ไม่ต้องสงสัยเลยว่า No Time to Die เป็นหนึ่งในโปรแกรมที่คอหนังฝรั่งทั้งหลายกำลังรอรับชมในโรงภาพยนตร์อย่างใจจดจ่อหลังเปิดเมือง เพราะหนังเรื่องนี้เป็นผลงานปิดฉากการเป็น James Bond ของ Daniel Craig ซึ่งเคยมีผลงานหนัง 007 ระดับขึ้นหิ้งมาแล้วอย่าง Casino Royale และ Skyfall แถมยังผ่านการเลื่อนฉายมาแล้วถึง 3 ครั้ง จากวิกฤติโรคระบาด Covid- 19 อีกต่างหาก
เนื่องจากผมอยู่ที่ต่างประเทศ ผมเลยมีโอกาสรับชม No Time to Die ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนหน้าที่ตัวหนังจะเข้าฉายโรงในไทยในวันที่ 7 ตุลาคม ก่อนที่จะไปดู ผมได้ตั้งความหวังกับหนังเรื่องนี้ไว้สูง เพราะภาค Spectre ทำออกมาได้น่าผิดหวังมาก ครั้นพอได้ไปดู No Time to Die จริงๆ ต้องบอกว่าหนังทำออกมาได้ยอดเยี่ยม และปิดฉากจักรวาล 007 ฉบับ Daniel Craig ได้อย่างสมศักดิ์ศรีและกินใจ
ความเห็นที่ผมทีต่อ No Time to Die มีดังนี้ครับ
*คำเตือน* เนื้อหาส่วนที่เป็น Spoiler จะถูกซ่อนเอาไว้ในส่วน Spoil ครับ กรุณาอย่าคลิกหากไม่อยากโดน Spoil
0.
การเตรียมตัวก่อนไปดู
เนื้อเรื่องของ No Time To Die จะมีความเกี่ยวพันภาคอื่นๆ ในจักรวาล Daniel Craig ด้วยครับ ควรเตรียมตัวก่อนไปดูไว้ให้ดี
- Spectre ต้องดู ไม่งั้นจะดู No Time to Die ไม่รู้เรื่องเลย
- Caisno Royale ควรดูอย่างยิ่ง ไม่งั้นอาจจะงงตอนต้นเรื่องได้
- Quantum of Solace ควรดู เพราะจะทำให้เข้าใจถึงสภาพจิตใจและความเจ็บปวดของ Bond ช่วงต้นเรื่องหรือระหว่างเรื่อง
- ที่จริงแล้วเนื้อหาของ Skyfall ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับ No Time to Die เท่าไรนัก แต่ถ้าไม่ได้ดู Skyfall มาก่อน ก็จะดู Spectre ไม่รู้เรื่อง
1.
ฉาก Action
ฉากบู๊ของ No Time to Die ทำออกมาได้สนุกและลุ้นระทึก มีทั้งฉากบู๊แบบดิบๆ โชว์ความผาดโผนในแบบฉบับ Daniel Craig แต่ในขณะเดียวกันก็มีฉากลุยด้วยรถติดอาวุธเต็มพิกัดสไตล์ Pierce Brosnan และฉากลุยฐานทัพใหญ่ของศัตรูในสไตล์ 007 รุ่นเก่าด้วย ใครก็ตามที่ดูภาค Spectre แล้วผิดหวังกับฉากขับรถไล่ล่าแบบกั๊กๆ และฐานทัพอันสุดบอบบางของ Blofeld (ที่แข็งแกร่งในมาตรฐาน Death Star) รับรองได้เลยว่า No Time to Die ทำออกได้ดีหายห่วงแน่ครับ
2.
