[เรื่องเล่าของหนุ่มวาย] ประสบการณ์(อดีต)ว่าที่ทหารกองประจำการ

ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริง

รถทัวร์ขนาดใหญ่จำนวนนับสิบคันจอดเรียงรางอยู่กลางสนามหญ้าหน้าศาลากลางจังหวัด ขณะที่ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในสนามอย่างไม่ขาดสาย โชคดีที่เช้าวันนี้แดดไม่แรงเท่าไหร่ โชคร้ายที่วันนี้เป็นวันที่ผมต้องบอกลาอิสรภาพเพื่อไปทำหน้าที่ของ “ลูกผู้ชาย” ตามที่ถูกปลูกฝังทั้งจากสังคมและครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก ผมไม่ได้เรียน รด. เพราะเลือกที่จะเสี่ยงดวงเอาในวันคัดเลือกทหาร ซึ่งหลังจากที่ทำการผ่อนผันครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเอาเวลาไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยจนจบปริญญาตรี ผมก็ได้ตัดสินใจจับใบดำใบแดงให้มันจบ ๆ กันไปในปีเดียวกันกับที่เรียนจบ และผลลัพธ์ที่ได้ก็ออกมาอย่างที่เห็น

“ไปลูก โชคดี” คำบอกลาสั้น ๆ ของแม่ยังคงก้องอยู่ในหัว ขณะที่ผมเดินตามแถวขึ้นรถทัวร์สีสันฉูดฉาดตามมาตรฐานรถทัวร์สัญชาติไทยคันที่จอดอยู่ตรงหน้า เป็นที่รู้กันว่าครอบครัวคนภาคอีสานไม่ถนัดเรื่องการแสดงออกด้านความรักกันทางคำพูดเท่าไหร่นัก แต่จากสีหน้าและแววตา ผมก็พอจะดูออกว่าแม่เป็นห่วงลูกชายคนนี้มากแค่ไหน

โชคดีที่แถวของผมได้ขึ้นรถเป็นแถวแรก ผมจึงสามารถเลือกที่นั่งที่ผมต้องการได้โดยสะดวก นั่นก็คือที่นั่งติดริมหน้าต่างถัดจากเบาะหลังสุดมาสองแถวฝั่งเดียวกันกับคนขับ ผมชอบนั่งแถวหลัง ๆ ก็จริง แต่ที่ผมไม่นั่งเบาะหลังสุด ก็เพราะรถทัวร์หรือรถบัสบางคันเครื่องยนต์เสียงดังมาก และที่เลือกนั่งฝั่งคนขับ เพราะเคยได้ยินมาว่า หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาคนที่นั่งฝั่งคนขับจะปลอดภัยที่สุด อันนี้ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่ยังไงผมก็เลือกเอาที่สบายใจไว้ก่อน ถึงแม้ว่ามันจะช่วยผ่อนคลายอาการใจเต้นตึกตักและโหวงเหวงในท้องจากความเครียดที่มากับความวิตกกังวลเกี่ยวกับความยากลำบากในการฝึกทหารที่รอคอยอยู่เบื้องหน้าได้ไม่มากเท่าไหร่นัก

ผมพยายามฝืนยิ้มหน้าเจื่อนโบกมือลาให้ทุกคนในบ้านที่ยืนมองผมอยู่ข้างรถเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันกลับมามองดูบรรยากาศบนรถที่คนเริ่มจะคับคั่งแล้ว เพื่อนร่วมชะตากรรมของผมมีตั้งแต่เด็กหนุ่มวัยใสยันผู้ใหญ่วัยทำงาน รวมถึงแม้กระทั่งพระภิกษุสงฆ์

“ไม่มีใครหนีเวรหนีกรรมพ้นจริง ๆ ด้วยสินะ” ผมคิดติดตลก ก่อนจะก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่กุมอยู่บนตัก ภาวนาให้รถไม่เต็มคันจะได้ไม่มีใครมานั่งติดกับตัวเอง เพราะผมก็เหมือนกับใครหลาย ๆ คนที่ไม่ชอบนั่งเบียดเสียดกับคนแปลกหน้าบนรถที่ต้องใช้เวลาเดินทางนาน ๆ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะนั่งสบาย ๆ คนเดียวมากกว่า

