ขอบคุณ ภาพสุดคลาสสิก จาก
https://wallpaperboat.com/
และ ขอบคุณ ฟอนต์สวย ๆ จาก
https://www.f0nt.com/ ครับผม
....... ( ป่าช้า หลังวัดร้าง ) .......
........
"ทุ่งโตนด" เป็นชื่อหมู่บ้านเล็ก ๆ ห่างจากตัวอำเภอออกไปไกลหลายกิโล วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่เรียบง่าย และคงความเป็นชนบทไว้อย่างสมบูรณ์ ส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา และขึ้นตาล
การทำนา อยู่ในสายเลือดชาวชนบทมาช้านาน จึงไม่เป็นที่หนักใจของแต่ละครอบครัว แม้แต่เด็กโตสักหน่อยก็สามารถช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ เช่น หอบฟาง ไล่นก หรือต้อนควายไปกินหญ้าเวลาเสร็จงาน
แต่ผลิตผลจากต้นตาลซึ่งตั้งยอดกระจายรายรอบหมู่บ้าน ต้องเป็นคนที่มีความชำนาญและแข็งแรงเท่านั้น จึงจะสามารถนำผลตาลหรือน้ำตาลลงมาได้ ดังนั้น หลายบ้านที่ไม่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นชาย หรือมี แต่ไม่แข็งแรงพอ จึงต้องจ้างคนอื่นมาขึ้นให้ นั่นคือที่มาของอาชีพ
"ขึ้นตาล"
ต้นตาลแก่แก่ ไม่ได้เตี้ยต่ำแบบต้นตาลซึ่งตั้งใจปลูกในปัจจุบัน บางต้นสูงจนเงยคอตั้งบ่าจึงจะมองยอดเห็น ต้องพาด "พะอง" ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ ลิดแขนงออกเหลือโผล่ออกมาพอให้เท้าเหยียบได้ขึ้นไป บางต้น ต้องใช้พะองต่อถึงสองลำจึงจะขึ้นถึงยอด ดังนั้น ข่าวคนตกต้นตาลตาย หรือพิการ จึงมีให้ได้ยินกันอยู่เนือง ๆ
แต่ชนบทซึ่งห่างไกลความเจริญอย่างบ้านทุ่งโตนดนี้ ไม่มีหนทางทำกินให้เลือกมากนัก นอกจากทำนาหรือขึ้นตาลแล้ว อย่างมากก็นำลอนตาลหรือน้ำตาลสดไปขายอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งผลผลิตนี้ไม่ได้มีมากมายไปทั้งปี ฐานะของชาวบ้านที่นี่จึงแค่พออยู่พอกิน
"วังปลากด" เป็นหมู่บ้านซึ่งมีเขตติดต่อกับบ้านทุ่งโตนด แต่ความเจริญและฐานะของชาวบ้านที่นั่นกับที่นี่ต่างกัน เพราะบ้านวังปลากด มีทั้งถนนใหญ่ผ่านหน้าหมู่บ้าน และคลองใหญ่ไหลผ่าน มีน้ำเต็มเปี่ยมอุดมด้วยปลานานาพันธุ์ตลอดปี การทำมาหากินและการสัญจรไปมาจึงสะดวกกว่ากัน รวมทั้งความเป็นอยู่ที่ดีกว่ามากมาย
การนำผลผลิตไปขาย ของชาวบ้านทุ่งโตนด ถ้าไปตามถนนดินหน้าหมู่บ้าน ลัดเลาะไปถึงถนนใหญ่และเลี้ยวไปทางบ้านวังปลากด จะมีระยะทางร่วมสิบกิโลเมตร เฉพาะถนนดินออกจากหมู่บ้านซึ่งขรุขระลดเลี้ยวและเป็นหลุมเป็นบ่อในหน้าฝน ก็ไกลเกือบห้ากิโล กว่าจะถึงปากทางจึงทุลักทุเลพอสมควร
