจบเรื่องได้อย่างงดงาม ผมว่ามันงดงามมากนะ
นัยยะที่ซ่อนยู่อย่างลึกซึ้ง (สปอย์บางฉาก)
"บทสนาความตายที่เราไม่เคยนึกถึง"
มีอยู่ฉากหนึ่งที่ผมประทบใจมากๆ คือฉากที่ตัวละครเอกสองคนนี้สนทนาเกี่ยวกับเรื่องความตาย ใช่ครับความตายที่ถ้าใครบางคนพูดขึ้นมาก็ไม่อยากให้พูดต่อเเล้วเพราะถือเป็นรางไม่ดี เเต่สองคนนี้คุยกันเรื่องความตายเสมือนเป็นเรื่องปกติของเรา เเละที่ลึกไปกว่านั้นคือฝ่ายชายจะเล่าความตายในเเบบของตนผ่านมุมมองวิทยาศาสตร์ เเละฝ่ายหญิงจะเล่าความตายของตนผ่านมุมมองของศาสนา โดยที่ทั้งสองความเชื่อสามารถเดินทางร่วมไปด้วยกันโดยที่ไม่มีผิดถูกเลย มันกลมกล่อมมากๆ ลบภาพจำที่ว่าวิทย์ก็ส่วนวิทย์ ศาสนาก็ส่วนศาสนาไปเลย ซึ่งสิ่งนี้มันทัชใจตรงที่ว่า เออจริงเเฮะ เราไม่เคยคิดกันเลยว่าถ้าเราตายเราจะตายเเบบไหน ลำดับขั้นตอนการตายเป็นยังไง เเละจุดจบที่ตายสมบูรณ์ไปเเล้วจะไปในรูปเเบบไหน เพราะมนุษย์ทุกคนโหยหาที่จะมีชีวิตอยู่กันอย่างเดียว โดยที่ลืมนึกถึงความตายที่เรากลัวมาโดยตลอด เเต่ถ้าเรามาเเกะลงลึกรายละเอียดเเละทำความเข้าใจกับมันดีๆเเล้ว เราอาจพบว่าความตายมันให้อะไรกับเราเยอะมากทั้งตนเอง เเละต่อโลก
"ความต่างศาสนาที่ระบบการศึกษาไม่เคยให้ความเท่าเทียม"
(ภาพที่ยกมาไม่ได้ตรงตามฉาก) มันเป็นฉากหนึ่งของหนังที่เล่าเรื่องประเด็นความต่างศาสนาระหว่างคริสต์เเละอิสลามที่ว่าด้วยเรื่องความคล้ายกันของที่มา เเต่ต่างกันที่คำสอนเเละการปฏิบัติ โดยในเรื่องมีการให้โรงเรียนเปลี่ยนมาใช้คัมภีร์ไบเบิลทั้งหมดสอนเด็ก เเม้เเต่เด็กอิสลามก็ตามก็ต้องใช้ตำรานี้ ซึ่งมันสะท้อนอย่างมากเลยถึงค่านิยมการปกครองที่ในไทยก็มีเช่นกัน เราไม่เคยตั้งคำถามเลยว่าการสอนศาสนาในโรงเรียนนั้น ถ้าคนต่างศาสนาล่ะ ทำยังไง ผมว่าต้องมีเพื่อนใครสักคนที่เป็นมุสลิมเเล้วเข้ามาเรียนในโรงเรียนที่สอนศาสนาพุทธ ซึ่งหลักคำสอนต่างกันมากๆ เขาหล่านั้นจะทำยังไง ? เราไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ เเถมบางครั้งยังเข้าข้างศาสนาตนเองว่าดีกว่าของคนอื่น เช่นกันกับเรื่องนี้ที่ว่าด้วยเรื่องของการมองเหยียดศาสนาอื่น หาว่าคำสอนนั้นมาที่หลังบ้าง ผิดบ้าง ไม่บริสุทธิ์บ้าง หรือประชามติลงความเห็นโดยไม่สนใจเสียงข้างน้อยเเต่อย่างใด ทำให้เห็นว่าเเม้โลกเราจะเปิดเสรีภาพเพียงใด เเต่ศาสนานั้นมันยังมีกฎเกณฑ์การเเบ่งเเยกสังคมบางอย่างอยู่ ซึ่งตรงจุดนี้ซีรีย์สะท้อนได้เจ็บมากเเละถือว่าเป็นฉากชวนขบคิดที่ดี