แต่อนิจจา ไม่ทันไรก็มีใครบางคนทิ้งตัวลงนั่งที่เบาะข้าง ๆ ผมอย่างแรง ทำเอาเบาะของผมกระเพื่อมไปด้วยน้อย ๆ ผมค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองผู้ก่อเหตุอย่างพยายามไม่ให้แสดงอาการว่าตนเองถูกรบกวน ก็เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาบ้าน ๆ หนวดเคราหรอมแหรม รูปร่างสันทัดในชุดฟุตบอลเสื้อสีแดงกางเกงสีขาวคีบแตะสีเขียวนั่งมองมาที่ผมอยู่

“โทษเด้อ โทษ ๆ ซัวสิหาหม่องนังดั้ย แหะๆ” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดกับผมด้วยภาษาถิ่นอย่างรู้สึกผิดที่ตัวเองนั่งแรงไปหน่อย พลางลูบผมรองทรงสูงที่เริ่มยาวไม่เป็นทรงของตนไปมาอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง กลิ่นบุหรี่โชยออกมาจากปากของเขาทันทีที่เปล่งเสียงออกมา ทำเอาผม ที่เกลียดคนสูบบุหรี่เสียยิ่งกว่าอะไร กลั้นหายใจแทบไม่ทัน 

“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบเขาเสียงเรียบด้วยภาษากลาง พยายามแสดงความไม่พอใจที่นอกจากจะไม่ได้นั่งคนเดียวแล้วยังต้องนั่งติดกับคนสูบบุหรี่อีกออกมาให้น้อยที่สุด ก่อนจะหันไปทางด้านหลัง และเห็นเบาะว่างอยู่หลายที่ “ข้างหลังว่างนะครับ” ผมอยากจะบอกกับเขาออกไปอย่างนี้ แต่ด้วยความที่เป็นคนสุภาพ(?)จึงไม่ได้พูดออกไป และเขยิบเข่าซ้ายของตนเองเข้ามาหาตัวเพื่อไม่ให้ชนกันกับเข่าของเด็กหนุ่มคนนั้น ก่อนจะหลับตาลงและถอนหายใจน้อย ๆ

รถออกมาจากเขตศาลากลางไม่ถึงร้อยเมตร เขาก็เริ่มชวนผมคุย “โตมาแต่ตำบลได๋ เฮามาแต่เมืองเก่า”

“เราก็เมืองเก่า” ผมหันไปตอบเขาสั้น ๆ ก่อนจะหันหน้าไปอีกทางเพื่อมองดูวิวตัวเมืองที่รถกำลังวิ่งผ่าน ผ่านหน้าต่างที่ผมดึงกระจกขึ้นไปให้ลมเย็นพัดโชยเข้ามา

“ป้าด คนบ้านเดียวกันตั๊วหนิ!” เขาพูดเสียงดังอย่างประหลาดใจ “อย่าบอกเด้อว่าได้ ทบ. คือกัน?”

ผมพยักหน้าน้อย ๆ แทนคำตอบ ขณะยังคงมองดูวิวข้างนอก เพื่อเป็นการส่งสัญญาณบอกเขาว่า ผมไม่สนใจจะคุยด้วย “บ้านเดียวกันบ้าอะไร แค่ตำบลเดียวกัน...” ผมว่าในใจ

“เฮ้ย อิหลีอะ?! ” เขาพูดเสียงดังอย่างประหลาดใจอีกครั้ง เหมือนจะดูสัญญาณที่ผมสื่อออกไปไม่ออก ก่อนจะแนะนำตัวเอง “เฮ้าซือต้นเด้อ โตเด้?”

