วันที่1 มกราคม
เมื่อห้าปีก่อน....
เด็กหญิง สุดฤทัย ยืนมองรถคันที่มารับพ่อของเธอ
ออกจากบ้านตอนเช้ามืด
ด้วยความรู้สึกหงอยเหงา
พ่อกับแม่ของเธอแยกทางกัน และเธอถูกพามาอยู่บ้านปู่กับย่า แรกๆ พ่อก็จะ
ไปๆมาๆ ทุกวันอาทิตย์พ่อจะมาหาเธอ แล้วสองพ่อลูกก็จะมีกิจกรรมที่ทำด้วยกันเสมอๆ
ปลูกต้นไม้...พ่อเธอชอบ
เธอเองก็ชอบ ทุกวันหยุด
ที่พ่อกลับบ้าน พ่อจะมีต้นไม้สวยๆติดมือมาเสมอ
บางครั้ง พ่อก็จะพาเธอไปร้านต้นไม้ เพื่อหาซื้อ พันธุ์ที่
สวยๆ แปลกๆ แบบที่พ่อยังไม่มีและ ที่เน้น ราคาต้อง
ไม่แพงด้วย พ่อบอกว่า
พ่อนิยมของถูก
พ่อสอนเธอผสมดินเอง(ที่
บ้านเธอมีต้นก้ามปูเป็นของ
ตัวเองหลายต้น) จนเธอจำอัตราส่วนผสมได้ขึ้นใจ
รวมทั้งการผสมเกสรเพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่หลากหลายขึ้น(จะเริ่มปฏิบัติการประมาณหกโมงถึงหนึ่งทุ่ม)
พ่อทำโรงเรือนง่ายๆสำหรับ
วางต้นไม้ไว้หลังบ้าน และ
นอกจากจะใช้ปลูก เพาะพันธุ์ใหม่ แล้ว ยังได้ความ
สวยงามจากการจัดเก็บ
ที่เป็นระเบียบอีกด้วย
นอกจากนั้นยังใช้เป็นที่ เก็บอุปกรณ์การปลูก ประเภท ใบก้ามปู
ขุยมะพร้าวและปุ๋ยคอกรวม
ทั้งกระถางหลากขนาด
แต่ความสุขที่มีเพียงสองคน
พ่อลูกก็อยู่กับเธอได้เพียง
สองปี พ่อก็แต่งงานใหม่
กับเพื่อนร่วมงานของพ่อ
แล้วพ่อก็เริ่ม มาเยี่ยมเธอน้อยลง มาถึงก็รีบคุย รีบกลับ ไม่เคยมาค้างด้วย
ไม่พาไปเที่ยว และแม้แต่
ขนม พ่อก็ยังซื้อมาฝาก น้อยจนนับครั้งได้ และ
เมื่อพ่อมีลูกใหม่ เธอก็แทบจะถูกลืมไปจากสารบบ
ความจำของพ่อ และวันนี้
พ่อแวะมาหาและบอกว่าจะอยู่ค้างคืนด้วย เธอดีใจอยู่ได้แค่ครึ่งคืน รถคันนี้ก็มารับพ่อกลับ
เธอพยายามบอกตัวเองเสมอ ว่าเธอโตแล้ว และ
เธอต้องเข้มแข็ง เพราะเธอเป็นลูกคนโต เธอจะไม่ทำให้ใครๆ ต้องเป็นห่วง
แต่บางครั้ง เมื่อสมองกับหัวใจไม่ไปทางเดียวกัน เธอก็เคยไปแอบร้องไห้ใน
เรือนต้นไม้ของพ่อ หลายปี
มานี้สิ่งเดียวที่เป็นตัวแทน
ของพ่อคือต้นไม้พวกนี้
เธอจึงปลูก ดูแลและ
ขยายพันธุ์ เผื่อวันไหนพ่อ
เกิดนึกได้และอยากเห็น
ต้นไม้ของท่าน จะได้ภูมิใจ
ว่า สุดฤทัย เด็กหญิงตัว
เล็กๆ ลูกสาวของท่านเก่ง
ดูแลต้นไม้ของท่าน จนขยายพันธุ์ออกไป มากมาย
จนปู่ต้องเพิ่มขนาดของโรงเรือนออกไปอีก
แต่..จนแล้วจนรอด พ่อก็ไม่เคยสนใจ ไม่เคยถามถึง
พ่อคงลืมมัน เหมือนที่ลืม
เธอกระมัง
"โน่ย...ทำอะไรลูก อย่าไป
มัวมองตามท้ายรถป๊าอยู่
เลยลูก มาช่วยอาม่าตั้งร้านดีกว่า วันนี้เรามี
ออเดอร์ข้าวมันไก่ เข้าแต่เช้า เดี๋ยวไม่ทันลูกค้านะ"
"จ้า..ไปเดี๋ยวนี้แล้วจ้ะอาม่า"
... ... .... ... ... ...