ฉาก Drama
บท Drama ของ No Time to Die ทำออกมาได้น่าประทับใจ ชวนให้ผูกพัน ผมเองดูแล้วก็รู้สึกคล้อยตามได้ว่า James Bond ฉบับ Daniel Craig นั้น พอรักใครแล้วก็จะรักจริง ฉากโรแมนติกในเรื่องแม้จะไม่ได้มีมาก แต่ก็รู้สึกได้เลยถึงความหวานซึ้งในใจ ไม่เพียงแค่นั้น เนื้อเรื่องของ No Time to Die ก็จะตอกย้ำถึงเสน่ห์ของ James Bond ฉบับ Daniel Craig ว่า เขาไม่ได้เป็นแค่คนเก่งที่พิทักษ์โลกได้แบบสบายๆ แต่เป็นคนเก่งที่เสียสละมากคนหนึ่ง
พอหนังจบลง สิ่งที่ผมคิดขึ้นมาในใจระหว่าง Credit ขึ้นก็คือ "ยังไม่อยากโบกมือลา 007 คนนี้เลย ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้ James Bond คนนี้มีเนื้อเรื่องต่อไป แม้เพียงแค่ภาคเดียวก็ยังดี หรือไม่อย่างน้อยที่สุด ช่วยโผล่ขึ้นมาในฉาก Post-Credit สักหน่อยก็ได้"
3. สาว Bond
ผู้หญิงของ Bond ใน No Time to Die จะมีอยู่ 3 คน ซึ่งนับว่าเยอะกว่ามาตรฐานของหนัง James Bond ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ตัวหนังสามารถเกลี่ยบทระหว่างผู้หญิงทั้งสามคนนี้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสื่อความเป็น Girl/Women Power ออกมาได้พอเหมาะ ไม่เลี่ยนแบบเอาใจสาย SJW จนเกินไป
-
Madeleine: ในฐานะที่เธอเป็นนางเอกภาค Spectre ผมคิดว่าบทของเธอในภาคนี้น่าจะออกมาจืดจาง แต่พอได้ดูจริงๆ บทบาทของเธอก็ยังคงความสำคัญต่อเนื้อเรื่องอยู่ดี ดีไม่ดี อาจกล่าวได้ว่าบทของเธอในเรื่องนี้เด่นยิ่งกว่าเรื่อง Spectre เสียอีก
-
Paloma (สายลับคิวบาสวมชุดราตรีเซ็กซี่) : ตามสูตรหนัง 007 เรื่องอื่นๆ สาว Bond ในแต่ละภาคจะมี 2 คน คนหนึ่งจะเป็นนางเอก ส่วนอีกคนถ้าไม่เป็นนางร้าย ก็จะเป็นตัวละครลำดับรองที่มาให้ Bond ได้แอ้ม แล้วก็ถูกผู้ร้ายฆ่าทีหลัง ก่อนดู No Time to Die ผมคิดว่าตัวละคร Paloma (ซึ่งแต่งตัวเซ็กซี่มาก) น่าจะได้อารมณ์สาว Bond ประเภทหลัง แต่พอได้ดูจริงๆ แล้ว เธอเป็นนางรองที่ถึงจะมีบทไม่มากนัก แต่ก็น่ารัก โดดเด่นจนทำให้หนุ่มๆ หลายคนหลงเสน่ห์ได้ไม่ยากนัก น้องปลาโลมาคนนี้มีทั้งด้านที่โก๊ะๆ ค่อนไปทางอินโนเซนต์ แต่พอถึงคราวบู๊ก็เก่งจน Bond ทึ่ง แถมยังมีโมเมนต์ที่เฉือนคม Nomi (สายลับ 00 ที่มาทำหน้าที่แทน James Bond ในช่วงที่ถอนตัวไป) ได้เล็กๆ อีกต่างหาก
-
Nomi (สายลับสาวหน่วย 00): ก่อนดู หลายๆ คนกังวลว่า บทของเธอคนนี้จะออกมาแนวข่ม Bond เอาใจสาย SJW จนเกินงาม แต่พอได้ดูจริงๆ แล้วก็พบว่าบทของ Nomi ทำออกมาได้โอเคทีเดียว ตัวละครคนนี้ให้ความรู้สึกคล้ายๆ James Bond ฉบับ Roger Moore/ Pierce Brosnan ที่เป็นผู้หญิง เธอจะมีความกวนๆ อยู่ในทีและพยายามจะโชว์พาวว่าเธอเก่งกว่า Bond ในบางโอกาส แต่ Bond ก็สามารถเอาคืนเธอได้โดยไม่น้อยหน้ากัน ในส่วนของฉากบู๊ เธอก็ต่อสู้ได้เก่งตามมาตรฐานสายลับรหัส 00 อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังรู้สึกว่าน้องปลาโลมาบู๊ได้เก่งกว่าเธอนะ