แต่ถ้าเดินลัดเข้าป่าทึบหลังหมู่บ้านซึ่งเป็นทางเดินที่รถยังผ่านไม่ได้ จะมีระยะทางแค่สองกิโล จึงมีหลายคนใช้เส้นทางนี้เดินลัดไป ถึงแม้จะต้องเดินผ่ากลางวัดเก่าและตัดผ่านป่าช้า ก็ไม่น่ากลัวเท่าไรถ้าไปด้วยกันหลายคนในเวลากลางวัน
วัดทุ่งโตนด ย้ายไปสร้างเป็นวัดใหม่บนทุ่งโล่งหน้าหมู่บ้าน เนื่องจากวัดเดิมมีสภาพทรุดโทรมเกินกว่าจะซ่อมแซมไหว ในเมื่องบในการบูรณะวัดเก่า ไม่ต่างจากการสร้างใหม่ขึ้นมา ชาวบ้านและพระในวัด จึงเห็นตรงกัน ว่าสมควรสร้างวัดแห่งใหม่ขึ้นบนที่ดินซึ่งกว้างขวางกว่าเดิม ทิ้งไว้เพียงป่าช้าขนาดสามสิบหลุมหลังวัดเท่านั้น ที่ไม่ได้ย้ายตามออกมา
รำพึง หญิงสาววัยยี่สิบปี เป็นคนทุ่งโตนด เธออยู่กับแม่ในบ้านซึ่งค่อนไปทางท้ายหมู่บ้าน บ้านของเธอเป็นบ้านซึ่งสร้างด้วยไม้ไผ่เกือบทั้งหลัง มีเสาเรือน ที่เป็นไม้เนื้อแข็งทั้งเปลือกต้นเท่าโคนขา และหลังคามุงด้วยหญ้าคา ส่วนข้างฝาเป็นไม้ไผ่สับ รวมทั้งประตูและหน้าต่างก็เป็นไม้ไผ่เช่นกัน ตัวบ้านตั้งอยู่บนพื้นดิน ซึ่งพื้นบ้านด้านในก็คือดินล้วน ๆ นั่นเอง
ที่นอนของสองแม่ลูกเป็นแคร่ไม้ไผ่ยกสูงจากพื้น ตั้งอยู่ริมหน้าต่างคนละฝั่ง แคร่ของผู้เป็นแม่นั้นกว้างกว่าเล็กน้อย เพราะเมื่อก่อน ตรงนั้น เคยมีพ่อของเธอนอนด้วยอีกคน
ตาปลั่ง พ่อของรำพึง มีอาชีพขึ้นตาล และพลาดตกต้นตาลตาย เมื่อปลายปีที่แล้ว ชีวิตของเธอกับแม่จึงลำบากกว่าที่ผ่านมา เพราะขาดเสาหลักของครอบครัวไปหนึ่งคน สมบัติที่ผู้เป็นพ่อทิ้งไว้ให้ก็มีต้นตาลเก่าแก่รอบบ้านเพียงสิบต้น รำพึงกับแม่จึงพากันปลูกผักขายเป็นอาชีพเสริม ส่วนต้นตาลนั้นหญิงสาวให้คนมาช่วยขึ้นรองน้ำตาลและเก็บลูกตาล เมื่อได้ลงมาแล้วเธอจะจัดการเตรียมลอนตาลและน้ำตาลใส่ถุงไว้ เพื่อนำไปขายในตลาดวังปลากดต่อไป
“บุญธรรมเค้าว่าไงล่ะรำพึง”
ยายแรม แม่ของหญิงสาวเอ่ยถามขึ้นมา หลังจากสองแม่ลูกเสร็จงานรดน้ำผักในตอนเย็นพร้อมกับเก็บอุปกรณ์เข้าไว้ข้างเรือน ก่อนพากันเดินเลยไปหลังบ้านซึ่งเป็นพื้นที่ทำครัว ขณะหญิงสาวตอบกลับไป
“พรุ่งนี้พี่เค้าไปขึ้นตาลบ้านลุงเขียวก่อนจ้ะแม่ มะรืนถึงมาขึ้นให้เรา”