วันที่13 มกราคม 2563
สถานะการณ์โควิด คนไทยติดเชื้อรายแรกในประเทศ
และเมื่อรัฐประกาศล็อกดาวน์ประเทศเมื่อ26มีนาคม 63
อาม่าต้องปิดร้านข้าวมันไก่
เพื่อขานรับนโยบายการล็อกดาวน์ประเทศรอบแรก
ช่วงนั้นคนไทยตื่นตัวกันมาก เมื่อทุกฝ่ายให้ความ
ร่วมมือโดยไม่มีข้อแม้
อาม่าของเธอก็ไม่ได้อยู่
เหนือกฏเกณฑ์นี้.
จวบจน...3 พฤษภาคม 63
เมื่อสถานะการเข้าสู่ภาวะ
ปกติ ร้านข้าวมันไก่ของเธอก็เปิดให้บริการอีกครี้ง
ทั้งอาม่าและอากง พยายาม
เต็มที่ ที่จะประคองตัวพา
สามชีวิตและธุรกิจเล็กๆ
ฝ่าวิกฤตโควิดไปให้ได้
อาม่าแม้เป็นคนรุ่นเก่า
แต่ก็เข้าใจกับความเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยี เมื่อหลานต้องเรียนออนไลน์ ท่านก็พยายามจัดหาตัวช่วย
ในสิ่งจำเป็นของหลานมาให้
แม้ฐานะทางบ้านจะไม่ดีนัก
และรายได้ที่มีจะมาจากการขายของแค่ทางเดียวก็ตาม
ทั้งสามชีวิตฝ่าโควิดรอบแรกมาได้แบบพอไหว
อากงกับอาม่าสู้ไม่ถอยเพราะหลานสาว หลานเองก็เช่นเดียวกัน ความรักมัน
ยิ่งใหญ่เสมอถ้าอยู่ถูกที่
และถูกคน
จวบจนโควิดกระหน่ำอีกเป็นรอบที่สองในปี64
คราวนี้สถานะการณ์
หนักหนาสาหัสกว่ารอบแรกมากนัก ทุกสาขาอาชีพเจอผลกระทบแทบทั้งหมด
หนักบ้างเบาบ้างต่างกันไป
ร้านข้าวมันไก่ของเธอ
ในรอบนี้ยังเปิดได้ แม้จะต้องทำตามมาตรการอันเข้มงวด และลูกค้าประจำ
หายไปกว่าครึ่ง
เป็นอีกครั้งที่ อาม่ากับอากง
มีสีหน้าทดท้อ แต่กระนั้นก็
ไม่สิ้นหวัง อากงโอบอาม่า
กับเธอไว้ ก่อนปลุกปลอบว่า
"เราจะไม่สิ้นหวังหรอก
มันจะมาอีกกี่ครั้ง เราก็จะสู้
มันทุกครั้ง ถึงจะขายได้
น้อย แต่เราก็ยังขายได้
ตราบใดที่ยังมีลูกค้าเข้าร้าน ร้านข้าวมันไก่ของเรา
ก็จะยังเปิดต่อไป"
แต่ในช่วงวิกฤตก็ไม่ได้ร้ายจนเกินไปนัก เมื่อสาวน้อย
ได้พบว่า จากเหตุการณ์ที่
ทำให้คนกลับมาอยู่บ้านจากปัจจัยหลายอย่างนี้
ทำให้คนส่วนมากพากัน
ปลูกไม้ดอกไม้ใบแก้เหงา
และ สิ่งที่เขาเหล่านั้นกำลัง
นิยม กลับเป็นสิ่งที่เธอสะสมอย่างไม่ตั้งใจไว้ที่หลังบ้าน
"อาม่าจ๋า เราโชคดีแล้ว
ดูนี่สิ แค่ตระกูลรามเกียรติ์