4. Easter Eggs
ใน No Time to Die จะมี Easter Egg ออกมาคารวะ James Bond ในภาคเก่าๆ อยู่หลายจุด อีกทั้งยังมี Easter Egg คารวะ James Bond ฉบับนิยายของ Ian Fleming ด้วยอีกด้วย แฟนๆ ท่านใดที่ได้ติดตามดู 007 มาทุกยุคสมัย รับรองได้เลยว่าจะฟินกับ No Time to Die มากขึ้นเป็นพิเศษ
Spoiler Alert
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Easter Egg ของหนังภาคเก่าๆ ที่เห็นได้ชัดก็จะมี
- Dr. No: ในเพลงเปิด จะมีฉากวงกลมสีๆ กระพริบไปกระพริบมาคล้ายๆ ฉากเพลงเปิดของ Dr.No
- On Her Majesty's Secret Service: มีทั้งเพลงและประโยคพูด We have all the time in the world
- License to Kill: จะมีฉากที่ Felix Leiter พูดถึงเรื่องตัวเองถูกฉลามกัด แล้วก็จะมีฉากที่ Bond ล้างแค้นผู้ร้ายคนหนึ่งให้ Felix Leiter
- You Only Live Twice: ฐานทัพของ Safin จะมีลักษณะคล้ายๆ ฐานทัพของ Blofeld ที่ตั้งฐานทัพของผู้ร้ายทั้งสองคนนี้ ก็จะอยู่ใกล้ญี่ปุ่นคล้ายๆ กัน อย่างไรก็ตาม ฐานทัพของ Blofeld จะตั้งอยู่ทางตอนใต้เลยจังหวัดคาโกชิม่าออกไป ส่วนฐานทัพของ Safin จะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของฮอกไกโด บนเกาะที่เป็นพื้นที่พิพาทระหว่างญี่ปุ่นและรัสเซีย
Easter Egg จาก 007 ฉบับนิยายของ Ian Fleming
- หลักๆ แล้วจะอ้างอิงถึงนิยายตอน You Only Live Twice ซึ่งมีเนื้อหาแตกต่างจากฉบับภาพยนตร์ของ Sean Connery มาก
- ในนิยายเรื่องนี้ James Bond จะไม่ได้เป็น 00 แล้ว เพราะยังสะเทือนใจอยู่จากเหตุการณ์ใน On Your Majesty's Secret Service ที่ภรรยาตัวเองโดนสังหาร อย่างไรก็ตาม M จะส่ง James Bond ไปทำหน้าที่เจรจากับหน่วยข่าวกรองของญี่ปุ่น โดยใช้รหัส 7777 แทน ส่วนใน No Time To Die
Nomi จะเป็นเจ้าของรหัส 007 แทน James Bond
- ฐานทัพของ Blofeld ในนิยาย You Only Live Twice จะเป็นปราสาทญี่ปุ่น ที่ปลูกสวนต้นไม้พิษไว้โดยรอบ ส่วนฐานทัพของ Safin ใน No Time to Die จะมีห้องรับรองสไตล์ญี่ปุ่น มีสวนหินแบบญี่ปุ่น พร้อมสวนต้นไม้พิษ
Easter Egg เบ็ดเตล็ด
- ในฐานทัพ MI6 จะมีรูปของ M รุ่นก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็น M หญิงฉบับ Judi Dench และ M ผู้ชายคนที่มาก่อนหน้า Judi Dench ด้วย
5. จะมีเหตุการณ์หลายๆ อย่างใน No Time to Die ที่สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็น "ครั้งแรกในประวัติศาสตร์หนัง James Bond" จนถึงขั้นที่กลายเป็น Talk of the town ได้ใครก็ตามที่อยากสัมผัส No Time to Die ได้อย่างเต็มอรรถรส ผมขอแนะนำให้พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าใช้งาน SNS หรือ Search คำที่เกี่ยวข้องกับ 007 ใน Youtube เพื่อหลีกเลี่ยงกับการเจอ Spoiler จนกว่าจะได้รับชมตัวหนังในโรงภาพยนตร์