เธอเอ่ยพลางนึกถึงชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าปี ที่ชื่อบุญธรรม บ้านเขามีอาชีพทำนา แต่ยามว่างบุญธรรมก็รับจ้างขึ้นตาลด้วย เขาเป็นคนร่างสันทัดผิวเนื้อดำแดง หน้าตาพอดูได้ไม่ถึงกับขี้เหร่ แต่ก็ไม่หล่อจนขนาดสาว ๆ ต้องเหลียวมอง ถ้าจะมีใครสนใจมองเขา ก็คงมองตรงความขยัน และทำงานหนักทุกวันติดกันมาหลายปี โดยไม่เคยมีใครเห็นเขาหยุดอยู่เฉย ๆ สักวันเดียว ว่างจากนาก็ไปขึ้นตาล ช่วงไหนลูกตาลวาย เสร็จนาเขาก็ปลูกผักสารพัดอย่าง กระทั่งล้อมรอบบ้านเขียวเป็นดง
“แล้วเค้าคุยอะไรกับเอ็งมั่งล่ะ”
ผู้เป็นแม่เอ่ยถามพร้อมกับอมยิ้ม พลางถอนใจออกมาเบา ๆ ขณะมองลูกสาวที่หน้าเริ่มแดงเรื่อ ๆ ออกมา
รำพึงเป็นช้างเผือกกลางไพรอย่างที่ใครเคยเปรียบสาวงามบ้านป่าไว้จริง ๆ ผิวพรรณเธอนวลผ่องผิดกับคนบ้านเดียวกัน รูปร่างอรชรแขนขากลมกลึง นิ้วมือเรียวงาม เวลาหยิบจับอะไรอ่อนช้อย ยามยิ้มแย้มด้วยริมฝีปากอวบอิ่ม ดวงตาของเธอจะแวววาวเป็นประกาย ทำให้ใบหน้าเรียวรูปไข่ยิ่งชวนมอง จึงเป็นที่หมายปองของไอ้หนุ่มทั้งบ้านใกล้บ้านไกล
แต่รำพึงกับบุญธรรม มีใจให้กันมานานพอควร รวมทั้งพ่อกับแม่เธอก็ไม่ได้กีดกัน เพราะความที่เขาเป็นคนรักงาน เพียงแค่รอให้ฐานะมั่นคงขึ้นอีกสักนิด ค่อยคุยเรื่องสู่ขออีกที พอดีพ่อของรำพึงมาตายไปเสียก่อน ในระยะนี้ จึงยังไม่มีใครพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
"พี่ธรรมเค้าพูดอะไรกับใครเป็นล่ะแม่"
หญิงสาวตอบพลางหักกิ่งไม้เล็ก ๆ วางบนชั้นเตาเตรียมก่อไฟ เพื่อหุงข้าวทำกับข้าวสำหรับมื้อเย็น ขณะผู้เป็นแม่หยิบจานชามมาวางบนแคร่พร้อมกับเอื้อมมือคว้าหม้อใบเล็กที่ห้อยไว้ลงมา
"แล้วเจ้าคะนองมันยังมาเกาะแกะกับเอ็งอยู่มั้ย"
ยายแรมถามถึงเจ้าหนุ่มบ้านวังปลากด ลูกเจ้าของโรงสีใหญ่ในหมู่บ้าน ซึ่งเข้ามาพูดจาแทะโลมรำพึงทุกครั้งที่เธอนำของไปขายที่นั่น และมักทำท่านักเลงใส่คนอื่นที่เข้ามาพูดคุยกับเธอ แต่หญิงสาวก็นิ่งไม่ตอบโต้ เพราะคิดว่าเธอมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่ได้คิดเรื่องอื่นแต่อย่างใด
"ก็เหมือนเดิมแหละแม่ แต่พอพ่อตายไป เขาก็เข้ามาวุ่นวายมากกว่าเดิม เมื่อเช้ายังพูดดัง ๆ เลย บอกว่าจะมาขอฉันกับแม่"
รำพึงพูดพลางถอนใจออกมา ก่อนจุดไฟในเตาจนลุกโชนแล้ววางไม้แห้งท่อนเท่ามือกำลงไป ควันขาวขุ่นลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาช้า ๆ เมื่อท่อนไม้เริ่มติดไฟ