"โบสถ์เเละคำสรรเสริญ ลาภเเละเกียรติยศต่อความเชื่อ"
คงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "หากินกับเรื่องความเชื่อเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด" ฉากโบสถ์ในเรื่องคงตอบคำถามเรื่องนี้ได้ทั้งหมด ใช่ครับความเชื่อของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก มันดลบันดาลให้เราทำอะไรได้หลากหลายอย่างในเเบบที่เราไม่คิดว่าจะทำได้ก็มี ซึ่งฉากโบสถ์ในเเต่ละตอนมันเเสดงถึงพลังของความศรัทธาของคนในเกาะที่พร้อมใจถวายชีวิตก็ว่าได้ ถ้าเขาได้เข้าถึงพระเจ้า เเม้สิ่งที่ทำจะเป็นด้านลบหรือดีก็ตาม ก็พร้อมใจที่จะทำโดยไม่มีความลังเลใดๆ เหมือนในสังคมไทยที่เรามักจะเข้าหาความเชื่อ ร่างทรง น้ำมนต์ ภูตผี ขอโชคลาภ ที่เราเชื่อว่าเราทำเเล้วสบายใจเรา หรือในวันที่เราไร้ซึ่งทางออก โดยที่เราไม่มองหาเหตุเเละผลก่อนเลยด้วยซ้ำ เเต่คิดว่ามันดีต่อใจก็เลยเชื่อเท่านั้น จนบางครั้งลืมสามัญสำนึกต่างๆทั้งผิดชอบชั่วดีหรือตัวตนของตนเองไป
"สถานที่ที่บริสุทธิ์เเต่เปลือก เเต่ข้างในเคลือบไปด้วยความสกปรก"
โบสถ์เเละสถานที่ทางศาสนาต่างๆบริสุทธิ์จริงๆหรือ? เป็นคำถามที่หนังเเฝงนัยยะได้อย่างคมคาย บางครั้งสถานที่ที่ว่าบริสุทธิ์ สะอาด เเต่อาจฉาบไปด้วยความสกปรกของกิเลสต่างๆของมนุษย์ ซึ่งช่วงหลังๆเลยที่เห็นข่าวนำเสนอการหากินกับความศรัทธาของคนโดยผ่านวัด นั่นคือสิ่งที่เราว่าหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ดี เพราะมันเเสดงถึงความขัดเเยงที่เห็นได้ชัดเลยว่า สิ่งที่ดีก็อาจเต็มไปด้วยสิ่งที่ชั่วร้ายเเต่สิ่งที่ชั่วร้ายสำหรับเรา ภายในมันอาจซ่อนสิ่งที่ดีเอาไว้ มันคือการมองให้ลึกถึงความเทาของโลก ที่โลกไม่ได้มีสิ่งที่ขาว หรือ ดำ เเม้เเต่ความบริสุทธิ์ที่เราคิด มันก็อาจมีสีดำปนอยู่ก็ได้
มิติของตัวละครหลัก
ไรลีย์ ฟลินน์
แสดงโดย: แซ็ค กิลฟอร์ด
ตัวละครที่เป็นตัวเเทนของฝั่งความเชื่อเเบบวิทย์ เป็นตัวละครที่มานิ่งๆ เเต่ยิ่งใหญ่ เพราะตัวเขาเจอปัญหามาหนักหน่วงมาก จนเขาละทิ้งความเชื่อหลายอย่างออกไป ทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครตัวนี้เป็นตัวละครที่มีเหตุเเละผลมากที่สุดในเรื่อง เพราะตัวเขาผ่านทั้งความเชื่อเเละหมดศรัทธาที่จะไม่เชื่อมาเเล้ว จึงเป็นตัวละครที่เป็นกลางมากที่สุดของเรื่อง เเละมีสติที่สุดเเม้เจอเรื่องที่ไม่คาดฝันกับตนเองก็ตาม
