ตามที่ผมเคยร้องเรียนกับทางคณะกรรการสิทธิมนุษยเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคลอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในการประกอบอาชีพกรณีกล่าวอ้างว่าบริษัทเอกชนกำหนดให้มีการตรวจหาเชื้อเอชไอวีเพื่อใช้เป็นเงื่อนไขก่อนรับเข้าทำงาน(ตามเลขที่คำร้อง86/2561) นั้นทางคณะกรรมการฯได้โทรมาแจ้งผลการร้องเรียนว่าทางบริษัทเอกชนได้ทำการยกเลิกข้อกำหนดให้มีการตรวจหาเชื้อhiv ก่อนเข้าทำงานแล้วทั้งนี้ทางคณะกรรมการฯที่ได้ตรวจสอบกับทางบริษัทเอกชนรายหนึ่งสอบถามผมว่าพึงพอใจหรือไม่ที่ทางบริษัทได้ยกเลิกการตรวจหาเชื้อhiv ก่อนเข้ารับการทำงาน
เอาตามความรู้สึกผมนะผมว่าก็พอใจในระดับหนึ่งที่ทางบริษัทเอกชนยกเลิกข้อกำหนดดังกล่าวแต่จะพอใจมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับบริษัทเอกชนได้ทำการยกเลิกจริงแท้แค่ไหน
การที่ผมร้องเรียนไปไม่ใช่ว่าต้องการค่าสินไหมตอบแทนอะไรกรณีถูกปฏิเสธเข้ารับการทำงานแต่อยากให้บริษัทเอกชนได้รับรู้และเป็นบรรทัดฐานว่าการที่บริษัทท่านปฏิเสธบุคคลที่มีเชื้อhiv ก่อนเข้ารับการทำงานมันเป็นตรรกะอะไรที่พังมากทำให้คุณภาพชีวิตของคนคนนึงต้องเปลี่ยนไป
ในความคิดและความรู้สึกของผมนั้นอยากจะถามว่าทำไมหรอ? ผู้มีเชื้อhiv ไม่มีศักยภาพในการทำงานเท่ากับคนปกติหรือ?? ผู้มีเชื้อhiv เค้าก็มี2 มือ2 เท้าและ1 สมองเท่าคนปกติทั่วไป(บางทีอาจจะดีกว่าคนปกติด้วยซ้ำ) ที่สามารถทำงานเลี้ยงชีพเค้าและครอบครัวเค้าแต่คุณกลับปฏิเสธเค้า ทำให้ทางเดินชีวิตของคนคนนึงเปลี่ยนไปเลยสุดท้ายพอโดนร้องเรียนก็แค่ยกเลิกข้อกำหนดดังกล่าวเท่านั้นเหมือนเป็นการปัดความรับผิดชอบไปงั้นๆ
อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้นแหละผมไม่ได้ต้องการค่าสินไหมตอบแทนใดๆทั้งนั้นแต่อยากให้ทางบริษัทเอกชนพึงตระหนักถึงข้อกำหนดดังกล่าวในการรับคนเข้าทำงานเท่านั้นเพื่อเป็นบรรทัดฐานของการที่จะรับบุคคลเข้าทำงาน
ตอนที่ผมถูกปฏิเสธการเข้ารับทำงานในผมรู้สึกเคว้งคว้างหมดหนทางมากๆบางทีอยากฆ่าตัวตายด้วยซ้ำจึงได้ทำการร้องเรียนกับทางคณะกรรมการฯเพื่อให้ตรวจสอบกับบริษัทเอกชนเพื่อให้บริษัทไปพิจารณาข้อกำหนดของตัวเองเผื่อคนอื่นที่เค้าตั้งใจจะมาสมัครงานของคุณได้มีโอกาสทำงานหาเลี้ยงชีพบ้าง
สำหรับผมต้องขอขอบคุณกับทางคณะกรรมการฯที่รับร้องเรียนและเข้าตรวจสอบกับทางบริษัทเอกชน
ท้ายนี้ผมจะจำเป็นบทเรียนและจะไม่ขอใช้บริการกับทางบริษัทของคุณในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการหรือการสมัครเข้าทำงานเพราะผมเสียความรู้สึกไปแล้ว
ว่าด้วยเรื่องการปฏิเสธคนเข้าทำงานของบริษัทเอกชน
เอาตามความรู้สึกผมนะผมว่าก็พอใจในระดับหนึ่งที่ทางบริษัทเอกชนยกเลิกข้อกำหนดดังกล่าวแต่จะพอใจมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับบริษัทเอกชนได้ทำการยกเลิกจริงแท้แค่ไหน
การที่ผมร้องเรียนไปไม่ใช่ว่าต้องการค่าสินไหมตอบแทนอะไรกรณีถูกปฏิเสธเข้ารับการทำงานแต่อยากให้บริษัทเอกชนได้รับรู้และเป็นบรรทัดฐานว่าการที่บริษัทท่านปฏิเสธบุคคลที่มีเชื้อhiv ก่อนเข้ารับการทำงานมันเป็นตรรกะอะไรที่พังมากทำให้คุณภาพชีวิตของคนคนนึงต้องเปลี่ยนไป
ในความคิดและความรู้สึกของผมนั้นอยากจะถามว่าทำไมหรอ? ผู้มีเชื้อhiv ไม่มีศักยภาพในการทำงานเท่ากับคนปกติหรือ?? ผู้มีเชื้อhiv เค้าก็มี2 มือ2 เท้าและ1 สมองเท่าคนปกติทั่วไป(บางทีอาจจะดีกว่าคนปกติด้วยซ้ำ) ที่สามารถทำงานเลี้ยงชีพเค้าและครอบครัวเค้าแต่คุณกลับปฏิเสธเค้า ทำให้ทางเดินชีวิตของคนคนนึงเปลี่ยนไปเลยสุดท้ายพอโดนร้องเรียนก็แค่ยกเลิกข้อกำหนดดังกล่าวเท่านั้นเหมือนเป็นการปัดความรับผิดชอบไปงั้นๆ
อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้นแหละผมไม่ได้ต้องการค่าสินไหมตอบแทนใดๆทั้งนั้นแต่อยากให้ทางบริษัทเอกชนพึงตระหนักถึงข้อกำหนดดังกล่าวในการรับคนเข้าทำงานเท่านั้นเพื่อเป็นบรรทัดฐานของการที่จะรับบุคคลเข้าทำงาน
ตอนที่ผมถูกปฏิเสธการเข้ารับทำงานในผมรู้สึกเคว้งคว้างหมดหนทางมากๆบางทีอยากฆ่าตัวตายด้วยซ้ำจึงได้ทำการร้องเรียนกับทางคณะกรรมการฯเพื่อให้ตรวจสอบกับบริษัทเอกชนเพื่อให้บริษัทไปพิจารณาข้อกำหนดของตัวเองเผื่อคนอื่นที่เค้าตั้งใจจะมาสมัครงานของคุณได้มีโอกาสทำงานหาเลี้ยงชีพบ้าง
สำหรับผมต้องขอขอบคุณกับทางคณะกรรมการฯที่รับร้องเรียนและเข้าตรวจสอบกับทางบริษัทเอกชน
ท้ายนี้ผมจะจำเป็นบทเรียนและจะไม่ขอใช้บริการกับทางบริษัทของคุณในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการหรือการสมัครเข้าทำงานเพราะผมเสียความรู้สึกไปแล้ว