มีอีกหลายอย่างที่ไอ้หนุ่มนักเลงลูกเถ้าแก่โรงสีพูดกับเธอ ทั้งยังพาดพิงถึงบุญธรรมซึ่งเขาไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย แต่เธอไม่ได้เล่าให้แม่ฟัง เพราะกลัวแม่ไม่สบายใจ
"ไอ้ธรรมมันมีดีกว่าข้าตรงไหนรำพึง เอ็งถึงไม่ยอมใจอ่อนให้ข้าสักที คอยดูนะ สักวันข้าจะลุยทุ่งโตนดให้ราบไปเลย ดูสิ คนอย่างไอ้ธรรมมันจะมีปัญญาช่วยอะไรใคร"
เธอไม่ตอบโต้อะไร ได้แต่ถอนใจแล้วทำทีก้มจัดเรียงของตรงหน้า ส่วนคะนองกับลูกน้องสี่ห้าคน เมื่อเห็นเธอนิ่งเฉย ก็ทำท่าไม่พอใจแล้วพากันเดินกร่างกลับไป
"ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีรำพึง ทางไปวังปลากดมันเปลี่ยว แม่ละเป็นห่วงเอ็งจริง ๆ"
นางแรมถอนใจออกมา ชะงักมือซึ่งกำลังรูดชะอมใส่จาน พลางนึกถึงตาปลั่งซึ่งตายจากไป ถ้าเขายังอยู่ อย่างน้อยในบ้านก็ยังมีผู้ชายพอให้อุ่นใจ
"ไม่ต้องห่วงหรอกแม่ ฉันไปกันทีหลายคน พี่นองไม่กล้าหรอก ตอนผ่านป่าช้าฉันแวะเข้าไปหาพ่อทุกครั้ง ขอให้พ่อคอยคุ้มครองฉันกับแม่ที"
เธอพูดได้แค่นั้นก็นิ่งไปพร้อมกับน้ำตาคลอ เมื่อคิดถึงพ่อซึ่งเคยอยู่เห็นหน้ากันทุกวัน ส่วนยายแรมไม่พูดอะไรกลับมา ก้มหน้าก้มตาเตรียมกับข้าว ท่ามกลางควันฟืนขาวคลุ้งปกคลุมทั่วครัว.....
( มีต่อครับ )
.....เรื่องสั้น........ เรื่อง.......ป่าช้า หลังวัดร้าง........@@ โดย ลุงแผน
และ ขอบคุณ ฟอนต์สวย ๆ จาก https://www.f0nt.com/ ครับผม
....... ( ป่าช้า หลังวัดร้าง ) .......
........"ทุ่งโตนด" เป็นชื่อหมู่บ้านเล็ก ๆ ห่างจากตัวอำเภอออกไปไกลหลายกิโล วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่เรียบง่าย และคงความเป็นชนบทไว้อย่างสมบูรณ์ ส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา และขึ้นตาล
การทำนา อยู่ในสายเลือดชาวชนบทมาช้านาน จึงไม่เป็นที่หนักใจของแต่ละครอบครัว แม้แต่เด็กโตสักหน่อยก็สามารถช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ เช่น หอบฟาง ไล่นก หรือต้อนควายไปกินหญ้าเวลาเสร็จงาน
แต่ผลิตผลจากต้นตาลซึ่งตั้งยอดกระจายรายรอบหมู่บ้าน ต้องเป็นคนที่มีความชำนาญและแข็งแรงเท่านั้น จึงจะสามารถนำผลตาลหรือน้ำตาลลงมาได้ ดังนั้น หลายบ้านที่ไม่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นชาย หรือมี แต่ไม่แข็งแรงพอ จึงต้องจ้างคนอื่นมาขึ้นให้ นั่นคือที่มาของอาชีพ "ขึ้นตาล"