6. ผู้ร้าย
- Henchmen (มือขวาสายบู๊) ของภาคนี้ แม้จะดูความพิสดารอยู่บ้าง (เป็นนักฆ่าที่ใส่ลูกตาปลอม) แต่บทบาทค่อนข้างจืดจาง ไม่มีอะไรให้จดจำเป็นพิเศษ
- โดยส่วนตัว ผมว่า Safin ซึ่งเป็น Villain (จอมบงการ) ของภาคนี้ยังไม่ขลังเท่า Silva ใน Skyfall หรือจอมหวดไข่ใน Casino Royale แต่ก็ยังจัดว่าดูดีกว่า Blofeld ใน Spectre และ Greene ใน Quantum of Solace
- อย่างไรก็ตาม หากดูไปจนจบเรื่องแล้ว จะพบว่า Safin เป็นผู้ร้ายที่ทำร้าย Bond ได้เจ็บแสบสุดๆ จนถึงขั้นที่กล่าวได้ว่า เขาสามารถไปได้ไกลยิ่งกว่าผู้ร้ายในหนัง James Bond เรื่องอื่นๆ
- อีกจุดหนึ่งที่น่าเสียดายเกี่ยวกับผู้ร้ายในภาคนี้ก็คือ สเกลความเก่งที่ไม่คงที่ ตอนที่ Top form ก็เทพมาก รู้ไปหมด แต่พอฟอร์มตกก็เสียท่าเร็วมาก
7. ถึงแม้จะมีข้อดีอยู่หลายอย่าง แต่หากดูจบแล้วลองกลับไปคิดทบทวนละเอียดๆ แล้ว ก็จะเห็นว่าเนื้อเรื่องก็มี Plot hole อยู่พอสมควร
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับข้อดีที่หนังมีแล้ว ผมว่าผมยังรับได้อยู่
สรุป
No Time To Die เป็นภาพยนตร์ชุด James Bond ที่ทำออกมาได้ดีทั้งในส่วนของ Action , Drama และ Easter Egg นับเป็นผลงานปิดฉากจักรวาล James Bond ฉบับ Daniel Craig ได้อย่างน่าประทับใจ อย่างไรก็ตาม No Time To Die ก็มีเนื้อหาส่วนที่จัดได้ว่า "ทลายขนบ" ของ 007 ออกไปไม่น้อยเหมือนกัน และการทลายขนบธรรมเนียมที่ว่านั้น จัดว่ารุนแรงกว่าในเคสของ Casino Royale อยู่มาก นี่อาจส่งผลให้แฟน 007 บางส่วนรับไม่ได้ก็เป็นได้ในขณะเดียวกัน หากตั้งใจดูแบบเก็บรายละเอียดแล้ว ก็จะพบว่าเนื้อเรื่องก็จะยังมี Plot hole หลายจุด หากคิดมากเกินไปก็อาจจะไม่ชอบ และอุทานขึ้นมาว่า "อิหยังวะ" ในบางฉากก็ได้
โดยส่วนตัว ผมขอจัดอันดับ James Bond ภาค Daniel Craig ดังนี้ครับ:
ในกรณีที่เน้นความบู๊สไตล์ 007 No Time to Die> Casino Royale> Skyfall> Quantum of Solace> Spectre
ในกรณีที่เน้นเนื้อเรื่องโดยรวม Casino Royale> Skyfall> No Time to Die Quantum of Solace> Spectre
(ผมว่า Skyfall เนื้อเรื่องดีมาก แต่ถ้าไม่นับฉาก Climax ตอนท้ายเรื่องแล้ว ฉากบู๊ภาคนี้ไม่ค่อยจุใจเท่าไร )
[รีวิวล่วงหน้าจากตปท.] No Time To Die: บทสรุปที่ทั้งยิ่งใหญ่และกินใจของ James Bond จักรวาล Daniel Craig