ผมละสายตาจากวิวตึกรามบ้านช่องที่เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้มีอะไรน่าดูเป็นพิเศษหรอก เพื่อหันไปตอบเขาว่า “เราชื่อเต้อ” ก็เห็นเขายื่นมือซ้ายมาให้ผมจับเป็นการทักทาย

ทีแรกผมว่าจะแก้ไขความเข้าใจผิดของเขาเกี่ยวกับการจับมือทักทายซึ่งจริง ๆ แล้วต้องใช้มือขวา แต่ก็ตัดสินใจยื่นมือซ้ายของตัวเองไปจับมือของเขาให้มันจบ ๆ ไป เพื่อที่จะได้พบว่ามือของเขา ที่กุมมือของผมอยู่แน่นขณะเขย่าไปมาน้อย ๆ นั้น นุ่มกว่าที่คิด

“เว้าลาวบ่ดั้ยบ่ โต?” ต้นถามผมอย่างสงสัย คงเป็นเพราะเห็นผมพูดโต้ตอบเขาด้วยภาษากลางตลอด

ผมส่ายหน้าแทนคำโกหก ความจริงแล้ว ผมสามารถพูดภาษาอีสานได้อย่างคล่องปาก อันที่จริง ผมสามารถพูดภาษาอีสานได้ก่อนภาษากลางด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่ไม่ชอบพูดอีสานกับคนแปลกหน้า จึงได้ตอบปฏิเสธไปแบบนั้น

ต้นคงเห็นว่าผมมีรูปพรรณสันฐานแบบเด็กในตัวเมือง (ขาวสูง ใส่แว่น ผมรองทรง เสื้อโปโลกางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ) เลยไม่ติดใจสงสัยอะไร (คิดว่านะ) เมื่อเห็นว่าผมคุยภาษาท้องถิ่นไม่ได้ เขาจึงหันมาสนทนากับผมโดยใช้ภาษากลาง ซึ่งบางครั้งก็มีภาษาอีสานหลุดมาบ้างคำสองคำ

“อ้าว เป็นอ้ายผมหรอกเหรอ? นึกว่ารุ่นเดียวกัน” ต้นถามอย่างประหลาดใจไม่น้อย เมื่อได้รู้ว่าผมเรียนจบปริญญาตรีจนตอนนี้อายุย่างยี่สิบสามแล้ว “หน้าเด็กนะหนิ เจ้า”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็อดเขินขึ้นมาไม่ได้ “เว่อละ” ผมบอกเขา ก่อนจะหัวเราะน้อย ๆ

เขาบอกผมว่าพึ่งจบมอหกเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ทำงานอยู่ที่โรงงานอุตสาหกรรมแถวบ้าน ผมรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่คนที่ค่อนข้างเก็บตัวอย่างผม ผู้ที่ไม่ชอบที่จะสนทนาปราศัยกับคนแปลกหน้า สามารถพูดคุยกับต้นได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ อาจจะเพราะว่าเขาเป็นคนอัธยาศัยดี คุยเก่ง และดูมีเสน่ห์ เดี๋ยวก่อนนะ อย่างหลังไม่น่าจะใช่ เริ่มคิดอะไรแปลก ๆ ละผม

รถทัวร์กระตุกและส่ายไปมาเล็กน้อยขณะวิ่งไปบนทางหลวงสายหลักของภาคอีสาน ผ่านจุดที่กำลังได้รับการซ่อมบำรุง ทำให้เข่าของผมกับต้นขยับมาชนกัน แต่ทั้งเค้าละผมต่างก็ไม่มีใครขยับออก สำหรับต้น คงเพราะว่าเค้ากำลังเพลิดเพลินอยู่กับการหัวเราะไปกับวิดีโอตลกของคณะหมอลำชื่อดังในทีวีอยู่ แต่สำหรับผม ที่ผมไม่ขยับออก คงเป็นเพราะว่าผมเริ่มคุ้นเคยกับเขาแล้ว และการที่ได้สัมผัสกับใครสักคนที่คุ้นเคย แม้จะยังไม่นานและเป็นการสัมผัสที่ไม่ได้มากมายอะไร ก็ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง แม้เพียงเล็กน้อย

รถทัวร์จอดแวะให้พวกเราพักรับประทานอาหารที่ศูนย์อาหารข้างทางขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ในเขตจังหวัดนครราชสีมาซึ่งตั้งอยู่เดี่ยว ๆ แวดล้อมไปด้วยทุ่งนา โดยหลาย ๆ คนได้ถือโอกาสแวะเข้าห้องน้ำด้วย แต่ด้วยจำนวนห้องสุขาที่มีอยู่อย่างจำกัดทำให้บางคนต้องเดินอ้อมหลังร้านไปยืนฉี่ริมทุ่งนาอย่างไม่อายใคร ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรก...