ต้นตาลแก่แก่ ไม่ได้เตี้ยต่ำแบบต้นตาลซึ่งตั้งใจปลูกในปัจจุบัน บางต้นสูงจนเงยคอตั้งบ่าจึงจะมองยอดเห็น ต้องพาด "พะอง" ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ ลิดแขนงออกเหลือโผล่ออกมาพอให้เท้าเหยียบได้ขึ้นไป บางต้น ต้องใช้พะองต่อถึงสองลำจึงจะขึ้นถึงยอด ดังนั้น ข่าวคนตกต้นตาลตาย หรือพิการ จึงมีให้ได้ยินกันอยู่เนือง ๆ
แต่ชนบทซึ่งห่างไกลความเจริญอย่างบ้านทุ่งโตนดนี้ ไม่มีหนทางทำกินให้เลือกมากนัก นอกจากทำนาหรือขึ้นตาลแล้ว อย่างมากก็นำลอนตาลหรือน้ำตาลสดไปขายอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งผลผลิตนี้ไม่ได้มีมากมายไปทั้งปี ฐานะของชาวบ้านที่นี่จึงแค่พออยู่พอกิน
"วังปลากด" เป็นหมู่บ้านซึ่งมีเขตติดต่อกับบ้านทุ่งโตนด แต่ความเจริญและฐานะของชาวบ้านที่นั่นกับที่นี่ต่างกัน เพราะบ้านวังปลากด มีทั้งถนนใหญ่ผ่านหน้าหมู่บ้าน และคลองใหญ่ไหลผ่าน มีน้ำเต็มเปี่ยมอุดมด้วยปลานานาพันธุ์ตลอดปี การทำมาหากินและการสัญจรไปมาจึงสะดวกกว่ากัน รวมทั้งความเป็นอยู่ที่ดีกว่ามากมาย
การนำผลผลิตไปขาย ของชาวบ้านทุ่งโตนด ถ้าไปตามถนนดินหน้าหมู่บ้าน ลัดเลาะไปถึงถนนใหญ่และเลี้ยวไปทางบ้านวังปลากด จะมีระยะทางร่วมสิบกิโลเมตร เฉพาะถนนดินออกจากหมู่บ้านซึ่งขรุขระลดเลี้ยวและเป็นหลุมเป็นบ่อในหน้าฝน ก็ไกลเกือบห้ากิโล กว่าจะถึงปากทางจึงทุลักทุเลพอสมควร
แต่ถ้าเดินลัดเข้าป่าทึบหลังหมู่บ้านซึ่งเป็นทางเดินที่รถยังผ่านไม่ได้ จะมีระยะทางแค่สองกิโล จึงมีหลายคนใช้เส้นทางนี้เดินลัดไป ถึงแม้จะต้องเดินผ่ากลางวัดเก่าและตัดผ่านป่าช้า ก็ไม่น่ากลัวเท่าไรถ้าไปด้วยกันหลายคนในเวลากลางวัน
วัดทุ่งโตนด ย้ายไปสร้างเป็นวัดใหม่บนทุ่งโล่งหน้าหมู่บ้าน เนื่องจากวัดเดิมมีสภาพทรุดโทรมเกินกว่าจะซ่อมแซมไหว ในเมื่องบในการบูรณะวัดเก่า ไม่ต่างจากการสร้างใหม่ขึ้นมา ชาวบ้านและพระในวัด จึงเห็นตรงกัน ว่าสมควรสร้างวัดแห่งใหม่ขึ้นบนที่ดินซึ่งกว้างขวางกว่าเดิม ทิ้งไว้เพียงป่าช้าขนาดสามสิบหลุมหลังวัดเท่านั้น ที่ไม่ได้ย้ายตามออกมา
รำพึง หญิงสาววัยยี่สิบปี เป็นคนทุ่งโตนด เธออยู่กับแม่ในบ้านซึ่งค่อนไปทางท้ายหมู่บ้าน บ้านของเธอเป็นบ้านซึ่งสร้างด้วยไม้ไผ่เกือบทั้งหลัง มีเสาเรือน ที่เป็นไม้เนื้อแข็งทั้งเปลือกต้นเท่าโคนขา และหลังคามุงด้วยหญ้าคา ส่วนข้างฝาเป็นไม้ไผ่สับ รวมทั้งประตูและหน้าต่างก็เป็นไม้ไผ่เช่นกัน ตัวบ้านตั้งอยู่บนพื้นดิน ซึ่งพื้นบ้านด้านในก็คือดินล้วน ๆ นั่นเอง