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า No Time to Die เป็นหนึ่งในโปรแกรมที่คอหนังฝรั่งทั้งหลายกำลังรอรับชมในโรงภาพยนตร์อย่างใจจดจ่อหลังเปิดเมือง เพราะหนังเรื่องนี้เป็นผลงานปิดฉากการเป็น James Bond ของ Daniel Craig ซึ่งเคยมีผลงานหนัง 007 ระดับขึ้นหิ้งมาแล้วอย่าง Casino Royale และ Skyfall แถมยังผ่านการเลื่อนฉายมาแล้วถึง 3 ครั้ง จากวิกฤติโรคระบาด Covid- 19 อีกต่างหาก
เนื่องจากผมอยู่ที่ต่างประเทศ ผมเลยมีโอกาสรับชม No Time to Die ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนหน้าที่ตัวหนังจะเข้าฉายโรงในไทยในวันที่ 7 ตุลาคม ก่อนที่จะไปดู ผมได้ตั้งความหวังกับหนังเรื่องนี้ไว้สูง เพราะภาค Spectre ทำออกมาได้น่าผิดหวังมาก ครั้นพอได้ไปดู No Time to Die จริงๆ ต้องบอกว่าหนังทำออกมาได้ยอดเยี่ยม และปิดฉากจักรวาล 007 ฉบับ Daniel Craig ได้อย่างสมศักดิ์ศรีและกินใจ
ความเห็นที่ผมทีต่อ No Time to Die มีดังนี้ครับ
*คำเตือน* เนื้อหาส่วนที่เป็น Spoiler จะถูกซ่อนเอาไว้ในส่วน Spoil ครับ กรุณาอย่าคลิกหากไม่อยากโดน Spoil
0. การเตรียมตัวก่อนไปดู
เนื้อเรื่องของ No Time To Die จะมีความเกี่ยวพันภาคอื่นๆ ในจักรวาล Daniel Craig ด้วยครับ ควรเตรียมตัวก่อนไปดูไว้ให้ดี
- Spectre ต้องดู ไม่งั้นจะดู No Time to Die ไม่รู้เรื่องเลย
- Caisno Royale ควรดูอย่างยิ่ง ไม่งั้นอาจจะงงตอนต้นเรื่องได้
- Quantum of Solace ควรดู เพราะจะทำให้เข้าใจถึงสภาพจิตใจและความเจ็บปวดของ Bond ช่วงต้นเรื่องหรือระหว่างเรื่อง
- ที่จริงแล้วเนื้อหาของ Skyfall ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับ No Time to Die เท่าไรนัก แต่ถ้าไม่ได้ดู Skyfall มาก่อน ก็จะดู Spectre ไม่รู้เรื่อง
1. ฉาก Action
ฉากบู๊ของ No Time to Die ทำออกมาได้สนุกและลุ้นระทึก มีทั้งฉากบู๊แบบดิบๆ โชว์ความผาดโผนในแบบฉบับ Daniel Craig แต่ในขณะเดียวกันก็มีฉากลุยด้วยรถติดอาวุธเต็มพิกัดสไตล์ Pierce Brosnan และฉากลุยฐานทัพใหญ่ของศัตรูในสไตล์ 007 รุ่นเก่าด้วย ใครก็ตามที่ดูภาค Spectre แล้วผิดหวังกับฉากขับรถไล่ล่าแบบกั๊กๆ และฐานทัพอันสุดบอบบางของ Blofeld (ที่แข็งแกร่งในมาตรฐาน Death Star) รับรองได้เลยว่า No Time to Die ทำออกได้ดีหายห่วงแน่ครับ
2. ฉาก Drama
บท Drama ของ No Time to Die ทำออกมาได้น่าประทับใจ ชวนให้ผูกพัน ผมเองดูแล้วก็รู้สึกคล้อยตามได้ว่า James Bond ฉบับ Daniel Craig นั้น พอรักใครแล้วก็จะรักจริง ฉากโรแมนติกในเรื่องแม้จะไม่ได้มีมาก แต่ก็รู้สึกได้เลยถึงความหวานซึ้งในใจ ไม่เพียงแค่นั้น เนื้อเรื่องของ No Time to Die ก็จะตอกย้ำถึงเสน่ห์ของ James Bond ฉบับ Daniel Craig ว่า เขาไม่ได้เป็นแค่คนเก่งที่พิทักษ์โลกได้แบบสบายๆ แต่เป็นคนเก่งที่เสียสละมากคนหนึ่ง