ตอนที่รถแวะจอดให้ฉี่ริมทางกลางทุ่งโล่งโจ้งครั้งแรก ก่อนจะมาถึงร้านอาหารแห่งนี้ ผมรู้สึกอายไม่กล้าลงไปฉี่ เพราะไม่เคยทำอะไรอย่างนั้นมาก่อน จนสุดท้ายกลั้นเอาไว้ต่อไปไม่ไหว (เมื่อเช้าไม่น่าดื่มน้ำเยอะเลย) จึงตัดสินใจลงไปยืนฉี่กลางแจ้ง ท่ามกลางเพื่อนร่วมเดินทางคนอื่น ๆ โดยพยายามก้มหน้ามองสายธารที่ตัวเองกำลังปลดปล่อยออกมา ไม่มองไปยังคนอื่น

“ฉี่เยอะเหมือนกันนะ อ้าย” เสียงต้นดังมาจากด้านข้างทำเอาผมสะดุ้งโหยงจนเกือบจะฉี่ราดขาตัวเอง มันมายืนฉี่ข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมรีบหันไปอีกทางพลางเอามือข้างที่ไม่ได้กำลังยุ่งอยู่บังน้องชายตัวเองไปด้วย

“ไอ่บ้า อย่าทำอย่างงี้ดิ ตกใจหมด!” ผมว่าให้ต้นอย่างไม่พอใจแต่ก็ตลกตัวเองไม่น้อย ก่อนจะรีบสะบัด จัดเก็บ และเดินขึ้นรถไป โดยมีเสียงต้นที่กำลังจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบหลังฉี่เสร็จอยู่ (เหมือนใครอีกหลาย ๆ คน) หัวเราะคิกคักตามมาข้างหลัง

. . . . . . . . . . 

ผมชอบทานอาหารรสจัดจึงสั่งข้าวราดกระเพราะหมูสับไข่ดาวกับยำวุ้นเส้นที่ร้านข้าวราดแกงมาทาน ผมเข้าใจว่าต้นไปฉี่กับสูบบุหรี่เสร็จแล้วจะตามมาสมทบ แต่นั่งรออยู่สักพัก เหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่มีวี่แววของเขาแต่อย่างใด ผมจึงตัดสินใจฝากคนที่นั่งโต๊ะข้าง ๆ ดูโต๊ะกับอาหารไว้ให้ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนรถ เพื่อจะได้เห็นต้นกำลังนั่งงีบอยู่ที่เบาะประจำตัวของเขา

“เฮ้ย ไม่หิวข้าวเหรอ ไปกินข้าวกัน” ผมเขย่าไหล่ปลุกต้นเบา ๆ “นึกว่าวิ่งเข้าป่ากล้วยหนีทหารไปถึงไหนต่อไหนแล้วซะอีก”

ไม่นานเขาก็ลืมตาเงยหน้าขึ้นมองผม ก่อนจะบอกกับผมพร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ ว่า “ผมไม่มีตังค์ซื้อข้าวน่ะพี่ ทำหายตั้งแต่ยามได๋ก็ไม่รู้ แฮ่ ๆ”

“อ่าว แล้วทำไมไม่บอก?” ผมอดตำหนิเขาไม่ได้ “มา ๆ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง มีตังค์พออยู่” ผมดึงแขนต้นให้ลุกขึ้น แต่เขาก็อิดออด บอกกับผมว่า “เกรงใจอะพี่” ผมจึงใช้การ์ดที่เขาเป็นคนสร้างขึ้นมาเองเมื่อตอนเจอกันแรก ๆ ว่า “ไหนบอกว่าคนบ้านเดียวกันไง คนบ้านเดียวกันจริงก็ต้องเลี้ยงข้าวกันได้ดิ” เขาจึงยอมลุกและลงไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันกับผมแต่โดยดี