ที่นอนของสองแม่ลูกเป็นแคร่ไม้ไผ่ยกสูงจากพื้น ตั้งอยู่ริมหน้าต่างคนละฝั่ง แคร่ของผู้เป็นแม่นั้นกว้างกว่าเล็กน้อย เพราะเมื่อก่อน ตรงนั้น เคยมีพ่อของเธอนอนด้วยอีกคน
ตาปลั่ง พ่อของรำพึง มีอาชีพขึ้นตาล และพลาดตกต้นตาลตาย เมื่อปลายปีที่แล้ว ชีวิตของเธอกับแม่จึงลำบากกว่าที่ผ่านมา เพราะขาดเสาหลักของครอบครัวไปหนึ่งคน สมบัติที่ผู้เป็นพ่อทิ้งไว้ให้ก็มีต้นตาลเก่าแก่รอบบ้านเพียงสิบต้น รำพึงกับแม่จึงพากันปลูกผักขายเป็นอาชีพเสริม ส่วนต้นตาลนั้นหญิงสาวให้คนมาช่วยขึ้นรองน้ำตาลและเก็บลูกตาล เมื่อได้ลงมาแล้วเธอจะจัดการเตรียมลอนตาลและน้ำตาลใส่ถุงไว้ เพื่อนำไปขายในตลาดวังปลากดต่อไป
“บุญธรรมเค้าว่าไงล่ะรำพึง”
ยายแรม แม่ของหญิงสาวเอ่ยถามขึ้นมา หลังจากสองแม่ลูกเสร็จงานรดน้ำผักในตอนเย็นพร้อมกับเก็บอุปกรณ์เข้าไว้ข้างเรือน ก่อนพากันเดินเลยไปหลังบ้านซึ่งเป็นพื้นที่ทำครัว ขณะหญิงสาวตอบกลับไป
“พรุ่งนี้พี่เค้าไปขึ้นตาลบ้านลุงเขียวก่อนจ้ะแม่ มะรืนถึงมาขึ้นให้เรา”
เธอเอ่ยพลางนึกถึงชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าปี ที่ชื่อบุญธรรม บ้านเขามีอาชีพทำนา แต่ยามว่างบุญธรรมก็รับจ้างขึ้นตาลด้วย เขาเป็นคนร่างสันทัดผิวเนื้อดำแดง หน้าตาพอดูได้ไม่ถึงกับขี้เหร่ แต่ก็ไม่หล่อจนขนาดสาว ๆ ต้องเหลียวมอง ถ้าจะมีใครสนใจมองเขา ก็คงมองตรงความขยัน และทำงานหนักทุกวันติดกันมาหลายปี โดยไม่เคยมีใครเห็นเขาหยุดอยู่เฉย ๆ สักวันเดียว ว่างจากนาก็ไปขึ้นตาล ช่วงไหนลูกตาลวาย เสร็จนาเขาก็ปลูกผักสารพัดอย่าง กระทั่งล้อมรอบบ้านเขียวเป็นดง
“แล้วเค้าคุยอะไรกับเอ็งมั่งล่ะ”
ผู้เป็นแม่เอ่ยถามพร้อมกับอมยิ้ม พลางถอนใจออกมาเบา ๆ ขณะมองลูกสาวที่หน้าเริ่มแดงเรื่อ ๆ ออกมา
รำพึงเป็นช้างเผือกกลางไพรอย่างที่ใครเคยเปรียบสาวงามบ้านป่าไว้จริง ๆ ผิวพรรณเธอนวลผ่องผิดกับคนบ้านเดียวกัน รูปร่างอรชรแขนขากลมกลึง นิ้วมือเรียวงาม เวลาหยิบจับอะไรอ่อนช้อย ยามยิ้มแย้มด้วยริมฝีปากอวบอิ่ม ดวงตาของเธอจะแวววาวเป็นประกาย ทำให้ใบหน้าเรียวรูปไข่ยิ่งชวนมอง จึงเป็นที่หมายปองของไอ้หนุ่มทั้งบ้านใกล้บ้านไกล
แต่รำพึงกับบุญธรรม มีใจให้กันมานานพอควร รวมทั้งพ่อกับแม่เธอก็ไม่ได้กีดกัน เพราะความที่เขาเป็นคนรักงาน เพียงแค่รอให้ฐานะมั่นคงขึ้นอีกสักนิด ค่อยคุยเรื่องสู่ขออีกที พอดีพ่อของรำพึงมาตายไปเสียก่อน ในระยะนี้ จึงยังไม่มีใครพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