พอหนังจบลง สิ่งที่ผมคิดขึ้นมาในใจระหว่าง Credit ขึ้นก็คือ "ยังไม่อยากโบกมือลา 007 คนนี้เลย ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้ James Bond คนนี้มีเนื้อเรื่องต่อไป แม้เพียงแค่ภาคเดียวก็ยังดี หรือไม่อย่างน้อยที่สุด ช่วยโผล่ขึ้นมาในฉาก Post-Credit สักหน่อยก็ได้"
3. สาว Bond
ผู้หญิงของ Bond ใน No Time to Die จะมีอยู่ 3 คน ซึ่งนับว่าเยอะกว่ามาตรฐานของหนัง James Bond ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ตัวหนังสามารถเกลี่ยบทระหว่างผู้หญิงทั้งสามคนนี้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสื่อความเป็น Girl/Women Power ออกมาได้พอเหมาะ ไม่เลี่ยนแบบเอาใจสาย SJW จนเกินไป
- Madeleine: ในฐานะที่เธอเป็นนางเอกภาค Spectre ผมคิดว่าบทของเธอในภาคนี้น่าจะออกมาจืดจาง แต่พอได้ดูจริงๆ บทบาทของเธอก็ยังคงความสำคัญต่อเนื้อเรื่องอยู่ดี ดีไม่ดี อาจกล่าวได้ว่าบทของเธอในเรื่องนี้เด่นยิ่งกว่าเรื่อง Spectre เสียอีก
- Paloma (สายลับคิวบาสวมชุดราตรีเซ็กซี่) : ตามสูตรหนัง 007 เรื่องอื่นๆ สาว Bond ในแต่ละภาคจะมี 2 คน คนหนึ่งจะเป็นนางเอก ส่วนอีกคนถ้าไม่เป็นนางร้าย ก็จะเป็นตัวละครลำดับรองที่มาให้ Bond ได้แอ้ม แล้วก็ถูกผู้ร้ายฆ่าทีหลัง ก่อนดู No Time to Die ผมคิดว่าตัวละคร Paloma (ซึ่งแต่งตัวเซ็กซี่มาก) น่าจะได้อารมณ์สาว Bond ประเภทหลัง แต่พอได้ดูจริงๆ แล้ว เธอเป็นนางรองที่ถึงจะมีบทไม่มากนัก แต่ก็น่ารัก โดดเด่นจนทำให้หนุ่มๆ หลายคนหลงเสน่ห์ได้ไม่ยากนัก น้องปลาโลมาคนนี้มีทั้งด้านที่โก๊ะๆ ค่อนไปทางอินโนเซนต์ แต่พอถึงคราวบู๊ก็เก่งจน Bond ทึ่ง แถมยังมีโมเมนต์ที่เฉือนคม Nomi (สายลับ 00 ที่มาทำหน้าที่แทน James Bond ในช่วงที่ถอนตัวไป) ได้เล็กๆ อีกต่างหาก
- Nomi (สายลับสาวหน่วย 00): ก่อนดู หลายๆ คนกังวลว่า บทของเธอคนนี้จะออกมาแนวข่ม Bond เอาใจสาย SJW จนเกินงาม แต่พอได้ดูจริงๆ แล้วก็พบว่าบทของ Nomi ทำออกมาได้โอเคทีเดียว ตัวละครคนนี้ให้ความรู้สึกคล้ายๆ James Bond ฉบับ Roger Moore/ Pierce Brosnan ที่เป็นผู้หญิง เธอจะมีความกวนๆ อยู่ในทีและพยายามจะโชว์พาวว่าเธอเก่งกว่า Bond ในบางโอกาส แต่ Bond ก็สามารถเอาคืนเธอได้โดยไม่น้อยหน้ากัน ในส่วนของฉากบู๊ เธอก็ต่อสู้ได้เก่งตามมาตรฐานสายลับรหัส 00 อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังรู้สึกว่าน้องปลาโลมาบู๊ได้เก่งกว่าเธอนะ
4. Easter Eggs
ใน No Time to Die จะมี Easter Egg ออกมาคารวะ James Bond ในภาคเก่าๆ อยู่หลายจุด อีกทั้งยังมี Easter Egg คารวะ James Bond ฉบับนิยายของ Ian Fleming ด้วยอีกด้วย แฟนๆ ท่านใดที่ได้ติดตามดู 007 มาทุกยุคสมัย รับรองได้เลยว่าจะฟินกับ No Time to Die มากขึ้นเป็นพิเศษ
Spoiler Alert
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