เอริน กรีน
แสดงโดย: เคท ซีเกล
เป็นตัวละครที่มีความเชื่อทางศาสนาที่เป็นกลาง คือมีความเชื่อเเต่ก็มีเหตุผลเเละรับฟังผู้อื่น บทสุดท้ายของตัวละครนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ผมประทับใจมาก เพราะเหมือนกรีนได้เข้าใจสารบางอย่างที่ได้คุยกับพระเอกเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องความตาย ซึ่งเป็นอะไรที่สวยงามเเละปริ่มใจมากๆในบทสรุปของตัวละครนี้
Father Paul Hill
แสดงโดย: ฮามิช ลิงคเลเตอร์
ตัวละครที่เป็นหัวหอกของเรื่องราวทั้งหมดเลยก็ว่าได้ ซี่งสิ่งที่หลวงพ่อคนนี้ได้พบมานั้น มันเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้หลวงพ่อนั้น มีความคิดที่ต่างออกไปจากศาสนาคริสต์เเบบเดิม ซึ่งเป็นตัวละครที่มีเหตุผลในการกระทำพอสมควรทำให้เราเข้าใจเเละรับรู้ได้ถึงเหตุผลที่กระทำลงไป
เบเวอร์ลี คีน
แสดงโดย: ซาแมนธา สโลยาน
เจ๊เเกคือตัวเเสบของเรื่อง 5555 คือเป็นคนที่คลั่งศาสนาคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เเถมยังเป็นคนที่บงการทุกอย่างเลย ตัวละครนี้สะท้อนคนที่คลั่งศาสนาเเละใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องหรือทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้มาโดยชอบหรือมิชอบก็ตาม เพราะเชื่อว่าตนเองคือผู้เหนือกว่า เเละผู้คุมกฎเกณฑ์ต่างๆ อันเเสดงถึงอำนาจที่ใช้ศาสนาเป็นโล่กันบังปกปิดความผิด เปลี่ยนดำเป็นขาวได้ เพียงเพราะรู้ศาสนาเเละเข้าถึงพระเจ้าดีกว่าคนอื่นๆ สะท้อนสังคมไทยที่คนมีภูมิมักจะข่มคนผู้น้อยเสมอ เพียงเพราะคิดว่าตนเองอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ตนเองดีถึงมีสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นได้
สรุป
Midnight Mass คือซีรีย์น้ำดีอีกเรื่องที่ผมเทใจให้ เพราะด้วยบท การเเสดง เเละบทสรุป มันทำให้เราได้ขบคิดประเด็นหลายๆอย่างที่ซีรีย์ต้องการจะสะท้อนภาพของสังคมเล็กๆสังคมหนึ่งที่อาศัยความเชื่อในการปกครอง เเละผลลัพธ์ที่ตามมาที่ทรงพลังในตอนจบ เเต่สำหรับใครที่ถามหาความหลอนคงต้องบอกเลยอาจผิดหวังนิดหน่อย 55555 เพราะอย่างที่บอกหนังเน้นบทเเละปรัชญามากกว่าความหลอน เท่าผลงานเก่าๆของผู้กำกับคนนี้
สุดท้ายอยากจะบอกว่า เปิดใจดูเเล้วจะรู้ถึงความสวยงาม
"เพราะมนุษย์อยู่ได้ด้วยความเชื่อ"
ฉายเเล้วที่ Netflix