“ไม่ต้องถ่าผมพี่ กินเลย ๆ” ต้นบอกทันทีที่เห็นผมกำลังนั่งรอเขาอยู่โดยที่ยังไม่ได้แตะอาหารในจาน ขณะที่เขากำลังเดินยกชามก๋วยเตี๋ยวของตัวเองมานั่งข้างผม แทนที่จะนั่งฝั่งตรงข้าม “ขอบคุณหลาย ๆ พี่ เดี๋ยววันหลังผมเลี้ยงคืน”

“บอกแล้วไง ไม่เป็นไร” ผมบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะตักข้าวเข้าปาก

“พี่กินหยังอะ?” ต้นชวนผมคุยตามฟอร์ม ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่เข้าปากกินอย่างเอร็ดอร่อย

“ข้าวกระเพราไข่ดาวกับยำ” ผมตอบ หลังจากที่กลืนอาหารลงคอเรียบร้อยแล้ว

“มีแต่ของเผ็ด ๆ แถะ ระวังปวดท้องขึ้นมากลางทางเด้อพี่” ต้นบอกพลางทำสีหน้าจริงจัง ฟังจากน้ำเสียง ผมไม่รู้ว่าเค้าพูดจริงหรือว่าพูดกวนบาทาเล่น ๆ กันแน่ แต่ดูจากแววตาแล้วน่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า แต่ลึก ๆ แล้ว ด้วยความที่เป็นคนค่อนข้างจะชอบคิดมาก ผมจึงอดรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน (รู้งี้ กินข้าวไข่เจียวธรรมดา ๆ ซะก็ดี)

หลังจากที่เราทานอาหารกันเสร็จ จู่ ๆ ต้นก็ยิงคำถามหนึ่งใส่ผม คำถามที่ผมไม่คิดว่าเขาจะถาม คำถามที่แทงใจผมทุกครั้งที่ได้ยินไม่ว่าจากปากใครก็ตาม คำถามที่ทำเอาผมสำลักน้ำอัดลมที่กำลังกรอกลงคออยู่ทันทีที่ได้ยิน “อ้ายมีแฟนยังก่อ?”

ผมอ้ำอึ้งไม่ยอมตอบ เขาจึงถามย้ำอีกว่า “ขาว ๆ หล่อ ๆ อย่างพี่น่าจะมีอยู่แล้วแหละ แมนบ่?” สุดท้ายผมจึงส่ายหน้าให้เขาน้อย ๆ รู้สึกเขินที่ถูกชม (อีกแล้ว) ก่อนจะตอบออกไปห้วน ๆ ว่า “ไม่มี” และก่อนที่ต้นจะทันได้อ้าปากถามอะไรผมต่ออีก ผมก็รีบถามเขาสวนกลับไปว่า “แล้วนายอะ มียัง?”

ต้นตอบทันทีอย่างไม่คิดว่า “เลิกกันแล้วพี่ ตั้งแต่วันที่จับได้ใบแดงน่ะแหละ” ถึงเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ผมก็สังเกตเห็นว่าแววตาคู่นั้นแฝงความเศร้าสร้อยเอาไว้ไม่น้อย “ผมบ่อยากให้เค้ามาเสียเวลารอผมตั้งสองปี ถึงจังได๋ เรากะไม่ได้คิดจะคบกันจริงจังถึงขั้นจะแต่งงานมีลูกกันอยู่แล้ว ผมเลยบ่ซีเรียส พี่” พูดจบเขาก็ก้มลงมองเท้าตัวเอง เม้มปากน้อย ๆ 

หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก จนกระทั่งถูกนายสิบที่คุมรถมากับพวกเราตั้งแต่ต้นทาง เรียกขึ้นรถเพื่อออกเดินทางต่อไป...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่