โน่ยก็มีตั้งกี่ชนิดเนี่ย
หนุมานอมพลับพลา,
พระราม,พระลักษณ์,
กุมภกรรณ,หนุมานประสาน
กาย,ทศกัณฐ์,นางสวาหะ"
และเมื่อสาวน้อยเช็กดูโดยละเอียดก็พบว่า เธอมีบอน
สีสวยๆอยู่ในมือถึง
เจ็ดสิบสามชนิด
"ตายๆๆ . โน่ยจะรวยแล้ว
อาม่าจ๋า....ป๊า...โน่ยขอเอา
ลูกๆของรักของป๊าไปสร้าง
รายได้ก่อนนะคะ ส่วนต้น
พ่อพันธุ์แม่พันธุ์โน่ยจะเก็บเอาไว้ เผื่อป๊ามาขอคืน"
แล้วสาวน้อยผู้เคยยืนอยู่แต่
ข้างกะละมังล้างจาน ก็ถ่ายรูป บอนสีเอาไปโพสต์ในกลุ่มคนรักไม้ด่าง พร้อมแคปชั่นเก๋ๆ
หลังจากนั้นอีกไม่ถึงชั่วโมง
สองผู้เฒ่าในบ้านก็ต้องมานั่งแยกบอนสีที่ถูกFและปิดการขาย
เสียงหัวเราะกลับคืนมาสู่
ครอบครัวอีกครั้ง แม้บางชนิดที่ขายจะได้แค่หลักสิบ
หรือหลักร้อยต้นๆ
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
สิ่งสำคัญที่ สุดฤทัย พอใจ
คือเธอสามารถหารายได้
จากสิ่งของที่คิดว่าเป็นได้แค่ตัวแทนความคิดถึงที่มี
ต่อพ่อได้ต่างหาก
การทำให้นามธรรมกลาย
เป็นรูปธรรมนี่ ทำเองก็ได้
ง่ายนิดเดียว เชื่อสุดฤทัยสิ
ว่าแต่..ตอนนี้ถ้ามีบอนสีสวยๆไว้ในบ้านละก้อ
เอาไปโพสต์ขายสร้างรายได้กันก็ไม่เลวน้า กำลังฮิต
ทั่วบ้านทั่วเมือง เชียว😄
ตัวแทน..
เมื่อห้าปีก่อน....
เด็กหญิง สุดฤทัย ยืนมองรถคันที่มารับพ่อของเธอ
ออกจากบ้านตอนเช้ามืด
ด้วยความรู้สึกหงอยเหงา
พ่อกับแม่ของเธอแยกทางกัน และเธอถูกพามาอยู่บ้านปู่กับย่า แรกๆ พ่อก็จะ
ไปๆมาๆ ทุกวันอาทิตย์พ่อจะมาหาเธอ แล้วสองพ่อลูกก็จะมีกิจกรรมที่ทำด้วยกันเสมอๆ
ปลูกต้นไม้...พ่อเธอชอบ
เธอเองก็ชอบ ทุกวันหยุด
ที่พ่อกลับบ้าน พ่อจะมีต้นไม้สวยๆติดมือมาเสมอ
บางครั้ง พ่อก็จะพาเธอไปร้านต้นไม้ เพื่อหาซื้อ พันธุ์ที่
สวยๆ แปลกๆ แบบที่พ่อยังไม่มีและ ที่เน้น ราคาต้อง
ไม่แพงด้วย พ่อบอกว่า
พ่อนิยมของถูก
พ่อสอนเธอผสมดินเอง(ที่
บ้านเธอมีต้นก้ามปูเป็นของ
ตัวเองหลายต้น) จนเธอจำอัตราส่วนผสมได้ขึ้นใจ
รวมทั้งการผสมเกสรเพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่หลากหลายขึ้น(จะเริ่มปฏิบัติการประมาณหกโมงถึงหนึ่งทุ่ม)