5. จะมีเหตุการณ์หลายๆ อย่างใน No Time to Die ที่สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็น "ครั้งแรกในประวัติศาสตร์หนัง James Bond" จนถึงขั้นที่กลายเป็น Talk of the town ได้ใครก็ตามที่อยากสัมผัส No Time to Die ได้อย่างเต็มอรรถรส ผมขอแนะนำให้พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าใช้งาน SNS หรือ Search คำที่เกี่ยวข้องกับ 007 ใน Youtube เพื่อหลีกเลี่ยงกับการเจอ Spoiler จนกว่าจะได้รับชมตัวหนังในโรงภาพยนตร์
6. ผู้ร้าย
- Henchmen (มือขวาสายบู๊) ของภาคนี้ แม้จะดูความพิสดารอยู่บ้าง (เป็นนักฆ่าที่ใส่ลูกตาปลอม) แต่บทบาทค่อนข้างจืดจาง ไม่มีอะไรให้จดจำเป็นพิเศษ
- โดยส่วนตัว ผมว่า Safin ซึ่งเป็น Villain (จอมบงการ) ของภาคนี้ยังไม่ขลังเท่า Silva ใน Skyfall หรือจอมหวดไข่ใน Casino Royale แต่ก็ยังจัดว่าดูดีกว่า Blofeld ใน Spectre และ Greene ใน Quantum of Solace
- อย่างไรก็ตาม หากดูไปจนจบเรื่องแล้ว จะพบว่า Safin เป็นผู้ร้ายที่ทำร้าย Bond ได้เจ็บแสบสุดๆ จนถึงขั้นที่กล่าวได้ว่า เขาสามารถไปได้ไกลยิ่งกว่าผู้ร้ายในหนัง James Bond เรื่องอื่นๆ
- อีกจุดหนึ่งที่น่าเสียดายเกี่ยวกับผู้ร้ายในภาคนี้ก็คือ สเกลความเก่งที่ไม่คงที่ ตอนที่ Top form ก็เทพมาก รู้ไปหมด แต่พอฟอร์มตกก็เสียท่าเร็วมาก
7. ถึงแม้จะมีข้อดีอยู่หลายอย่าง แต่หากดูจบแล้วลองกลับไปคิดทบทวนละเอียดๆ แล้ว ก็จะเห็นว่าเนื้อเรื่องก็มี Plot hole อยู่พอสมควร
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับข้อดีที่หนังมีแล้ว ผมว่าผมยังรับได้อยู่
สรุป
No Time To Die เป็นภาพยนตร์ชุด James Bond ที่ทำออกมาได้ดีทั้งในส่วนของ Action , Drama และ Easter Egg นับเป็นผลงานปิดฉากจักรวาล James Bond ฉบับ Daniel Craig ได้อย่างน่าประทับใจ อย่างไรก็ตาม No Time To Die ก็มีเนื้อหาส่วนที่จัดได้ว่า "ทลายขนบ" ของ 007 ออกไปไม่น้อยเหมือนกัน และการทลายขนบธรรมเนียมที่ว่านั้น จัดว่ารุนแรงกว่าในเคสของ Casino Royale อยู่มาก นี่อาจส่งผลให้แฟน 007 บางส่วนรับไม่ได้ก็เป็นได้ในขณะเดียวกัน หากตั้งใจดูแบบเก็บรายละเอียดแล้ว ก็จะพบว่าเนื้อเรื่องก็จะยังมี Plot hole หลายจุด หากคิดมากเกินไปก็อาจจะไม่ชอบ และอุทานขึ้นมาว่า "อิหยังวะ" ในบางฉากก็ได้
โดยส่วนตัว ผมขอจัดอันดับ James Bond ภาค Daniel Craig ดังนี้ครับ:
ในกรณีที่เน้นความบู๊สไตล์ 007 No Time to Die> Casino Royale> Skyfall> Quantum of Solace> Spectre
ในกรณีที่เน้นเนื้อเรื่องโดยรวม Casino Royale> Skyfall> No Time to Die Quantum of Solace> Spectre
(ผมว่า Skyfall เนื้อเรื่องดีมาก แต่ถ้าไม่นับฉาก Climax ตอนท้ายเรื่องแล้ว ฉากบู๊ภาคนี้ไม่ค่อยจุใจเท่าไร )