"พี่ธรรมเค้าพูดอะไรกับใครเป็นล่ะแม่"
หญิงสาวตอบพลางหักกิ่งไม้เล็ก ๆ วางบนชั้นเตาเตรียมก่อไฟ เพื่อหุงข้าวทำกับข้าวสำหรับมื้อเย็น ขณะผู้เป็นแม่หยิบจานชามมาวางบนแคร่พร้อมกับเอื้อมมือคว้าหม้อใบเล็กที่ห้อยไว้ลงมา
"แล้วเจ้าคะนองมันยังมาเกาะแกะกับเอ็งอยู่มั้ย"
ยายแรมถามถึงเจ้าหนุ่มบ้านวังปลากด ลูกเจ้าของโรงสีใหญ่ในหมู่บ้าน ซึ่งเข้ามาพูดจาแทะโลมรำพึงทุกครั้งที่เธอนำของไปขายที่นั่น และมักทำท่านักเลงใส่คนอื่นที่เข้ามาพูดคุยกับเธอ แต่หญิงสาวก็นิ่งไม่ตอบโต้ เพราะคิดว่าเธอมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่ได้คิดเรื่องอื่นแต่อย่างใด
"ก็เหมือนเดิมแหละแม่ แต่พอพ่อตายไป เขาก็เข้ามาวุ่นวายมากกว่าเดิม เมื่อเช้ายังพูดดัง ๆ เลย บอกว่าจะมาขอฉันกับแม่"
รำพึงพูดพลางถอนใจออกมา ก่อนจุดไฟในเตาจนลุกโชนแล้ววางไม้แห้งท่อนเท่ามือกำลงไป ควันขาวขุ่นลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาช้า ๆ เมื่อท่อนไม้เริ่มติดไฟ
มีอีกหลายอย่างที่ไอ้หนุ่มนักเลงลูกเถ้าแก่โรงสีพูดกับเธอ ทั้งยังพาดพิงถึงบุญธรรมซึ่งเขาไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย แต่เธอไม่ได้เล่าให้แม่ฟัง เพราะกลัวแม่ไม่สบายใจ
"ไอ้ธรรมมันมีดีกว่าข้าตรงไหนรำพึง เอ็งถึงไม่ยอมใจอ่อนให้ข้าสักที คอยดูนะ สักวันข้าจะลุยทุ่งโตนดให้ราบไปเลย ดูสิ คนอย่างไอ้ธรรมมันจะมีปัญญาช่วยอะไรใคร"
เธอไม่ตอบโต้อะไร ได้แต่ถอนใจแล้วทำทีก้มจัดเรียงของตรงหน้า ส่วนคะนองกับลูกน้องสี่ห้าคน เมื่อเห็นเธอนิ่งเฉย ก็ทำท่าไม่พอใจแล้วพากันเดินกร่างกลับไป
"ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีรำพึง ทางไปวังปลากดมันเปลี่ยว แม่ละเป็นห่วงเอ็งจริง ๆ"
นางแรมถอนใจออกมา ชะงักมือซึ่งกำลังรูดชะอมใส่จาน พลางนึกถึงตาปลั่งซึ่งตายจากไป ถ้าเขายังอยู่ อย่างน้อยในบ้านก็ยังมีผู้ชายพอให้อุ่นใจ
"ไม่ต้องห่วงหรอกแม่ ฉันไปกันทีหลายคน พี่นองไม่กล้าหรอก ตอนผ่านป่าช้าฉันแวะเข้าไปหาพ่อทุกครั้ง ขอให้พ่อคอยคุ้มครองฉันกับแม่ที"
เธอพูดได้แค่นั้นก็นิ่งไปพร้อมกับน้ำตาคลอ เมื่อคิดถึงพ่อซึ่งเคยอยู่เห็นหน้ากันทุกวัน ส่วนยายแรมไม่พูดอะไรกลับมา ก้มหน้าก้มตาเตรียมกับข้าว ท่ามกลางควันฟืนขาวคลุ้งปกคลุมทั่วครัว.....
( มีต่อครับ )