พ่อทำโรงเรือนง่ายๆสำหรับ
วางต้นไม้ไว้หลังบ้าน และ
นอกจากจะใช้ปลูก เพาะพันธุ์ใหม่ แล้ว ยังได้ความ
สวยงามจากการจัดเก็บ
ที่เป็นระเบียบอีกด้วย
นอกจากนั้นยังใช้เป็นที่ เก็บอุปกรณ์การปลูก ประเภท ใบก้ามปู
ขุยมะพร้าวและปุ๋ยคอกรวม
ทั้งกระถางหลากขนาด
แต่ความสุขที่มีเพียงสองคน
พ่อลูกก็อยู่กับเธอได้เพียง
สองปี พ่อก็แต่งงานใหม่
กับเพื่อนร่วมงานของพ่อ
แล้วพ่อก็เริ่ม มาเยี่ยมเธอน้อยลง มาถึงก็รีบคุย รีบกลับ ไม่เคยมาค้างด้วย
ไม่พาไปเที่ยว และแม้แต่
ขนม พ่อก็ยังซื้อมาฝาก น้อยจนนับครั้งได้ และ
เมื่อพ่อมีลูกใหม่ เธอก็แทบจะถูกลืมไปจากสารบบ
ความจำของพ่อ และวันนี้
พ่อแวะมาหาและบอกว่าจะอยู่ค้างคืนด้วย เธอดีใจอยู่ได้แค่ครึ่งคืน รถคันนี้ก็มารับพ่อกลับ
เธอพยายามบอกตัวเองเสมอ ว่าเธอโตแล้ว และ
เธอต้องเข้มแข็ง เพราะเธอเป็นลูกคนโต เธอจะไม่ทำให้ใครๆ ต้องเป็นห่วง
แต่บางครั้ง เมื่อสมองกับหัวใจไม่ไปทางเดียวกัน เธอก็เคยไปแอบร้องไห้ใน
เรือนต้นไม้ของพ่อ หลายปี
มานี้สิ่งเดียวที่เป็นตัวแทน
ของพ่อคือต้นไม้พวกนี้
เธอจึงปลูก ดูแลและ
ขยายพันธุ์ เผื่อวันไหนพ่อ
เกิดนึกได้และอยากเห็น
ต้นไม้ของท่าน จะได้ภูมิใจ
ว่า สุดฤทัย เด็กหญิงตัว
เล็กๆ ลูกสาวของท่านเก่ง
ดูแลต้นไม้ของท่าน จนขยายพันธุ์ออกไป มากมาย
จนปู่ต้องเพิ่มขนาดของโรงเรือนออกไปอีก
แต่..จนแล้วจนรอด พ่อก็ไม่เคยสนใจ ไม่เคยถามถึง
พ่อคงลืมมัน เหมือนที่ลืม
เธอกระมัง
"โน่ย...ทำอะไรลูก อย่าไป
มัวมองตามท้ายรถป๊าอยู่
เลยลูก มาช่วยอาม่าตั้งร้านดีกว่า วันนี้เรามี
ออเดอร์ข้าวมันไก่ เข้าแต่เช้า เดี๋ยวไม่ทันลูกค้านะ"
"จ้า..ไปเดี๋ยวนี้แล้วจ้ะอาม่า"
... ... .... ... ... ...
วันที่13 มกราคม 2563
สถานะการณ์โควิด คนไทยติดเชื้อรายแรกในประเทศ
และเมื่อรัฐประกาศล็อกดาวน์ประเทศเมื่อ26มีนาคม 63
อาม่าต้องปิดร้านข้าวมันไก่
เพื่อขานรับนโยบายการล็อกดาวน์ประเทศรอบแรก
ช่วงนั้นคนไทยตื่นตัวกันมาก เมื่อทุกฝ่ายให้ความ
ร่วมมือโดยไม่มีข้อแม้
อาม่าของเธอก็ไม่ได้อยู่
เหนือกฏเกณฑ์นี้.
จวบจน...3 พฤษภาคม 63
เมื่อสถานะการเข้าสู่ภาวะ
ปกติ ร้านข้าวมันไก่ของเธอก็เปิดให้บริการอีกครี้ง
ทั้งอาม่าและอากง พยายาม
เต็มที่ ที่จะประคองตัวพา
สามชีวิตและธุรกิจเล็กๆ
ฝ่าวิกฤตโควิดไปให้ได้
อาม่าแม้เป็นคนรุ่นเก่า
แต่ก็เข้าใจกับความเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยี เมื่อหลานต้องเรียนออนไลน์ ท่านก็พยายามจัดหาตัวช่วย
ในสิ่งจำเป็นของหลานมาให้
แม้ฐานะทางบ้านจะไม่ดีนัก
และรายได้ที่มีจะมาจากการขายของแค่ทางเดียวก็ตาม
ทั้งสามชีวิตฝ่าโควิดรอบแรกมาได้แบบพอไหว
อากงกับอาม่าสู้ไม่ถอยเพราะหลานสาว หลานเองก็เช่นเดียวกัน ความรักมัน
ยิ่งใหญ่เสมอถ้าอยู่ถูกที่
และถูกคน
จวบจนโควิดกระหน่ำอีกเป็นรอบที่สองในปี64
คราวนี้สถานะการณ์
หนักหนาสาหัสกว่ารอบแรกมากนัก ทุกสาขาอาชีพเจอผลกระทบแทบทั้งหมด
หนักบ้างเบาบ้างต่างกันไป
ร้านข้าวมันไก่ของเธอ
ในรอบนี้ยังเปิดได้ แม้จะต้องทำตามมาตรการอันเข้มงวด และลูกค้าประจำ
หายไปกว่าครึ่ง
เป็นอีกครั้งที่ อาม่ากับอากง
มีสีหน้าทดท้อ แต่กระนั้นก็
ไม่สิ้นหวัง อากงโอบอาม่า
กับเธอไว้ ก่อนปลุกปลอบว่า
"เราจะไม่สิ้นหวังหรอก
มันจะมาอีกกี่ครั้ง เราก็จะสู้
มันทุกครั้ง ถึงจะขายได้
น้อย แต่เราก็ยังขายได้
ตราบใดที่ยังมีลูกค้าเข้าร้าน ร้านข้าวมันไก่ของเรา
ก็จะยังเปิดต่อไป"
แต่ในช่วงวิกฤตก็ไม่ได้ร้ายจนเกินไปนัก เมื่อสาวน้อย
ได้พบว่า จากเหตุการณ์ที่
ทำให้คนกลับมาอยู่บ้านจากปัจจัยหลายอย่างนี้
ทำให้คนส่วนมากพากัน
ปลูกไม้ดอกไม้ใบแก้เหงา
และ สิ่งที่เขาเหล่านั้นกำลัง
นิยม กลับเป็นสิ่งที่เธอสะสมอย่างไม่ตั้งใจไว้ที่หลังบ้าน
"อาม่าจ๋า เราโชคดีแล้ว
ดูนี่สิ แค่ตระกูลรามเกียรติ์
โน่ยก็มีตั้งกี่ชนิดเนี่ย
หนุมานอมพลับพลา,
พระราม,พระลักษณ์,
กุมภกรรณ,หนุมานประสาน
กาย,ทศกัณฐ์,นางสวาหะ"
และเมื่อสาวน้อยเช็กดูโดยละเอียดก็พบว่า เธอมีบอน
สีสวยๆอยู่ในมือถึง
เจ็ดสิบสามชนิด
"ตายๆๆ . โน่ยจะรวยแล้ว
อาม่าจ๋า....ป๊า...โน่ยขอเอา
ลูกๆของรักของป๊าไปสร้าง
รายได้ก่อนนะคะ ส่วนต้น
พ่อพันธุ์แม่พันธุ์โน่ยจะเก็บเอาไว้ เผื่อป๊ามาขอคืน"
แล้วสาวน้อยผู้เคยยืนอยู่แต่
ข้างกะละมังล้างจาน ก็ถ่ายรูป บอนสีเอาไปโพสต์ในกลุ่มคนรักไม้ด่าง พร้อมแคปชั่นเก๋ๆ
หลังจากนั้นอีกไม่ถึงชั่วโมง
สองผู้เฒ่าในบ้านก็ต้องมานั่งแยกบอนสีที่ถูกFและปิดการขาย
เสียงหัวเราะกลับคืนมาสู่
ครอบครัวอีกครั้ง แม้บางชนิดที่ขายจะได้แค่หลักสิบ
หรือหลักร้อยต้นๆ
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
สิ่งสำคัญที่ สุดฤทัย พอใจ
คือเธอสามารถหารายได้
จากสิ่งของที่คิดว่าเป็นได้แค่ตัวแทนความคิดถึงที่มี
ต่อพ่อได้ต่างหาก
การทำให้นามธรรมกลาย
เป็นรูปธรรมนี่ ทำเองก็ได้
ง่ายนิดเดียว เชื่อสุดฤทัยสิ
ว่าแต่..ตอนนี้ถ้ามีบอนสีสวยๆไว้ในบ้านละก้อ
เอาไปโพสต์ขายสร้างรายได้กันก็ไม่เลวน้า กำลังฮิต
ทั่วบ้านทั่วเมือง เชียว😄